xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อ 'จี๊ด แสงทอง' ย้อนมองรักที่ผ่านไป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


   นอกจากเพ็ญพักตร์ ศิริกุลแล้วก็คงมีแต่ 'จี๊ด – แสงทอง เกตุอู่ทอง' เท่านั้นที่ นิวัติ กองเพียร คอลัมนิสต์ผู้ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์สรีระของหญิงสาวมามายาวนานหลายทศวรรษเอ่ยปากชมอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งครั้ง แต่มากกว่าสองและไม่ต่ำกว่าห้าครั้งที่นักเขียนซึ่งได้รับฉายาเกจินู้ดคนนี้ได้ใช้ปากกาพรรณาถึงเสน่ห์ทางเพศ(Sex Appeal) ของแสงทอง ซึ่งผลงานทุกภาพที่แสงทองได้เผยแพร่ให้ปรากฏสู่สาธารณะต่างก็เป็นเครื่องยืนยันการันตีถึงสิ่งนั้นได้เป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้ แม้ประชากรเพศหญิงส่วนใหญ่ของประเทศจะรู้สึกอิจฉาหลังจากที่เธอออกมาประกาศว่ากำลังคบหาดูใจกับพระเอกหนุ่มสุดหล่อมาดเซอร์ 'อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม' แต่ในอีกฝั่งฟาก ประชากรเพศชายกลับรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวที่ได้เห็นอนันดาเดินเคียงข้างสาวเอวคอดอกโตอย่างแสงทองด้วยเช่นกัน

แม้จะเริ่มต้นด้วยความอิจฉาเล็กๆ จากชายหญิงในสังคม แต่ท้ายที่สุด ความรู้สึกที่มีต่อการโคจรมาเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่างชายหญิงที่มีเสน่ห์ทางเพศสูงเป็นลำดับต้นๆ ของวงการบันเทิงไทยก็แปรไปเป็นแรงสนับสนุนให้คนทั้งสองครองรักไปให้ยาวนานตลอดไป ฉะนั้นเมื่อถึงวันที่ความรักของคนทั้งสองต้องยุติลง กองเชียร์หลายคนจึงตกใจและเสียดาย

 
การเลิกราของแสงทองกับอนันดาอาจเป็นตัวอย่างให้ผู้หญิงค่อนประเทศเห็นว่า แม้หน้าตาสะสวยและมีรูปร่างเย้ายวนใจขนาดไหน ก็มีโอกาสที่ความรักจะพังทลายลงได้ทั้งนั้น

และถ้าจะมองความสวยงามในความอัปลักษณ์ หรือหาเรื่องดีจากสิ่งเลวร้ายขมขื่น เหมือนดังที่แสงทองย้ำกับตัวเองมาตลอดนับตั้งแต่วันที่แยกทางกับอนันดา บทสนทนาขนาดไม่ยาวนักต่อไปนี้ ซึ่งแสงทองได้นั่งลงเปิดใจกับเราแบบหมดเปลือก ก็อาจเป็นของขวัญเนื่องในวันแห่งความรักสำหรับใครหลายคนที่ความรักยังไม่งดงามลงตัวอยู่ก็เป็นได้

- ตั้งแต่เลิกกับอนันดาไป คุณมักถูกถามด้วยคำถามใดบ่อยที่สุด?
"เอ่อ ตอนนี้เหรอคะ(คิดนาน) มันเยอะมากจนจำไม่ได้ คำถามตอนนี้ มีสิทธิ์จะกลับมาคืนดีกันไหม กับ เรื่องของมือที่สาม แล้วก็เรื่องของผู้หญิงคนอื่นของฝ่ายนู้น มันเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าเลยนะ แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่นักข่าวพยายามที่จะถาม ซึ่งก็ไม่เป็นไรค่ะ"

"แล้วก็มีอีกคำถามนึง คือเสียใจไหม มันเป็นเรื่องปกติของคนที่คบกันมานานเราก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา ถ้าไม่เสียใจมันก็คงจะผิดแล้วมันคงจะแปลก"

 
- รู้สึกอย่างไรที่คู่ของคุณกับอนันดาถูกจับตามองเป็นพิเศษ?
"จริงๆ แล้วเราอยู่ในการทำงานแบบนี้ มันก็ต้องแลกกับความเป็นส่วนตัวบ้าง แต่มันก็คือไม่ใช่ส่วนใหญ่ เราอยู่ด้วยความเข้าใจ แล้วก็เป็นธรรมดาเพราะการที่เราอยู่ในวงการบันเทิงเหมือนเรายืนอยู่ในที่แจ้ง ก็ต้องมีคนสนใจในสิ่งที่เราทำเป็นธรรมดาค่ะ"

- ถ้าให้คุณเลือกได้ สามารถกลับไปเป็นคนธรรมดาที่มี่ความรักแบบปกติ เวลาจะรักจะเลิกกับใครก็ไม่ต้องเปิดเผยกับสาธารณะ แต่คุณจะไม่ได้ทำงานตรงนี้ ไม่มีใครรู้จักคุณ คุณจะยอมไหม?
"ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะเลือก(หยุดคิด) จริงๆ แล้วมันไม่มีใครสามารถเลือกอะไรได้ทั้งหมดนะ เราสามารถเลือกได้บางอย่าง แล้วก็ไม่สามารถเลือกได้บางอย่าง แต่ถ้าสมมติว่ามีโอกาสที่จะย้อนกลับไปทำอะไรได้ จะย้อนกลับไปไหม ก็อยากจะย้อนกลับไปนะ เพราะว่าบางทีเราก็อยากจะกลับไปเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วตอนนี้เราก็ยังเป็นเด็กธรรมดาอยู่นะ ขอแค่ทุกวันนี้ถ้ารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ แล้วเราเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น แม้กระทั่งในความรักครั้งนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผ่านไปแล้วผ่านไปเลย แต่มันเป็นเหมือนกับประสบการณ์ชีวิตที่ดีอย่างหนึ่ง เป็นเหมือนครูที่สอนให้เราโตขึ้น"

- หมายความว่าถ้าเลือกได้ คุณยินดีกลับไปเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียง?
"จริงๆ แล้วมันเหมือนการกลับไปแก้ไขสิ่งที่เป็นตอนเด็ก กลับไปแก้ไขในสิ่งที่ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น มันคล้ายๆ กันน่ะค่ะ"

 
- การที่คุณเคยออกมาบอกว่า คุณได้อยู่ก่อนแต่งกับอนันดา คุณกังวลไหมว่าผู้ชายคนต่อไปที่จะเข้ามาในชีวิตของคุณจะรับในเรื่องนี้ไม่ได้?
"เราคิดว่ามันไม่ใช่แค่คู่ของเราน่ะ แล้วจริงๆ เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แต่ว่าคือมันก็ต้องเจอกันที่บ้านบ้าง ถ้าเราทำงานกันคนละแบบ คนละทางแบบนี้ แล้วถ้าเราไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเอง เรามาอยู่ตรงกลาง แล้วเจอกันตรงกลางอย่างนี้ซึ่งก็ถือว่าดีกว่า อย่างน้อยเรายังมีเวลาเจอกัน มีเวลาที่ได้เรียนรู้กัน แต่สุดท้ายแล้ว เหมือนว่าเราทำงานคนละแบบกันเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้เราจะอยู่ในวงการเดียวกัน"

"จริงๆ แล้วอันนี้ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง เรื่องของผู้ชายคนที่จะเข้ามาในชีวิต สุดท้ายแล้วเราให้เกียรติตัวเองนั่นคือดีที่สุด ในสิ่งที่เราทำ ในสิ่งที่เราผ่านมาแล้ว มันคือการไตร่ตรอง แล้วเราคิดว่ามันไม่ใช่แค่คู่เราที่ทำ แต่มันเป็นสิ่งที่เราได้คิดแล้ว คือเราให้เหตุผลกับมันแล้ว และเมื่อเราทำแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เสียหายสำหรับเรา มันคือสิ่งที่เปิดเผย เราไม่ได้ ไปหลอกลวงใคร เราไม่ได้ไปฆ่าใคร แล้วเราไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะเราตกลงกัน ยังดีกว่าการที่เราใช้เวลาให้นานไปกว่านี้ แล้วเกิดการแต่งงาน เกิดการหย่าร้าง ด้วยสังคมปัจจุบันมันคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะทำอะไรไปบางอย่าง อย่างน้อยมันคือทำให้เราเข้าใจในชีวิตมากขึ้น"

- คุณกลัวการอยู่คนเดียวไหม?
"ไม่กลัวการอยู่คนเดียว กลับรู้สึกว่าตัวเองจะต้องอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ แล้วก็รู้สึกว่าการอยู่คนเดียวทำให้เรารู้สึกดีมาก การอยู่คนเดียวทำให้เรารู้สึกมีสมาธิ ทำให้เราได้คิด ทำให้เราได้ไตร่ตรองอะไรมากขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า เพื่อนชอบบอกว่าเวลาที่เรารู้สึกเศร้า รู้สึกไม่ดี ไม่ควรอยู่คนเดียว แต่เรากลับรู้สึกว่าเราควรที่จะได้อยู่คนเดียว เพราะมันทำให้เราคิดและตัดสินใจที่จะทำอะไรได้อย่างมีสติ มันคือการเข้าใจกันคนละแบบ"
 "บางคนบอกว่า นี่ ต้องออกไปอยู่ข้างนอก ไปอยู่ที่ๆ คนเยอะๆ แต่เรารู้สึกว่า ยิ่งออกไปข้างนอก ไปอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ ยิ่งออกไปเที่ยวมันยิ่งทำให้ปัญหาทุกอย่างไม่ชัด ไม่เคลียร์ แต่พอได้มาอยู่คนเดียว ทำให้เราได้คิด เราได้ไตร่ตรอง แล้วเมื่อมีเหตุและผลที่ลงตัวมันก็จะทำให้เราแข็งแรงได้เร็วขึ้น มากกว่าการที่เราออกไปทำอย่างนั้น"

- คุณมีวิธีการเยียวยาตัวเองจากการเลิกราอย่างไร?
"ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ถามว่าเวลาที่อยู่คนเดียวทำยังไง ไม่ใช่การเยียวยา เพราะการเยียวยาคือการใช้เวลา และการเข้าใจมัน ต้องเข้าใจจริงๆ ด้วยนะ ไม่ใช่หลอกตัวเอง เราต้องเข้าใจและรู้สึกดีกับมัน บอกตัวเองว่าชั้นจะมองแต่แง่ดี แล้วก็มองแต่ข้อดีจริงๆ เพราะถ้าสมมติเราบอกว่า เออ ชั้นจะมองแต่ข้อดีจริงๆ แล้วยังจะทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ที่ซ้ำเติมให้เลวร้าย แบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก"

 
-ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าเข้าใจมันจริงๆ หรือเปล่า?
"ใช่ ขึ้นอยู่กับตัวเรา ทุกคนมีบาดแผล ทุกคนรู้สึก แต่เวลาจะช่วย และความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองจะช่วย บางทีความเจ็บปวดทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น สุดท้ายแล้วเราก็เป็นคนที่รักษาได้ด้วยตัวของเราเอง"

- คุณเคยบอกว่า ไม่เชื่อในคุณค่าของการแต่งงาน แล้วถ้าพูดถึงความรัก คุณเชื่อว่าคุณค่าของมันอยู่ที่ไหน?
"มันคือแรงบันดาลใจ เมื่อก่อนเคยคิดว่า การที่เราอยู่กับใครสักคนนึง มันคือความรู้สึกประมาณว่า มีคนรักดีกว่าไม่มีคนรัก แต่พอโตขึ้นเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มันทำให้เรามีแรง ทำให้เรายิ้มได้อย่างที่ไม่มีเหตุผล ทำให้เรารู้สึกมีแรงบันดาลใจในการทำอะไรที่เราจะทำต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้อยู่คนเดียว ถึงแม้เราจะชอบสเปซ ที่ว่างที่จะต้องมีเป็นของตัวเอง แต่ว่าในอนาคต ตอนที่เรามองคู่ของคนอื่น เราก็คิดว่าเราควรจะมีอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า เพราะว่าเราก็เป็นคนดีคนนึง อย่างน้อยคนเราก็ต้องแอบเห็นแก่ตัวเล็กๆ ว่า เออ เราก็เป็นคนดีนะ เราก็ควรจะมีคู่กับเขาบ้างไหม(หัวเราะ)"

- คุณคิดว่ามนุษย์ขาดความรักได้ไหม?
"(หยุดคิด) เราว่าขาดไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปรักเขา คนอื่นก็ต้องมารักเรา ถ้าเราไม่ได้รักตัวบุคคล เราก็ต้องรักสัตว์ ถ้าเราขาดความรักเท่ากับเราไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ไม่รู้จักคำว่าให้ เพราะว่าความรักมาจากความเมตตา ความรักก่อเกิดคำว่าให้ ให้โดยที่ไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทนคืนมา มันทำให้หัวใจยิ้ม"

- ความรักที่เพิ่งผ่านพ้นไปสอนอะไรคุณบ้าง?
"การอยู่ด้วยตัวของเราเองคือความสุข เราสามารถสร้างได้ด้วยตัวของเราเองได้ แล้วสอนให้เราแข็งแรง และในสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้เราเข้าใจคน เข้าใจอารมณ์ของคนที่เป็นแบบเรา ทำให้เรานิ่งขึ้น แล้วมองเหตุและผลมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่เราเป็นเด็ก เราจะใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว เราจะไม่มีเหตุและผลให้มัน แล้วเราจะไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น"
"แต่พอเราโตขึ้น มันทำให้เรานิ่ง แล้วก็ยอมรับในสิ่งที่เป็น แล้วมันก็จะไม่ทำให้เรารู้สึกว่า เราสร้างปัญหาในจิตใจตัวเองโดยที่ไม่จำเป็น หรือเสียใจกับอะไรที่เนิ่นนานเกินไป เราเสียใจอยู่แล้ว แต่เราต้องมีเหตุผลให้มันว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แล้วเราเลือกมองในสิ่งที่ดี รู้สึกดีกับมัน โดยที่เราไม่รู้สึกว่ามีอคติกับสิ่งที่เกิดขึ้น"
 

 
- หมายความว่าคุณรับมือการการเลิกราได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน?
"ค่อนข้างจะดีขึ้น แล้วก็เข้าใจมากขึ้น เพราะว่าสิ่งที่เราเจอในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่เราพัฒนาคือการโตขึ้น"

 - บอกได้เลยว่าตัวเองพัฒนาขึ้น?
"เรารู้จักการอ่านตัวเองแล้วก็ศึกษาอารมณ์ของตัวเอง ในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ แล้วเราเป็นคนที่ชอบถามตัวเองตลอดเวลา บางทีถามเกินไปด้วยซ้ำ ชอบหาเหตุผลตลอดว่าทำไม อะไร เราชอบหาคำตอบเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบมีอะไรเก็บไว้ในใจตัวเอง เพราะมันทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เราชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ ถ้ารู้สึกอะไรก็รู้สึกกับมันไปเลย แล้วพอสุดท้ายเราก็ดีขึ้น เราจะได้มีแรงไปทำอย่างอื่น เราชอบเดินถ่ายรูปอย่างสบายใจ ชอบวาดรูป เพราะรู้สึกว่าถ้าเราจะทำเรื่องพวกนี้มันไม่ควรมีอะไรที่มาทำให้เราหม่นหมองอยู่ในใจ เราก็ต้องเคลียร์ให้หมด"

- แล้วหลังจากการเลิกร้างที่ผ่านไป คำถามแรกๆ ที่ถามตัวเองคืออะไร?
"มันเป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม มันไม่ได้เสียเวลาใช่ไหม ใช่ มันไม่ได้เสียเวลา มันได้ความรู้สึกที่ดี ปกติหลายคนชอบบอกว่าเสียเวลากับสิ่งที่ผ่านมา แต่สำหรับเราเรารู้สึกว่ามันไม่ได้เสียเวลากับสิ่งที่ผ่านมาเลย"

- ความรักทำให้คุณเติบโตขึ้นไหม?
"ความรักทำให้คนเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบหนุ่มสาว ความรักจากคนรอบข้าง แล้วพอเราโตขึ้น มันทำให้เราเห็นความรักจากคนรอบข้าง แล้วมองอะไรได้ละเอียดอ่อนขึ้น"

- ตอนนี้คุณไมได้มีทัศนคติที่ไม่ดีกับความรักใช่ไหม?
"จริงๆ เราบอกได้เลยว่า ถ้าเป็นเมื่อตอนเด็ก ย้อนกลับไปคิด เราจะ เฮ้ย ไม่เอาแล้ว เบื่อ ผู้ชายไม่ดีเลย แต่พอมาเดี๋ยวนี้รู้สึกว่า เออ ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม ถ้ามันจะเกิดขึ้นอีก เราก็พร้อมที่จะให้มันเกิดขึ้นอีกนะ พอสุดท้ายแล้วการอยู่คนเดียวก็ยังต้องมีความรักจากคนรอบข้าง หรือว่าคนที่จะมารักเราแบบหนุ่มสาวอยู่ดี มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มันทำให้รู้สึกว่า เออ ก็ดีนะ"

- ที่ผ่านมา วันวาเลนไทน์มีความหมายต่อคุณมากน้อยขนาดไหน?
"ไม่ได้ทำอะไรเลย(หัวเราะ) ทุกวันมันเหมือนกันทุกวันไงคะ มันก็เลยไม่รู้สึกว่า วันวาเลนไทน์ต้องทำอะไรกันเหรอ ทุกวันมันมีค่า เหมือนวันพ่อ วันแม่เนี่ย ถ้าคุณรู้สึกดีกับพ่อแม่ คุณรักพ่อแม่ คุณก็บอกรักพ่อแม่คุณทุกวัน คุณกอดกันทุกวัน ทำให้เหมือนกันทุกวัน ถ้าคุณรักใคร คุณรักแฟน คุณรักเพื่อน คุณก็บอกรักเพื่อนคุณ"
"เหมือนอย่างเรา เราอยู่กับเพื่อนเราก็บอกรักเพื่อน เฮ้ย ชั้นรักแกนะ อยู่กับแฟนเราก็บอกรักแฟนเราทุกวัน มันก็มีค่าเท่ากัน แต่รู้สึกอย่างเดียวรถแม่งติดมาก ไม่รู้ทำไม (หัวเราะ) เหมือนว่าวันอื่นมึงไม่รักกันเลยหรือไงวะ แต่ว่าก็ไม่เป็นไร"

- ถ้าอย่างนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่กำลังจะมาถึง คุณจะทำอะไร?
"อ๋อ นัดกับเพื่อนเรียบร้อยแล้ว จะอยู่กับเพื่อน ตอนนี้มีประมาณเจ็ดคนแล้ว ปีนี้เป็นปกติ บางปีก็อยู่คนเดียวบ้างค่ะ ไม่อย่างนั้นก็ทำงาน แต่ปีนี้เพื่อนบอกว่าเราไปเที่ยวกันเถอะ"

- เป็นการมอบความรักให้กับเพื่อนๆ?
"เพื่อนๆ มอบความรักให้กับเราอยู่ตอนนี้(หัวเราะ)"

..........

ภาพโดย วรงค์กร ดินไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น