xs
xsm
sm
md
lg

ความเป็นจริงของ 'บร๊ะเจ้า'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คืนหนึ่ง
ค่ำคืนนั้นเกือบจะเป็นปกติธรรมดาเช่นหลายคืนที่ผ่านพ้นอยู่รอมร่อ แต่หลังจากที่ก้อนความคิดพิสดารของเด็กหนุ่มคนหนึ่งตกตะกอน เขาก็ลงมือพิมพ์ข้อความล้อเลียนกลุ่มนักร้อง นักดนตรีคณะหนึ่งลงไปในกระทู้ของเว็บไซต์ชื่อดัง ภาพลักษณ์ชวนขบขันของนักร้องนักดนตรีคณะนี้เย้ายวนให้ผู้ที่ผ่านเข้ามาพบเห็นอดไม่ได้ที่จะเข้าไปต่อเสริมเติมเรื่องล้อเลียนดังกล่าวให้ขบขันเพิ่มมากขึ้น

ความสนุกที่น่าจะยุติลงแค่ในกลุ่มคนไม่กี่สิบชีวิต กลับลุกลามบานปลายเมื่อมีคนนึกคะนอง เข้าไปตั้งกระทู้เพิ่มเสริมประเด็นเรื่องล้อเลียนขึ้นมาอีกหนึ่งกระทู้ ศัพท์แปลกตาประหลาดหูถูกนิยามขึ้นในเว็บบอร์ดดังกล่าว โดยที่นักร้องนักดนตรีผู้ถูกหยิบไปกล่าวถึงรายนั้นไม่ได้ล่วงรู้หรือระแคะระคายถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ดังกล่าวแม้แต่น้อย

จนกระทั่งศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นใหม่คำนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไป...ตลอดกาล

การปรากฏตัวของ 'บร๊ะเจ้า'
เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีมืดหม่น มีสกรีนลายกราฟฟิกอยู่กึ่งกลางเช่นเดียวกับเสื้อยืดราคาไม่กี่ร้อยที่แขวนขายจนเกร่อในตลาดนัดสวนจตุจักร กางเกงยีนส์ตัวไม่ใหญ่นักโอบหุ้มขาที่เล็กกว่าเนื้อผ้าซึ่งกำลังก้าวเข้ามาในห้องประชุมเล็กๆ บนอาคารสูงกลางเมืองใหญ่ เขายกไหว้พร้อมเอ่ยสวัสดีทักทาย แล้วค่อยๆ หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้เบื้องหน้า ก่อนจะหยิบแก้วน้ำขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด

ท่าทางของเขาสุภาพอ่อนน้อม ไม่สมกับความยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับจากบรรดานักเล่นอินเทอร์เน็ตที่ต่างพากันยกย่องสรรเสริญให้เขาเป็น 'บร๊ะเจ้า'

ชื่อตามบัตรประชาชนของ บร๊ะเจ้า คือ 'พรภพ จันทร์เจริญ' ส่วนชื่อเล่นที่คนใกล้บ้านตลอดจนเพื่อนฝูงของเขาเรียกขานคือ 'โจ๊ก' แต่ชื่อที่เราต่างคุ้นเคยกันดีคือ 'โจ๊ก โซคูล' นักร้องนำวงดนตรีไทยร็อกที่ชื่อ โซคูล ก่อนที่ใครหลายคนจะยกให้เขาเป็นบร๊ะเจ้าในโลกอินเทอร์เน็ต

"บร๊ะเจ้าก็คือผมนี่แหละ ผมเป็นบร๊ะเจ้าน่ะ บร๊ะเจ้านี่ไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์นะ มันเป็นตำแหน่งของผมน่ะ ผมเป็นนักร้องแล้วเป็นนัก(คิดนาน) จะบอกว่าเป็นนักคิดก็ดูฉลาดไปนะ เป็นนักอะไรดีล่ะ มีแนวทางของตัวเองน่ะ มีหนังสือ มีแง่คิดที่คนเขาไม่ค่อยคิดกัน คือถ้านักร้องอย่างเดียวคงไม่ใช่แล้ว"

"เพราะคนในอินเทอร์เน็ตที่เขาชอบกัน หลังๆ นี่ไม่มีเพลงด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เขาคงชอบอะไรต่างๆ ชอบการต่อสู้ของผม จริงๆ ถ้าตำแหน่งตามกฎหมายอย่างถูกต้องผมก็ต้องเป็นนักร้องอยู่แล้ว ไม่ใช่ดาราแน่นอน อันนี้แน่นอน เป็นนักร้องอย่างเดียวเลย อาชีพเดียว จะบอกว่านักเขียนหนังสือก็มีแค่เล่มเดียว ตำแหน่งจริงๆ ก็คือนักร้อง แต่คำว่าบร๊ะเจ้าก็คือบร๊ะเจ้า มันก็คือชื่อเรียกของคนๆ นึงที่ (เสียงเบาลง) ไม่ค่อยปกติน่ะ(หัวเราะ) เป็นหัวหน้าลัทธิเขาที่เขาล้อเล่น ให้ความอบอุ่นกับเขาได้ แล้วก็สามารถติดต่อได้ด้วย เข้าถึงได้ด้วย"

สถานะบร๊ะเจ้าที่พรภพได้รับมาจากคนเล่นอินเทอร์เน็ต ทำให้เขากลายเป็นที่กล่าวขวัญชนิดที่เรียกได้ว่า ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ และถ้าลองพิมพ์คำว่า 'บร๊ะเจ้า คือ' ลงไปในเว็บไซต์สำหรับการค้นหาอย่างกูเกิ้ล จะได้ผลลัพท์ออกมาถึง 2,330,000 ซึ่งน้อยกว่าค่าการค้าหาภายใต้คำว่า 'บารัค โอบามา' อยู่เพียง 800,000 หน่วยเท่านั้น

ความโด่งดังในแวดวงอินเทอร์เน็ตของนักร้องนักดนตรีวัย 24 ปีจากจังหวัดพิษณุโลก เมื่อนำมาเทียบกับความสนใจต่อชายผู้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้วมีค่าความต่างอยู่ในหลักแสนเช่นนี้นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า กว่าเรื่องราวจะคลี่คลายมาถึงจุดนี้ ผู้ชายร่างเล็กที่กลายมาเป็นบร๊ะเจ้าคนนี้ต้องเผชิญกับสิ่งที่เขาไม่ปรารถนามาแล้ว...นับครั้งไม่ถ้วน

ภาพปรากฎ
16 มีนาคม พุทธศักราช 2547 คือวันแรกที่วงโซคูลออกอัลบั้มชื่อ So Cool ทันทีที่เพลงคนเจียมตัวของเขาเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นในวงกว้าง ภาพความสำเร็จในระดับใกล้เคียงกับโลโซ วงดนตรีร็อกรุ่นพี่ก็เริ่มฉายขึ้นในมโนภาพของพรภพ

แต่ภาพลักษณ์ความเป็นคนตลกโปกฮาที่หยั่งรากลงในตัวตนของเขา เมื่อถูกนำมาผนวกเข้ากับรูปแบบการนำเสนอมิวสิควิดีโอซึ่งต้องการจะให้แตกต่างไปจากมิวสิควิดีโอของศิลปินร็อกรายอื่นๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นเสียงขบขันในทิศทางเย้ยเยาะ

และเมื่อภาพที่พรภพหลับตาแล้วมีตัวอักษร Love You เขียนไว้บนเปลือกตา ภาพตอนถอดแว่นแล้วมีน้ำใสๆ พุ่งออกมาเหมือนในหนังของโจวชิงฉือ ภาพตอนเขาลุกขึ้นมาเต้นท่าบอยแบนด์เกาหลี ภาพตอนเขาหยิบซิมออกมาจากโทรศัพท์แล้ววางลงบนลิ้นก่อนจะกลืนกินมันลงไป ภาพที่เขาขึ้นไปควบขี่บนตัวควาย และอีกสิบอีกร้อยภาพปรากฏทั้งในมิวสิควิดีโอกับตอนที่เขาไปออกตามสื่อต่างๆ ล้วนขับเน้นให้ภาพของวงโซคูล โดยเฉพาะนักร้องนำอย่างเขาเดินห่างจากภาพของวงโลโซอย่างสิ้นเชิง

"จริงๆ แล้วผมก็เป็นคนอย่างนั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจสร้าง งงไหมครับ จริงๆ ภาพที่ให้ออกไปไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น ผมเป็นคนตลก แต่ภาพที่ผมต้องการจะให้ออกไปก็คือประมาณไม่เกินโลโซ ไม่ต้องมาเห็นอะไรเรา ไม่ต้องเห็นว่าเราสนุกอะไร ก็เล่นดนตรีเท่ๆ แต่จริงๆ ผมเป็นคนตลก ทีนี้พอเขาชี้มาอย่างนี้ ว่าอย่างนี้ไหม แล้วผมเป็นคนตลก ก็เลย เอาก็ได้"

"มันไม่ได้มาจากไอเดียผม แต่ก็ต้องมีการเซ็นต์ว่า แฮปปี้ไหม มันไม่ใช่ความผิดใครน่ะ ผมก็เอา ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ผมก็ เอาเลยพี่(ทำเสียงกวนๆ) โดนแน่(หัวเราะ) พอถึงเวลาโดนไม่โดนก็ค่อยมาว่ากัน"

"พอเป็นอย่างนั้นไปแล้วปุ๊บ มันก็ต้องยืนหยัด ก็ทำไปเรื่อยๆ จนเกิดความรู้สึกว่า เอ้ย (หัวเราะ) มันจะต้องยังไงวะเนี่ย มันเหมือนว่าดัง แต่ดังแต่ภาพว่ะ ดังจริงตามที่ตัวเองคิดเลย ว่ามันจะต้องพูดถึงแน่ๆ จริง มันดังแต่ภาพ ยอดไม่ขึ้นเลย เพลงไม่ฮิต ทีนี้ถ้ามีโอกาสมีภาพอีกก็จะต้องเปลี่ยนไปเลยก็ไม่ได้ อยู่ดีๆ จะมาขรึมได้ไง ต้องครึ่งๆครับ พอดีๆ ไม่หลุดเกินไป ภาพก็คือเป็นวงร็อกอารมณ์ดี เพราะถ้าบ้าเนี่ย เขาจะไม่ฟังเพลง อย่างเพลงช้า มิวสิคก็ต้องเศร้านะ เพลงช้ามาตลกแล้วเขาจะเศร้าได้ยังไง ถ้าสนุกก็ต้องเป็นเพลงเร็ว ตอนนี้คงต้องแบ่งให้ดี"

นอกจากภาพมิวสิควิดีโอดังกล่าวแล้ว เนื้อเพลงที่คร่ำครวญถึงเรื่องราวความรักในสไตล์เด็กหนุ่มจากต่างจังหวัดอาจทำให้คนกรุงเทพฯ ที่จำกัดขอบข่ายการฟังเพลงเอาไว้เฉพาะอาภรณ์โมเดิร์นทันสมัยทำใจยอมรับในจุดนี้ไม่ได้ เมื่อโซคูลเลือกเดินไปบนเส้นทางดังกล่าวได้ถึงอัลบั้มที่สามในปี พ.ศ. 2549 พวกเขาก็ถูกนำไปวิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนในอินเทอร์เน็ต

และโลกออนไลน์ที่สร้างให้เขากลายเป็นบร๊ะเจ้านี่เอง ที่เคยเหยียบเขาจนเกือบจะจมดินไปแล้วในอดีตกาล

เสี่ยว?
ในหน้าที่ 890 ของพจนานุกรมฉบับมติชน บัญญัติคำว่า 'เสี่ยว' เอาไว้ว่า เพื่อนหรือเกลอ (ภาษาอีสาน) แต่อาจเพราะการเป็นภาษาจากถิ่นที่อยู่คนละจังหวัดกับชาวกรุงเทพฯ ทำให้มันถูกนำมาใช้เรียกคนอีสานหรือคนต่างจังหวัดด้วยน้ำเสียงหยามเหยียดดูหมิ่น

และคำว่าเสี่ยวนี่เอง ที่โจ๊กแห่งวงโซคูลได้รับมาจนแทบจะบริโภคไม่ไหว

"โอ้โห ผมจำไม่หมดหรอกครับ ผมถูกโจมตี ด่าแรงๆ จะมีคนนึงนำขึ้นมาประมาณว่า เนี่ย โซคูลมันไม่ดีอย่างนี้ๆ แล้วคนที่มาด่าข้างล่างก็จะวิจารณ์ดนตรีน่ะ โอ้โห เสี่ยว โอ้ ผมจำไม่หมดหรอก เคยดูดาราออกทีวี แล้วมีคนล้ออะไรเขาแค่นิดเดียว เบามากน่ะ เขาร้องไห้ออกทีวีเลยนะ ผมว่าถ้าเป็นผม เขาผูกคอตายไปแล้วนะ"

"เทียบกับผมไม่ได้เลย (เน้นเสียง) ไม่ได้เลย คนคิดว่าโจ๊ก โซคูลมันฉวยโอกาส พอกระแสตรงนี้ดังก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาส แล้วก็สบายแฮ ขอโทษเถอะ ไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ นะ ถ้าไม่มีความอดทนเนี่ย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ มาล้อผมปุ๊บ ผมดังเลยนะ โอ้โห ผมต้องอดทน คิดดูดิ ไอ้ตอนกระแสบร๊ะเจ้ายังไม่มาเนี่ย โดนล้อฟรีไปกี่ปีกี่เดือน ที่โดนล้อไปเปล่าๆ โดยที่ไม่มีใครมาชื่นชมเลย แล้วไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ พอล้อแล้วดังมันไม่จริงนะ ต้องอดทนด้วยนะครับ อดทนแล้วถ้าตอบไม่ดีเขาก็ยิ่งเกลียดอีกนะ สมมติเราตอบโต้ไปบอกว่า มึงดังอย่างกูได้เปล่าล่ะ โอ้ย ตัวโกงเลยล่ะทีนี้"

พรภพเก็บกดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกดูหมิ่น หลายครั้งที่โทสะของเขาปะทุขึ้นหลังจอคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็รู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปล่อยระบายความโกรธเกรี้ยวเหล่านั้นกลับคืนไป

"ถึงโกรธก็ไม่ตอบโต้ โกรธมาก โกรธอยู่คนเดียว ไปด่าเขาไม่ได้ จะด่าๆ พิมพ์ด่าเสร็จก็ลบ พอก่อนจะพิมพ์มันก็เบาแล้ว เฮ้ย ไม่ได้ ไปด่าเขาไม่ได้ แต่เคยมีเด็กมาด่าใน hi5 เด็กตัวเล็กๆ หัวเกรียนๆ เลย มาด่ามึงอ่ะ อย่างนู้น อย่างนี้ โอ้ แล้วเขาเป็นเด็กน่ะ แล้วเราก็เป็นนักดนตรีที่ไม่เคยไปทำร้ายเขา แล้วเขาไม่ควรที่จะมาใช้คำหยาบกับคนที่อายุมากกว่าแบบนั้น ผมโกรธมากเลยนะ แล้วก็พิมพ์ไปสั้นๆ มึงอยากโดนตำรวจจับมากนักเหรอ(หัวเราะร่วน)"

"โอ้โห รีบขอโทษใหญ่เลย ต้องเล่นมุมนั้นเลย นั่นคือขำๆ โอ้ จริงๆ แล้วเห็นอย่างนี้ พอโดนแรงๆ แล้วโกรธตลอดนะ(หัวเราะ) แต่ถ้านักข่าวมาถามว่า โกรธไหม คนว่าเสี่ยว ว่าลาวอะไรแบบนี้ มันเฉยๆ เป็นคำถามที่ผมต้องตอบ แต่ถ้าเป็นคนที่มาด่าเราโดยตรง ใน hi5 ของเรา หรือตรงหน้าเรา มันจะคนละเรื่องเลย ผมจะโกรธทันทีเลย"

นอกจากอารมณ์โกรธที่ผุดขึ้นยามถูกด่าว่าแล้ว ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งที่พรภพได้ปล่อยน้ำใสๆ ให้ไหลพราวออกมาจากเบ้าตา หยาดน้ำที่ผ่านผิวแก้มคล้ายกับที่ใครเคยเห็นในมิวสิควิดีโอของเขา
 ต่างกันตรงที่ครั้งนี้ไร้ซึ่งสรรพเสียงขำขันของใครๆ นอกจากเสียงรำพึงรำพันของชายร่างเล็กคนหนึ่งในซอกมุมของห้องแค่เพียงเสียงเดียวเท่านั้น

ความในใจจากชายคนหนึ่ง
คงไม่มีใครทนเก็บความรู้สึกใดใดเอาไว้ในตัวได้นานแรมปี นับจากวันแรกที่ได้รับคำด่าว่าล้อเลียน ผ่านไปนานหลายเดือน พรภพก็ตัดสินใจบรรจงผ่องถ่ายความรู้สึกของเขาให้สาธารณะได้รับรู้

"วันนั้นผมไปพิมพ์ใน hi5 ของตัวเอง แบบว่าโอ้โห โศกเศร้า ทำไมเขาว่าเราเสี่ยวแบบนี้ แต่ที่ผมพิมพ์น่ะ ผมเอาไว้ให้ใครก็ได้อ่าน ขำๆ เพราะตอนนั้น hi5 ผมยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนะ เน้นเลยชีวิตมันเป็นอย่างนี้ๆ มันถึงเสี่ยว ผ่านไปเป็นปีไม่มีใครเข้ามาดู แล้วบังเอิญคนของเว็บสนุก(Sanook.com) ซึ่งเขาคงเป็นตัวใหญ่สักหน่อยเขาเข้ามาดู แล้วเขาคง โอ้โห โจ๊ก โซคูลมีมุมนี้ด้วยเหรอ"
" ทีนี้เอาไปโพสท์หน้าแรกเลยของเว็บสนุก ซึ่งเว็บเขาก็ค่อนข้างมหาชนนะครับ ดังเร็วมากเลย พอผมออกมาตอบโต้ พูดเรื่องแนวเพลงหรือความน้อยใจที่คนมาต่อว่าเรา ทั้งๆที่ผ่านมาเราเงียบ ไม่ตอบโต้มาตลอด พอตอบโต้ปุ๊บ มันเป็นเพราะข้อเขียนของเราอันนั้นคนอ่านแล้วชอบ ถือว่านี่คือจุดพลิกสถานการณ์ของผม"

"ผมจะเป็นคนที่ตอบคำถามแล้วคนอื่นอาจจะรู้สึกว่ามันน่าสนใจหรืออะไรก็ไม่รู้นะ พอตอบไปเสร็จปุ๊บ มันดังเร็วมากน่ะครับ ภายในวันสองวันเลย จากที่ hi5คนมาแอดเราทิ้งเป็นอาทิตย์ก็แค่ 30-40 คน เป็นไปได้ไงที่วันเดียวมีคนแอด hi5เราสามพันกว่าคน แทบจะเป็นไปไม่ได้นะ ผมเลยได้รู้ว่า โอ้โห ไอ้เว็บไซต์เนี่ย พอเป็นเว็บหลักๆ ขึ้นมา มันมีคนเสพขนาดนี้เชียวเหรอ"
 "จากคนที่เคยโดนล้อ ไปไหนก็อาย ต้องหลบๆ พยายามไม่ใส่แว่น หรือพยายามทำให้คนจำไม่ได้ อายเขา คนเขาล้อเขา แซว แซวไม่ดีเลยล่ะ ลบเยอะมาก วันนึงกลายเป็นน้อยลงๆ ๆ จนไม่มี ทุกวันนี้ผมเป็นบวกไปแล้ว ก็ไม่เข้าใจว่า ความอดทนของเราก็ประสบความสำเร็จ ตอนนี้คนผ่านไปผ่านมาก็ชื่นชอบแล้ว ยิ่งมีหนังสือ มีอะไร ออกสื่อพูดเรื่องตรงนี้ไป ก็กลายเป็นว่ามีคนเข้ามาอยู่ข้างผมซะเยอะ"

จากคำศัพท์ที่ใช้กันในเว็บไซต์หนึ่ง ถูกนำไปเผยแพร่ต่ออีกเว็บไซต์หนึ่งในกาลต่อมา เมื่อผนวกรวมเข้ากับการเป็นบุคคลในที่แจ้งของพรภพด้วยแล้ว ในที่สุดคำว่า 'บร๊ะเจ้า' ก็เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง

เป็นที่มาของมิติอื่นๆ ที่เป็นมากกว่าแค่คำฮิตติดปากวัยรุ่น เพราะบร๊ะเจ้ามีตัวตนอยู่จริง อีกทั้งยังมีคนรวยไอเดียไปแต่งบทบัญญัติเกี่ยวกับบร๊ะเจ้าและสร้างเรื่องราวต่างๆ เชื่อมโยงกับบร๊ะเจ้าตามออกมาเพื่อเรียกเสียงหัวเราะอีกมากมาย

ถึงวันนี้ ปรากฎการณ์บร๊ะเจ้าโจ๊กได้ทำให้พรภพกลายเป็นที่รู้จักของคนในวงกว้าง และหากมีใครหาญกล้านำเขาไปต่อว่าเสียๆ หายๆ ในอินเทอร์เน็ตเช่นในอดีตกาล รับประกันได้ว่าเพียงชั่วอึดใจก็จะมีเหล่าบรรดาโซคูลเลี่ยน(ชื่อเรียกสาวกในลัทธิบร๊ะเจ้า)ออกมาตอบโต้ชนิดถึงพริกถึงขิงอย่างแน่นอน

"ทุกวันนี้ก็เบาใจ เพราะว่าเราเป็นเจ้าแห่งอินเทอร์เน็ตนี่ ถ้ามีใครมาว่านะ ผมไม่ได้ไปสั่งให้เขาไปตอบโต้นะ (หัวเราะ) แต่โอ้โห ไอ้ลัทธิเกลียดโซคูลนี่แทบจะล้มไปแล้วมั้ง มันสู้ไม่ได้น่ะ"

แม้ปัญหาในอินเทอร์เน็ตจะสร่างซาไปแล้ว แต่ทว่าในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์(ในอินเทอร์เน็ต)เช่นนี้ บร๊ะเจ้าโจ๊กกลับกำลังเผชิญกับปัญหาหนักอึ้งในฐานะนักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลงของวงโซคูลอยู่ชนิดที่เขาเองก็ไม่อาจจินตนาการถึงอนาคตอันเปราะบางของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

ความเป็นจริงของบร๊ะเจ้า
ในขณะที่กำลังสนทนากับบร๊ะเจ้า บร๊ะเจ้าย้ำกับเราอยู่เป็นระยะๆ ว่า "ผมว่าชีวิตของผมตอนนี้กำลังแย่"

ในโลกความเป็นจริง ชีวิตของบร๊ะเจ้าไม่ได้สวยหรูงดงาม เขาเรียกตัวเองในวัยเด็กว่า 'ไอ้ขี้แพ้' เขาตัวเล็ก อ่อนแอ หน้าตาขี้เหร่ เรียนหนังสือไม่เก่ง และไม่ตั้งใจศึกษา เขาเล่นกีฬาไม่เป็น เขาไม่เคยจีบสาวคนไหนสำเร็จ

มีเพียงการเล่นดนตรีและการแต่งเพลงที่ทำให้พรภพเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง แต่ ณ วันนี้ สิ่งที่เคยทำให้เขากลายเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างกำลังจะทำให้เขามีสภาพชีวิตที่ย่ำแย่

และมันเป็นเรื่องจริงที่บร๊ะเจ้ากำลังพบเผชิญ

"ผมว่าตอนนี้ชีวิตผมกำลังแย่ ใช้คำนี้ได้เลย เพราะว่าการซื้อซีดีไม่มีแล้ว และผมว่าระบบของดีเจไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเราส่งแผ่นไปให้ดีเจ ดีเจพอได้แผ่น แผ่นสวยๆ ยังไงก็เปิด เฮ้ย โซคูลชุดใหม่ เปิด เดี๋ยวนี้เป็นระบบดาวน์โหลด ดีเจต้องมีรหัสสมาชิก เชื่อไหม ผมเห็นปัญหาเต็มไปหมด ผมมีเพื่อนเป็นดีเจ เพลงแกชั้นไม่ได้เลย เพราะเราไม่มีแผ่นให้เขาน่ะ เราคิดว่าสังคมเราเป็นเทคโนโลยีแล้วจริงๆ มันยังไม่ขนาดนั้นน่ะ ทำไงน่ะ เพลงโซคูลยังไม่ได้น่ะ อ๋อ พี่มันต้องไปสมัครอันนี้ ต้องเป็นสมาชิกของเขา ชั้นทำไม่เป็นอ่ะ แล้วมันยังมีคลื่นวิทยุยิบๆ ย่อยๆ อีกเต็มไปหมด สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ การเปิดเพลงของดีเจ มันก็จะกลายเป็นว่าดีเจเขาอยากเปิดเพลงอะไร เขาถึงเปิดนะ"

สังคมยุคเทคโนโลยีครองเมือง กลายเป็นดาบสองคมสำหรับโจ๊ก โซคูล เพราะในขณะที่มันสร้างให้เขากลายเป็นบร๊ะเจ้าที่มีสาวกชื่นชอบมากมาย แต่ในโลกของการเป็นนักดนตรี ระบบการทำเพลงที่เปลี่ยนไปทำให้เขาไม่อาจยืนหยัดทำงานเพลงได้เหมือนก่อนอีกต่อไปแล้ว

"ตอนนี้ระบบธุรกิจเป็นอย่างนี้ ศิลปินส่วนใหญ่ไม่ได้ออกอัลบั้มเต็ม เป็นซิงเกิ้ล พอเป็นซิงเกิ้ลปุ๊บ โอ้โห ซิงเกิ้ลนี้ไม่ดัง คือมันแข่งกันน่ะ มันเป็น 'สงครามซิงเกิ้ล' น่ะ ตอนนี้เป็นสงครามซิงเกิ้ล เมื่อก่อนอย่างเท่เลย พบกับโซคูล ปึงๆๆ มีชื่ออัลบั้ม มีผมแวบๆ Coming Soon อ้า โซคูลชุดใหม่เว้ยพวกเรา เพลงไหนเป็นเพลงโปรโมทเพลงแรก โห เท่ว่ะเพลงนี้ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ไม่มีทีเซอร์ว่าชุดใหม่จะมา ก็ปล่อยไปสิ คนนั้นก็ปล่อย คนนี้ก็ปล่อย ไม่โดนปล่อยอีก ยังไม่โดน พอไม่โดนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำ หรือใครโดนอันแรกเลยอยู่ดีๆ ก็ได้ทำ กลายเป็นสงครามซิงเกิ้ลที่แย่งชิงกันเพื่อให้ได้ออกอัลบั้ม เพราฉะนั้นโซคูลก็เลยมีความรู้สึกว่ามันเป็นสงครามซิงเกิ้ลที่ไม่ขลังน่ะ ไม่เหมือนกับ อุ้ย โซคูล พบกับชุดใหม่ของพวกเขา แต่ตอนนี้กลายเป็นอยู่ดีๆ เพลงโผล่แล้ว ทีวี(เสียงอ่อยลง) ยังไม่รู้จะมีหรือเปล่า"

"การแข่งขันเยอะ แล้วก็รายได้ไม่สูง เพราะว่าตอนนี้โซคูลก็เป็นวงที่ค่าตัวราคาถูก ผมชอบอย่างนี้นะสะใจดี บางคนเขาจะบอกว่า อย่าไปบอกนะว่าไม่ดัง อย่าไปบอกนะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ผมว่าผมพูดอย่างนี้แล้วดัง ไม่รู้สิ แล้วแต่วิธีการของคน แต่ผมพูดเรื่องจริงแหละ ผมเป็นคนที่พูดเรื่องจริงแล้วรู้สึกดี ตอนนี้ค่าตัวถูก แล้วก็สมาชิกในวงก็มีการหารกัน เปรียบเทียบกับวงที่เขาเล่นโฟล์คซองสองคน นักร้องเดี่ยว มีแบ๊คอัพถูกๆ โอ้โห เขาได้กันเต็มๆ"
" โซคูลนี่หารเท่ากันทุกคนนะ ไม่ใช่ว่านักร้อง บร๊ะเจ้าดังได้เงินเยอะกว่านะ หารเท่ากันหมด แล้วทีนี้แล้ววงโซคูลเป็นวงที่ผับไม่จ้าง ผับไม่จ้างปุ๊บก็ต้องรอกลางแจ้ง ฝนตกก็ไม่มีงาน บางทีมีป้ายขึ้นจังหวัดนี้ อยู่ดีๆ เขาเปลี่ยนวง อะไรอย่างนี้ เพราะว่าเราไมได้มีเพลงใหม่ฮิตๆ สักที เพราะอย่างที่ผมบอก วงมันเยอะ"

"ที่คิดว่าชีวิตแย่ก็เพราะว่าตอนนี้มันดังแต่ชื่อผม แล้วก็(คิดนาน) ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะบอกว่าสื่อมันน้อยน่ะครับ เราไม่ได้ออกทีวี เอาอย่างนี้ดีกว่า โซคูลเพลงจะต้องดาวน์โหลดสูง แล้วก็ติดชาร์ตสูง ถึงจะมีทุนมาออกสื่อเยอะๆ โซคูลต้องการที่จะมีเพลงที่ติดชาร์ตอันดับสูงๆ ดาวโหลดสูงๆ แล้วเราจะได้ออกสื่อ แล้วก็อาจจะฟื้นตัวขึ้นมา"

"ชีวิตของโซคูลค่อนข้างแย่ เพราะการแข่งขันอะไรต่างๆ ลำบากเหลือเกิน เรายังไม่เจ๊ง แต่แต้มเราไม่ดี พอแต้มไม่ดีปุ๊บเขาแข่งซิงเกิ้ลกันเนี่ย โอ้โห วงเต็มไปหมดเลย เราปล่อยออกไปเนี่ย ของเราแค่คนฟังแล้วรู้จักไม่ได้ ของเราต้องดัง ฮิต ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ ใครเขาจะมาจ้างคอนเสิร์ต ถ้าไม่มีเพลงอิต ตอนนี้ก็ต้องพึ่งแฟนเพลงให้มากๆ เชียร์โหลดจริง ของจริง ซีดีนี่แทบไม่มีขายกันอยู่แล้ว เพราฉะนั้นเวลาปล่อยซิงเกิ้ลมาต้องโหลดของจริง โห เสียเวลาไปเม้นท์(Comment) เล่นบร๊ะจ้งบร๊ะเจ้าอะไรเหนื่อยจะตาย โหลดเพลงง่ายนิดเดียว ก็ต้องช่วยกัน ไม่งั้นก็ไม่รู้จะทำไง เพราะถ้าเราทำเงินไม่ได้ บริษัทเขาก็ขาดทุน เขาจะทำให้เราได้ยังไง เพราฉะนั้นสถานการณ์ของโซคูลตอนนี้ ค่อนข้างที่จะวิบาก คือไม่ดี"

ถ้อยคำที่พรูพราวออกมาจากปากของพรภพ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอนาคตของวงโซคูลกำลังแขวนอยู่บนด้ายเส้นบางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น

วันใหม่
ในการสนทนาช่วงหนึ่ง พรภพพูดถึงกลุ่มคนที่เริ่มต้นเรียกเขาว่าบร๊ะเจ้า ซึ่งมีสถานะเป็นสาวก(โซคูลเลี่ยน)ของเขา ขณะที่กำลังพูดถึงคนกลุ่มนี้ โจ๊กก็หยิบโทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาติดต่อสื่อสารกับสาวกของเขาอยู่ตลอดเวลา

จากคืนหนึ่ง ที่เด็กคนหนึ่งคิดคะนอง เพียงแค่เล่นสนุกในเว็บบอร์ดที่เขาเป็นสมาชิก มาถึงวันนี้ที่พรภพกลายเป็นบร๊ะเจ้าที่มีคนรู้จักมากมาย ศัพท์คำนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆ หนึ่งและทัศนคติที่คนกลุ่มหนึ่งมีต่อเขาไปอย่างสิ้นเชิง

"เปลี่ยนไปในทางที่ดีนะ เพราะถ้าไม่มีบร๊ะเจ้าเนี่ย ก็จะไม่มีกลุ่มคนที่มาช่วยเหลือผม ผมก็จะเป็นคนที่โดนล้ออยู่ในเน็ท(Internet)อย่างนั้นแหละ โอ้ย เสี่ยว โจ๊ก โซคูลเสี่ยว มันเหมือนสวรรค์สั่งมาเลยนะ เพราะถ้าไม่มีอันนี้ผมน่าสงสารเลยนะ ผมก็ต้องโดนล้อไปโดยที่ตัวเองไม่ได้ทำความผิดอะไร แล้วโดนล้อไปจนกว่าจะหลุดไปจากกระแส หรือหลุดไปแล้วจนมีอายุแล้ว วันนึงมาเจอ อ๋อ โจ๊ก โซคูลไง เมื่อก่อนที่เสี่ยวๆ ไง ก็จะน่าสงสารไปตลอดชีวิตเลยนะ"

"แต่พอมีบร๊ะเจ้าขึ้นมา กลายเป็นว่า เฮ้ย มีคนเข้ามาพูด เหมือนมีกระทู้ในนั้น เรื่องที่ว่าคนชอบหรือคนเกลียดเรื่องที่ว่าผมเสี่ยว แล้วเหมือนคนทั้งประเทศมาลงนามว่าอยู่ข้างใคร ทีนี้ข้างมากมันเป็นของผม บร๊ะเจ้ามันถึงช่วยให้ผมรอด หลุดพ้นจากการมีปมด้อยตรงนี้ไปเลยนะ กลายเป็นปมเด่นขึ้นมาแทน ตอนนี้ กลายเป็นว่าพอไปไหนแล้วแบบ โห พี่ ผมชาบู(มาจากคำว่า บูชา)พี่มากเลยนะ อ่ะ กลายเป็นว่าอ่ะ จากอะไรวะ ปีก่อนคนเกลียด อีกปีนึง แค่มีคำว่า บร๊ะเจ้า คนรัก"

"แต่กระแสมันไม่เท่าเพลง ถ้าเพลงดังไม่ต้องมีบร๊ะเจ้าเลย ยกตัวอย่างเช่น สมมติโซคูลมีเพลงอย่างคนเจียมตัวอีก หรือเลี้ยงส่ง ซากอ้อยอีก ไม่ต้องมีบร๊ะเจ้า ทุกอย่างจะนำมาซึ่งงาน ซึ่งชีวิต หมดเลย เราจะต้องมีเพลงที่ไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคนให้ได้ แต่ถ้าเราเป็นแค่เพลงที่ฟังแล้วก็เพราะดี ไม่ได้ อยู่ในชีวิตประจำวันของเขาก็คือ ไปคาราโอเกะ เขาก็ร้อง เสียงรอสายเขาก็ใช้ เริ่มเข้าไปอยู่ในชีวิตของผู้คน เพลงเหล่านั้นจะทำให้ศิลปินสบาย แต่ถ้าเพลงที่ปล่อยเป็นซิลเกิ้ลแล้ว เออ ก็ดีนะ เพลงโซคูลเพลงใหม่เพราะดี ถ้าแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม"

อาทิตย์จวนลับขอบอาคารที่ยืนเรียงตัวระเกะระกะอยู่ในย่านนั้นแล้ว อีกไม่กี่นาทีถัดจาดนี้ ความมืดมนอนธกาลจะเข้าปกคลุมอาณาบริเวณจนลับหาย แม้จะยังมองเห็นสรรพสิ่งอยู่ แต่เราต่างรู้ดีว่า เพราะแสงนีออนที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาขับไล่ความหวาดกลัวจากสิ่งที่มองไม่เห็นที่ช่วยทำให้เราไม่ต้องอกสั่นในยามที่ราตรีบุกจู่โจม

"ทุกวันนี้ผมแต่งเพลงไม่เพราะเท่าสมัยก่อนนะ เพราะว่าคนเราถ้ามีอะไรมาบีบหัวใจ มันจะสุดยอด ผมยังจำความรู้สึกตอนที่แต่งเพลงตอนอกหักตอนนั้นได้ โอ้โห มันจริง แล้วแต่งเร็วด้วย เวลาเศร้า อกหักจริงๆ จีบเขาแทบตาย ผู้หญิงเขาก็เล่นด้วย คุยโทรศัพท์ด้วย แต่ถ้าเอาเป็นแฟน ผู้ชายแบบโจ๊กนี่ไม่เอาแน่นอน เป็นปี เป็นเดือนน่ะ ให้เรารักเขา"

"สุดท้ายพอโทรไป เราก็ไม่เป็น ไม่รู้ว่าต้องมีเชิงอะไรยังไง เราก็ตรงๆ ตกลงคิดกับโจ๊กยังไงเนี่ย (หัวเราะ) ตกลงคิดกับโจ๊กยังไงเนี่ย อืม โจ๊กก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึงน่ะ โอเค (ทำเสียงเศร้า) แค่นี้นะ ตึกๆๆ เสร็จปุ๊บก็ได้เพลงอกหักจากมือถือ จริงๆ ไม่ใช่เนื้อนี้ แต่ก็ประมาณนี้แหละ ไม่อยากรู้จักหากมันจะเป็นอย่างนี้ แล้วไม่ใช่เขียนแบบลงทีละคำๆ แต่งทำนองทีละท่อน ถือกีตาร์ปุ๊บ มันมาเป็นท่อนน่ะ (ร้องเป็นเพลง) ได้เจอกับเธอ เธอทำให้ฉันฝันใฝ่ เธอทำให้รักมากมาย ในหัวใจก็มีแต่เธอ"

จริงอยู่ เมื่อรัตติกาลผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่ก็จะเดินทางมา แต่ทว่า ณ ตอนนี้ คำถามเดียวที่ก้องอยู่ในหัวของพรภพก็คือ เมื่อไหร่หนอที่ค่ำคืนอันยาวนานนี้จะยุติลงเสียที

"บางทีความผิดมันมักจะมาที่ผมซะเยอะ เพราะว่าเราเป็นหัวหน้าวง จะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องเป็นการตัดสินใจหลักของผม แล้วเพลงส่วนใหญ่ผมก็แต่ง ทำนอง เนื้อร้อง แต่ก็มีคนมาช่วยคิดเยอะ แต่ถ้าได้ปล่อยซิงเกิ้ลต่อไป มันจะเป็นเนื้อร้อง ทำนองของผมคนเดียว แน่ๆ แล้วเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งเหมือนจะตัดสินชีวิตของวงโซคูลทั้งวง ดังนั้นแล้ว ถ้าเกิดว่าเพลงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ มันเป็นความรับผิดชอบแล้วก็ความท้าทายของโจ๊ก โซคูล เป็นความกดดันสูงสุดของชีวิต แล้วก็เป็นเรื่องจริงด้วย(หัวเราะ)"

เป็นความจริงที่แม้แต่ตำแหน่งประมุขสูงสุดในโลกอินเทอร์เน็ตก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย

........

ทศพล สมวงค์ ถ่ายภาพ
ขอขอบคุณแฟนคลับวงโซคูลและบรรดาโซคูลเลี่ยนทุกท่านที่อำนวยความสะดวกและเอื้อเฟื้อข้อมูล
กำลังโหลดความคิดเห็น