xs
xsm
sm
md
lg

จาก Who r You? สู่ Who is The Author? : เปิดใจ 'เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์' กับบทที่ถูกสับเละที่สุดในชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 เรานั่งอยู่หน้าฉากสีขาวในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ ตัวอย่างหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกเล่นผ่านสายตาของเราไป แต่ไม่มีตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องใดที่มีความเย้ายวนใจ ดั่งมีมนต์สะกดให้เราอยากซื้อตั๋วเข้าไปชมได้มากเท่ากับเรื่องนี้ ตัวอย่างเริ่มต้นที่ตัวหนังสือสีขาวในฉากสีดำสนิทที่บอกเล่าถึงสิ่งที่น้อยคนจะรู้จัก

ปรากฏการณ์ฮิคิโคโมริ!

หลังจากนั้นตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็จูงมือเราไปสัมผัสบางสิ่งที่เย้ายวนชวนค้นหา ทั้งเรื่องราวของเด็กที่ขังตัวเองอยู่ในห้องเนิ่นนานกว่าห้าปี ทั้งฝีไม้ลายมือของนักแสดงตัวแม่อย่างสินจัย เปล่งพานิช ตลอดจนปริศนาในเรื่องที่ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อที่กระตุ้นความอยากรู้ว่า Who are you? หรือ ใครในห้อง?

14 วันหลังจากนั้น เราก็ใจจดใจจ่อเฝ้ารอภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในโรง กระทั่งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราเดินทางไปโรงภาพยนตร์ จ่ายเงินจำนวน 160 บาท แล้วเดินเข้าสู่โลกของ Who are you? โดยยอมให้หนังพาไปสู่คำตอบของปริศนาที่ว่า 'ใคร(อยู่)ในห้อง'

แล้วเราก็ผิดหวัง!

ไม่กี่วันหลังจากที่ Who are you? เข้าฉาย กระแสวิพากษ์วิจารณ์หนังเรื่องนี้ก็เซ็งแซ่ไปทั่วสารทิศ โดยมีเนื้อหาส่วนใหญ่โน้มเอียงไปในด้านมุมด่าทอ ส่วนใหญ่ยอมรับลว่าผิดหวังกับสิ่งที่เป็นไคล์แม็กซ์ของเรื่อง นั่นคือสิ่งที่อยู่หลังบานประตูหลังจากที่หนังเดินมาถึงบทสรุปของมันแล้ว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งหนึ่งที่เร้าอารมณ์คนดูหนังให้เกิดความรู้สึกอยากเดินเข้าไปเสพภาพยนตร์เรื่องนี้ คือตัวหนังสือสั้นๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นประโยคแรกในตัวอย่างหนังที่ว่า 'จากผู้เขียนบท 13 เกมสยอง และบอดี้ ศพ#19' เพราะรสชาติหวือหวาแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในหนังทั้งสองเรื่อง ตลอดจนตัวบทที่เหนือความคาดเดาของผู้ชมทำให้ 13 เกมสยองและบอดี้ ศพ#19 เป็นภาพยนตร์สองเรื่องที่มีคนชื่นชอบมากที่สุด
แต่เมื่อ Who are you? หรือใครในห้อง ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากฝีมือการประพันธ์ของผู้เขียนบทรายเดิมถูกสับเละไม่เป็นท่า หลายคนจึงเกิดคำถามต่อคนเขียนบทผู้นั้นว่า

"เพราะอะไรถึงเขียนเรื่องแบบนี้?"

Who are you? เป็นคำถามที่คุณอาจจะต้องไปหาคำตอบกันเองในโรงภาพยนตร์ แต่หลากหลายคำถามที่เกิดขึ้นในใจของผู้ที่ได้ไปชมมาแล้วนั้น 'เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์' ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นคนตอบด้วยตัวเอง

"ก่อนอื่นอยากจะบอกก่อนว่า จากบทไปสู่การสร้างเป็นหนังนั้น มันมีตัวแปรอีกเยอะมากครับ ซึ่งมันจะมีการตีความของผู้กำกับ การถ่ายทำ การดิวกับตัวแสดง การปรับเปลี่ยนบทไปมาด้วย ในช่วงระหว่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วตอนแรกที่เขียนไปเนี่ย ผมไม่ได้คิดว่าเขาจะโปรโมทว่าเป็นผมเขียน คือไม่ได้คิดว่าจะขึ้นว่า 'จากผู้เขียนบท 13 เกมสยอง' ไม่คิดว่าจะเอามาเป็นจุดขายขนาดนั้น ซึ่งถ้ารู้ว่าเป็นจุดขายขนาดนี้ ผมจะเข้าไป Involve (มีส่วนร่วม) มากกว่านี้ เพราะผมต้องรับผิดชอบในส่วนของบทให้มากที่สุด เท่าที่บทควรจะเป็น"
" แต่นี่ผมปล่อย เพราะคิดว่ามันเป็นหนังของบาแรมยู เป็นหนังของผู้กำกับ ซึ่งผมก็จะให้เกียรติเขาว่าเขาก็ควรจะได้มีสิทธิเต็มที่ในหนังของเขา เหมือนกับที่บอดี้ฯเองก็เคยเป็น หรือที่ 13 เกมสยอง  ซึ่งพอเขียนบทเสร็จ ก็จะให้ผู้กำกับเขาทำการบ้าน แล้วก็ใส่สไตล์ ใส่ความรู้สึกตัวเองลงไป เพราะส่วนใหญ่หนังที่ผ่านมาก็จะขายตัวผู้กำกับ ขายตัวหนัง"

"ทีนี้พอโปรโมทว่าขายบทปุ๊บ ผมก็ขนลุกแล้ว เพราะว่าเรายังไม่ได้เห็นหนัง เรารู้สึกว่า หนังเป็นยังไง ตามบทไหม เพราะว่าเราไม่ได้เข้าไป Involve เลย ไม่ได้เข้าไปดูทุกขั้นตอน ไม่ได้ดูรายละเอียดของมัน อย่างที่มันควรจะเป็น ทีนี้พอได้เห็นหนังเวอร์ชั่นแรก ก็รู้สึกว่าผิดเพี้ยนไปเยอะเหมือนกัน แล้วไปรู้ความจริงว่าบทถูกปรับแต่งอีกครั้งนึง ซึ่งถ้าใครได้ดูหนังจะเห็นว่า ในเครดิตไม่ใช่เขียนบทโดยเอกสิทธิ์ ไทยรัตน์คนเดียวนะครับ แต่มีชื่อผู้กำกับเข้ามาด้วย นั่นเท่ากับบทถูกปรับไปเป็นอีกแบบนึงด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่าง ซึ่งก็ได้คุยกับผู้กำกับเหมือนกัน ทั้งเรื่องของเงิน เรื่องของการต่อรองของทางค่าย ของทางต้นสังกัดของนักแสดงบางคนอะไรแบบนี้ มีการต่อรองว่าจุดนั้นจุดนี้ ขอปรับแก้ไขตรงนั้นตรงนี้ได้ไหม ซึ่งบางทีมันมีผลเยอะกับเรื่อง มันทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น ซึ่งผลทีได้มาผมก็ยอมรับบางส่วน แล้วก็รู้สึกว่าเครียด ปวดหัวกับบางส่วนเหมือนกัน"

เอกสิทธิ์อธิบายเจาะทีละประเด็นที่เกี่ยวกับตัวเขาเอาไว้ว่า ในเรื่องที่คนไม่ได้ดูเรื่องเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฮิคิโคโมริจนอิ่มพอเช่นที่พวกเขาคาดหวัง เป็นเพราะฮิคิโคโมริที่ถูกยกขึ้นมาโปรโมทเป็นเพียงประเด็นรองที่จะนำไปสู่แก่นแกนที่ซ่อนอยู่ข้างในนั่นเอง

"ในส่วนของวิธีการเล่า ผมมองว่า ธีมของมันที่ไม่ได้ขยี้เรื่องฮิคิโคโมริซะทีเดียวนั้น ผมมองว่า(หยุดคิด) คือฮิคิโคโมริในเรื่องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ บทมันมีแค่นั้น ไม่ได้ขยี้มาก เพียงแต่ว่าในการโปรโมทน่ะ เขาก็ต้องเอาฮิคิโคโมริขึ้นมาโปรโมท เพราะว่าเขาจะพูดเรื่องลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ข้างในไม่ได้ เพราะข้างในเป็นเรื่องเหมือนธีมหลักที่คนจะต้องยังไม่รู้ เพราะจะเป็นจุดที่สนุกที่สุดของหนัง ทีนี้คนที่ผิดหวังสเต็ปแรกคือผิดหวังว่าจะได้ดูฮิคิโคโมริเวอร์ชั่นเต็มๆ ก็จะไม่ได้ดูอะไรแบบนั้น เพราะว่ามันไม่ใช่หนังสารคดี ผมอยากจะยกตัวอย่างอย่างนี้ว่า เช่น เรื่อง The Da Vinci Code เนี่ย มันก็พูดถึงเรื่องดาวินชีโค้ดแค่ครึ่งเรื่องเอง ที่เหลือคือประเด็นหลักที่ซ่อนอยู่ ซึ่งคนดูอาจจะต้องเข้าใจในแง่นี้ด้วย ว่ามันไม่ได้แบนขนาดนั้น มันไม่ใช่ว่าอยากดูเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องนี้ ซึ่งนี่ไม่ใช่หนังสารคดี มันเป็นแค่ Hint(การเกริ่น) ที่จะดึงเข้ามา เพียงแต่ว่าในการโปรโมทคนดูอาจจะคิดไปไกลว่าเราจะขยี้เรื่องนี้ซะทีเดียว"

ส่วนกรณีฉากจบที่มีคนผิดหวังมากที่สุดนั้น เอกสิทธิ์ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากปณิธานส่วนตัวว่าจะเขียนเรื่องที่คนทั่วไปไม่สามารถคาดเดาได้และไม่ซ้ำย่ำอยู่ที่เดิมด้วย แต่องค์ประกอบอื่นๆ เช่น ลำดับการเล่าเรื่อง การตัดต่อ หรือคอมพิวเตอร์กราฟฟิก (CG) ที่ดูอิหลักอิเหลื่อนั้น เอกสิทธิ์บอกว่า เป็นสิ่งที่คนเขียนบทอย่างเขาควบคุมไม่ได้จริงๆ

"ประเด็นของตอนจบ หรือประเด็นสรุปเรื่องที่ซ่อนเอาไว้ข้างใน มันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจอย่างนั้น เพราะว่าในบอดี้ฯเอง เราเล่าเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อน หักมุมไปมา ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็มีคนด่าเหมือนกัน แต่มีคนชมมากกว่า มีคนด่าถึงขนาดที่ว่า เฮ้ย นี่มันดูถูกคนดูนะ ทำไมทำถึงขนาดนี้ แต่ตอนนั้นมีกระแสคนชมเยอะ ทีนี้พอมาเรื่องนี้ คนก็คาดหวังว่าจะได้เห็นอลังการการหักมุมแบบ 360 องศา แบบบอดี้ฯอีก แต่ผมมองว่าถ้าเราทำแบบนั้นอีกมันก็จะย่ำรอยเดิมน่ะครับ ผมรู้สึกว่า มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ สำหรับตัวผมเองรู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจ เพราะได้ทำไปแล้ว แล้วผมคิดว่ามีอะไรอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่า ซึ่งการที่ทดลองอย่างอื่น หรือสรุปอย่างอื่นแบบที่สรุปใน Who r You? เนี่ย มันก็จะเป็นของใหม่ ซึ่งในทุกๆ ความใหม่ ทุกๆ การครีเอทของใหม่ขึ้นมา มันจะมีกระแสสองกระแสอยู่แล้ว ทั้งรับได้และรับไม่ได้ ชอบหรือไม่ก็เกลียดไปเลย ซึ่งตรงนี้เข้าใจได้"

"แต่ในส่วนของ CG หรือว่าการเล่าเรื่อง ผมไม่สามารถที่จะไปควบคุมได้ อย่างที่บอกไปตอนต้นน่ะครับว่า ไม่สามารถที่จะเข้าไปคุย หรือ Involve ได้ว่า มันควรจะเล่าเรื่องแบบนี้หรือว่าไอ้ตอนท้ายไม่ CG ได้ไหม ผมต้องการแค่นี้อะไรแบบนั้น มันไม่มีขั้นตอนที่จะมาพูดคุยกันน่ะครับ สุดท้ายก็ต้องยอมรับไป โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ซึ่งตอนที่ดูหนังรอบสื่อเสร็จเราก็เห็นชะตากรรมตัวเองเลยครับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ดู หลังจากดูหนังเสร็จ"

"เพราะว่าเวอร์ชั่นที่เห็นในรอบ Press เป็นเวอร์ชั่นที่เห็นครั้งที่สองหลังจากที่เห็นเวอร์ชั่นแรกที่เรารู้สึกอึ้งว่ามันไม่ตรงมากๆ ไปแล้ว เวอร์ชั่นสองนี่ใกล้เคียงบทที่สุด แต่ว่าบทสรุปหรือวิธีเล่า ผมว่าก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน มันก็ยังไม่ได้เป็นที่เราคิดซะทีเดียว แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบด้วยส่วนหนึ่ง เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะปัดความรับผิดชอบได้ ก็ยอมรับ ผมยอมรับเฉพาะในส่วนของบทแล้วกัน แต่ว่าในการตัดต่อที่สับสนวุ่นวาย แล้วตอนนี้ก็มีคนถามเข้ามาเยอะว่า จริงๆ แล้วมันจบยังไง มันเป็นยังไงกันแน่ บอกตรงๆ ว่าตอบยาก เพราะผมเองก็ยังงเหมือนกัน มันเหมือนว่าหลายปาร์ตี้น่ะครับ หลายขั้นตอน ถูกยำไปหลายส่วนเหมือนกัน ก็เลยยากที่จะตอบเหมือนกันครับ"

หลังจากที่หนังฉายไปได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ กระแสต่อต้านด่าทอที่ซัดเข้ามา ทำให้เอกสิทธิ์เป๋ไปอยู่ระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายเจ้าตัวยอมรับว่า คนดูหนังยุคนี้ไม่ได้โง่เง่าชนิดที่ใครจะผลิตหนังฉาบฉวยประเภทตีหัวเข้าบ้านได้อีกต่อไป

"ผมเข้าไปอ่านตั้งแต่วันแรกเลยที่ Press เสร็จ เพราะ Press เสร็จเราก็รู้เลยว่าไม่น่าจะดีแล้ว ไม่น่าจะเวิร์ค เราเลยลองเข้าไปเช็คในพันทิป ก็จริง มีคนเข้ามาเล่า แล้วเขาสปอยล์เลย สปอลย์ด้วยความผิดหวังเลย แล้วส่วนนึงเรารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ เพราะว่าเราก็อยากให้การลงทุนทำหนังเรื่องนึง มันควรจะได้กำไร ได้รับผลตอบรับที่ดี อันนี้เราไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ของเราว่า เฮ้ย เขียนเรื่องห่วย เขียนเรื่องไม่ดี ซึ่งส่วนนั้นเราไม่สามารถที่ไปบังคับได้ เพราะถ้าไม่ดีมาจากเราเอง หรือว่าเราถูกด่าจากสิ่งทีเราทำ เราโอเค เรายอมรับได้"

"แต่ผมเข้าใจพวกเขานะ เป็นเราเราก็คงเซ็งเหมือนกัน ถ้าถามว่าผมไม่รู้เรื่องนี้เลย แล้วผมไปดูหนังเรื่องนึงซึ่งโปรโมทดี แล้วผมอยากไปดู ผมก็คงออกมาด่าเหมือนกันนะ เข้าใจหมด แล้วก็ยอมรับ ผมว่าคนเราผิดพลาดได้ และผมมองว่าทุกๆ อย่างมันผิดพลาดได้ เพียงแต่เราต้องยอมรับความผิดพลาดนั้นแล้วมาแก้ไข ไม่ต้องมาโทษใครดีกว่า ขั้นที่หนึ่งโทษตัวเองก่อน ว่าเราไม่ได้เข้าไปคุยมากกว่านั้น"

 "ผมว่าทุกๆ คอมเม้นท์หรือคำด่ามันเหมือนยาขมน่ะครับ แต่เราก็ต้องกินเพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง เมื่อเราป่วย เราก็ต้องกินมัน ผมมองว่ากระทู้ในพันทิป เป็นกระทู้ที่สร้างสรรค์นะครับ ทุกๆ คำด่าผมรู้สึกว่าทุกคนในนั้นเป็นคนฉลาดน่ะ เราหลอกเขาไม่ได้ ทั้งคนที่ชอบเขาก็ฉลาด คนที่ไม่ชอบเขาก็ฉลาด เพราะฉะนั้นถ้าเราจะคุยกับคนฉลาด เราก็ต้องเล่าเรื่องที่เหนือชั้น เดาทางเขาให้มากขึ้น ก็คงต้องดูกันต่อไป"

สำหรับก้าวต่อไปของคนเขียนบทและทีมงานที่ร่วมงานด้วยนั้น เอกสิทธิ์บอกว่า คงต้องนำ Who are you? มาเป็นกรณีศึกษาเพื่อพัฒนาปรับปรุงผลงานชิ้นต่อๆ ไปให้ดียิ่งขึ้น

"ผมคิดว่าเมื่อปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ผมว่ามันง่ายที่ต่อไปเราจะคุยกันได้ จะคุยกันได้ง่ายขึ้นน่ะครับ เพราะมันเห็นว่าปัญหาคืออะไร เมื่อก่อนตอนที่เขียนบทเรื่องนี้ ผมไม่คิดว่าผมจะมีอำนาจต่อรองอะไรนะ และไม่คิดว่าเราจะเป็นตัวแปรอะไร เพราะคิดว่าเขียนบทก็คือเขียนบท แต่งเรื่องไปแล้วเขาก็เอาไป ไปขายตัวดารา ไปขายอะไรไป แต่นี่ อ่าว คนเขียนบทขายได้เหรอ ถ้าคนเขียนบทขายได้ ผมขอมีผลนิดนึงนะ"

" เพราะฉะนั้นหลังจากนี้การทำงานก็คงต้องมีการพูดคุยกันมากขึ้นน่ะครับ แล้วอาจจะต้องซีเรียสกับบทแต่ละบทมากขึ้นหน่อย แล้วหลังจากนั้นถ้าหนังออกมาเป็นยังไงผมก็จะรับได้เต็มปากเต็มคำกว่านี้นะ ผมรู้สึกอย่างนั้น เพราะตอนนี้มันน้ำท่วมปากน่ะครับ พูดไม่ค่อยได้ พูดไปก็ อ้าว ไม่รับนี่หว่าอะไรแบบนี้ จะรับไป แต่มันก็ไม่ใช่ซะทีเดียวนะ ก็แฟร์กับผมนิดนึง ก็ถ้ามีการทำงานที่เคี่ยวกว่านี้ ถ้าออกมาหน้าฉากผมก็จะรับมากกว่านี้ แล้วก็อธิบายได้ทุกอย่าง เพราะตอนนี้มีคนเข้ามาถามเยอะ ทั้งในบล็อค ทั้งใน MSN ผมก็ตอบลำบากเพราะว่าสิ่งที่เขาสงสัย บางข้อ ผมก็สงสัย มันก็เลยตอบไม่ถูกน่ะครับ ก็เลยมีปัญหามากเหมือนกัน ก็อยากจะใช้สื่อนี้ชี้แจงเหมือนกันว่า มันก็เป็นกรณีนี้น่ะครับ นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม ซึ่งคนงง สงสัย ทำไมต้องเล่าให้งงด้วย ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน"

ถึงวินาทีนี้ เอกสิทธิ์ยอมรับว่าเขาปล่อยวางกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากขึ้น และเฝ้าดูปรากฏการณ์ใครในห้องที่กำลังเป็นไปด้วยจิตที่นิ่งที่สุด ตลอดจนเปลี่ยนความคิดดั้งเดิมที่เคยฝังหัวของเขามาตลอดว่า ชื่อคนเขียนบทไม่สามารถนำมาเป็นจุดขายให้กับภาพยนตร์เรื่องใดได้เหมือนกับชื่อผู้กำกับหรือชื่อนักแสดง

"ตอนแรกผมเคยคิดว่าคงจะเป็นแค่ในเรื่องการ์ตูนมั้ง(เอกสิทธิ์เขียนการ์ตูนด้วย) เพราะผมคิดว่าหนังไม่น่าจะทำได้ คิดว่า เฮ้ย ชื่อของเรามันจะขายได้สักเท่าไหร่เชียว กับดารา กับทีมงานน่าจะเวิร์คกว่ามั้ง อันนี้ไม่ได้คิด แต่พอมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ่น ก็ทั้งดีใจและทั้งเสียใจนะ ดีใจว่า สิ่งที่เราทำมันทำได้ขนาดนี้แล้วเหรอ แล้วสิ่งที่เราทำมันก็ทำได้แล้วเหรอเหมือนกัน ทั้งในสองแง่ ทั้งในแง่ อ่าว ขายได้แล้วเหรอ แล้วก็ อ่าว มันเป็นเรื่องด่าขนาดนี้แล้วเหรอ(หัวเราะ) เฮ้ย เดี๋ยวๆ สิ มันยังเร็วเกินไปไหมที่จะสรุปแบบนั้น"

นั่นสิ ยังเร็วเกินไปไหมที่จะสรุปอะไรจากสิ่งที่เพียงแค่ได้เห็น ได้ฟัง หรือได้อ่าน?

……………………………………

+ ใครที่ติดใจเรื่องเล่าสไตล์เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ อดใจรอชมภาพยนตร์สั้น 4 เรื่อง 4 รสของเขาได้ในปีนี้ (ซึ่งจะมีเรื่องหนึ่งที่เป็นฝีมือการกำกับของเขาเองด้วย) สำหรับแฟนการ์ตูนของเขา ส่งกำลังใจเชียร์ให้เขารวมเล่มงานการ์ตูนกวนๆ อย่าง Ice – T และการ์ตูนชุดอื่นๆ ของเขาในเร็ววัน แต่ถ้าอยากชมผลงานของเขาแบบไม่ต้องอดใจ เข้าไปดูบล็อคของเขาได้ที่  http://eakasit.exteen.com



บางฉากในภาพยนตร์เรื่อง Who are you?
บางฉากในภาพยนตร์เรื่อง Who are you?
กำลังโหลดความคิดเห็น