“รุจ” ปัดเป็นพระยาเทครัวจีบ “เกรซ-แกรนด์” บอกเป็นแค่คนรู้จักและพี่น้องกัน เผยไม่ปลื้มฉายานี้ พร้อมปัดไม่ใช่คนที่ “เอ ศุภชัย” เขียนว่าในพ็อกเกตบุ๊กลืมบุญคุณ ยอมรับรู้จักกัน และเคยไปหาที่บ้าน แต่ไม่เคยไปอยู่ ส่วนศัลยกรรมเคยยอมรับไปแล้วว่าทำจริง
หลังจากเลิกรากับดาราสาว “ยิปซี คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์” ก็มีข่าวว่านักร้องหนุ่ม “รุจ ศุภรุจ เตชะตานนท์” หรือ “รุจ เดอะสตาร์” กำลังตั้งหน้าตั้งตาจีบนางเอกสาว “เกรซ กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า” อย่างเอาจริงเอาจัง เพราะมีคนเห็นควงกันไปกินข้าวด้วยกันบ่อย แต่ทั้งคู่ก็ยังปากแข็งออกมาแก้ต่างว่า เป็นแค่พี่น้องกันอยู่ร่ำไป จนเริ่มมีข่าวว่าคราวนี้หนุ่ม “รุจ” คิดจะรวบสอง เพราะแวบไปจีบน้องสาวอย่าง “แกรนด์ พรรณวรท ด้วยเศียรเกล้า” เข้าให้อีกคน เลยกลายเป็นว่าได้ฉายา “พระยาเทครัว” ไปในที่สุด
เจอข่าวแบบนี้ทำเอา “รุจ” ถึงกับออกอาการไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน ยอมรับว่ารู้จักกับสองพี่น้องจริง แต่ไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอน และตนก็ไม่ชอบกับฉายาที่ได้นี้เลยสักนิด
“เป็นพระยาเทครัวเลยเหรอ ไม่มีเลย คือก็รู้จักกัน แต่ไม่มีมากกว่านั้น แค่พี่น้องกัน แล้วแน่นอนรู้จักทั้งคู่เลย อย่างแกรนด์รู้จักกันเพราะเป็นรุ่นน้องเดอะสตาร์แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมาก ส่วนที่มีข่าวกับเกรซผมว่าคนจับเอาไปพูดกันเองมากกว่า อย่างช่วงต้นปีที่แล้วก็มีข่าวแบบนี้มาเหมือนกัน แล้วเราก็แก้ไปแล้วทีนึง นี่เราแก้อีกรอบก็เหมือนเดิมแหละ เราก็แก้ไปเรื่อยๆ”
“ก็หนักใจนะโดนมองอย่างนี้ จริงๆ แล้วมันเป็นฉายาที่ไม่ดีนะ แล้วก็ไม่ควรจะได้รับอะไรแบบนี้ อยากให้ทุกคนลองมองตรงนี้ดีๆ อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าเราอยู่ในที่แจ้ง เราทำอะไรแบบนี้มันคงไม่ดีอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจกันนิดนึง คือถ้าเรามีก็มีคนเดียวอยู่แล้ว ยิ่งการที่ไปจีบพี่น้องกัน ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าเกลียดครับ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า ถ้าหากว่ามันไม่เป็นเรื่องจริง สรุปก็คือผมไม่ได้จีบทั้งสองคนครับ ตอนนี้โสด ว่างครับ รับสมัครด้วยครับ(ยิ้ม)”
ยันไม่เคยพูดว่า “เกรซ” เป็นสาวในสเปก เพราะตนมีสเปคเยอะ แต่หลังๆ มานี้ทำงานอย่างเดียว ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอสาวที่ไหนเลย
“ผมเคยพูดเหรอว่าเกรซเป็นสาวในสเปก ผมพูดเมื่อไหร่ คือจริงๆ แล้วผู้หญิงในสเปกผมมีเยอะนะ เพราะผู้หญิงไทยมีเยอะ แต่อย่างที่บอกว่ามันก็แค่พี่น้องกัน คนรู้จักกัน มันคงไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วแหละ โอกาสพัฒนาก็คงไม่มีครับ เพราะว่าเราไม่ได้สนิทสนมกันอยู่แล้ว เจอกันก็นานๆ ที แต่หลังจากที่มีข่าวพอเจอกันก็มีพูดบ้าง แต่ไม่มีอะไรมากมาย เดี๋ยวถ้าเราคุยอะไรกันมาก คนก็จับมาเป็นเรื่องอีกก็เลยปล่อยๆ ไป แต่ถามว่าเคยไปกินข้าวด้วยกันไหม ก็เคยไป แต่ไปกลุ่มใหญ่ๆ มากกว่า ซึ่งคนก็จับมาสองคนตลอด ตัวประกอบหายไปหมดเลย”
“โอกาสพัฒนาไม่มีนะ ไม่น่ามี เพราะอย่างแรกเลยแทบจะไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว ถ้าเจอก็น้อยครั้งมาก แล้วความสัมพันธ์ปกติก็คือพี่น้องกัน ไม่มีอะไรมากกว่านี้ กับคนอื่นก็ไม่มีเหมือนกัน เพราะว่าผมก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน แล้วช่วงนี้ก็ถ่ายเอ็มวีทำอัลบั้มใหม่ด้วย ก็เลยไม่ค่อยได้ออกไปสู่โลกกว้างเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยได้เจอผู้หญิงเท่าไหร่”
แย้งคนตีความไปเองว่าเป็นตน กรณีนักปั้นชื่อดัง “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” เขียนพ็อกเกตบุ๊กเป็นอักษรย่อในทำนองว่าลืมบุญคุณ เคยพาไปทำศัลยกรรม และเคยหอบผ้าผ่อนพร้อมครอบครัวไปอยู่บ้านด้วย แต่พอดังแล้วก็ทำอัลไซเมอร์เชิดใส่
“เรื่องที่พี่เอเขียนในพ็อกเกตบุ๊กว่าลืมบุญคุณ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันก็คล้ายๆ เรื่องของพี่ตุ๊กกี้ คือเราก็ไม่รู้เรื่องนี้เกี่ยวกับใคร แล้วมันหมายถึงใคร ซึ่งถ้าหากเขาไม่ได้พูดถึงว่าเป็นใคร บางทีการไปตีความเองคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ซึ่งถ้าบอกว่าผมเคยไปอยู่บ้านเขา เคยให้พาไปทำศัลยกรรม แล้วตอนนี้ทำเมินเฉยใส่เขา มันไม่จริง เพราะอย่างที่บอกคือรู้จักกัน เรารู้จักอยู่แล้วใครๆ ก็รู้จัก เพราะเรื่องพวกนี้หากมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งผมก็เคยไปบ้านพี่เอ แต่ว่าไม่เคยไปอยู่ เพราะว่าเขาก็เป็นคนนึงที่กว้างขวาง บางทีเราก็ไปทำความรู้จักเขาก็เป็นเรื่องปกติ”
“ส่วนเรื่องพาไปทำศัลยกรรม จริงๆ ผมเคยบอกไปแล้วนะ ออกมายอมรับไปแล้วว่าเราทำ แล้วเรื่องนี้คุณแม่ก็รับรู้ แต่ถ้าคนจะมองว่าผมลืมบุญคุณ อย่างแรกเลยต้องบอกว่าเราเข้ามาประกวดเดอะสตาร์ เรามีที่มาที่ไป ทุกคนก็จะเห็นว่าเรามาแบบไหน แล้วออกมายังไง แล้วเราผ่านประกวดมา ทุกคนเห็นเรามาสมัครภาคอีสาน จนมาถึงรอบ 8 คนสุดท้าย แล้วทุกอย่างมีการประกวดมา ทุกคนโหวตเข้ามา ดังนั้นเรื่องพวกนี้มันผ่านการตัดสินจากประชาชนอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องออกมาพูดอะไรมาก อยู่ที่ทุกคนจะคิดแล้วกัน”
“ผมไม่ซีเรียสนะครับ จริงๆ สมัยแรกๆ หนักกว่านี้อีก มีข่าวหนักกว่านี้เยอะ แต่เรารู้สึกว่าเราเฉยไปแล้ว แล้วก็อย่างที่บอกว่าทุกคนก็รู้จักเราจากภาพตรงไหนมา เพราะฉะนั้นลองกลับไปดูแล้วก็จะจำได้ว่าเรามาจากไหน ฉะนั้นเรื่องอื่นๆ มันเป็นเรื่องของอดีต มันจะจริงหรือไม่จริงผมว่าไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่ว่า ณ ตอนนี้เราทำอะไรอยู่มากกว่า”
