จุดพลิกผันครั้งใหญ่ครั้งสำคัญในชีวิตของ "ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง" เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 เมื่อเจ้าตัวต้องตกเป็นข่าวดังหลังถูกตำรวจบุกจับขณะเสพสิ่งเสพติดอยู่ในคอนโดมิเนียม ก่อนถูกส่งตัวดำเนินคดีและถูกแบนงานเป็นเวลานานถึง 2 ปี
โดยเจ้าตัวได้เล่าให้ฟังถึงสภาพจิตใจ และความรู้สึกในตอนนั้นว่า...
“สำหรับช่วงนั้นตัวผมเองก็รู้สึกเครียดมาก ค่อนข้างสับสน เหมือนมันมึนๆ ไม่รู้จะหาทางออกยังไง เคยคิดนะ คิดไปต่างๆ นานา ว่าแฟนเพลงเราจะรู้สึกยังไง แฟนละครจะยังติดตามผมงานเราอีกไหม สังคมจะมองว่าเราเป็นไอ้ขี้ยาหรือเปล่า โห!ความคิดมันมีสารพัด"
"แต่มันมาคิดได้ตอนหลังไงครับ ก่อนหน้านี้มันไม่ทันได้คิดให้ดีๆ ว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง ซึ่งเราเองก็ได้ครอบครัวเท่านั้นที่ให้กำลังใจ เราก้าวพลาดไปก็ไม่เป็นไร เขาก็ให้กำลังใจกันต่อไป ผมโชคดีที่มีครอบครัวที่อบอุ่น"
"มีพ่อมีแม่มีน้องญาติ ๆ คอยให้กำลังใจ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้วก็เป็นปกติมีปะปนกันไป คือถ้าตอนนั้นผมไม่มีครอบครัวช่วยเหลือและเป็นกำลังใจผมอาจจะไม่มีวันนี้”
ถือเป็นบทเรียนบทใหญ่ของชีวิต
“ซึ่งมันก็ได้ข้อคิดหลายอย่าง ด้วยความที่เราโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น โตมากขึ้น ก็มองในแง่ที่เราย้อนกลับมาย้อนกลับมามอง ณ จุดนั้นว่าจริงๆ แล้วเราไม่ควรที่จะทำอย่างนั้นเลย แต่ในเมื่อเราทำไปแล้ว และอดีตมันผ่านพ้นไปแล้ว เราก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้มันผ่านไป เป็นบทเรียนสอนใจ ทั้งสอนตัวเองและสอนคนอื่นด้วยก็ได้"
"จุดนั้นมันก็เรียกได้ว่าเป็นจุดพลิกผันของชีวิตศิลปินเลยก็ว่าได้ แล้วมันก็ได้รับบทลงโทษ แล้วที่ผ่านมา เราได้รับการตัดสินได้รับการลงโทษไปแล้ว มันก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ว่าเราอย่าไปกระทำอีก ทางผู้ใหญ่ทางค่ายตอนนั้นก็ได้ตักเตือนครับว่าสิ่งตรงนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้ มันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ในเมื่อเราทำผิดเราก็ต้องยอมรับตรงนั้น”
“ช่วงที่มีข่าวเรื่องยาเสพติดใหม่ ๆ ตอนนี้ผมไปบวช บวชสักเดือนหนึ่งได้ ผมบวชที่วัดปลักไม้ลาย จ.นครปฐม เพราะว่า ถือโอกาสบวชไปด้วยเลย ว่างๆ อยู่เลยตัดสินใจบวช เราก็ปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอน"
"ไปกวาดลานวัด ทำบุญ นั่งสมาธิบ้าง อยู่กับจิตใจของตัวเอง พอบวชเสร็จผมก็ไปเรียนต่อ เพราะตอนที่เป็นนักร้องเคยไปสมัครเรียนรามไว้ แต่เรียนยังไม่จบ ก็เพราะมาออกอัลบั้ม ซึ่งครอบครัวตอนนั้นก็ให้การสนับสนุน ก็เลยกลับมาเรียนใหม่”
“ช่วงที่ต่ำสุดของผมก็คือช่วงที่โดนโทษจากคดีแหละครับ ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมของคนเราอยู่แล้ว เพราะว่ามีขึ้นก็ต้องมีลง เหมือนเป็นกราฟชีวิต แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องรู้จักตัวเองว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น แล้วก็จมให้ลง ต้องรู้ตัวเอง เป็นไปตามสัจธรรม”
หลังได้รับการลงโทษไปแล้ว ทัชกลับคืนสู่วงการอีกครั้ง ทว่าทุกอย่างนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว?
“เข้าสู่วงการอีกครั้งเพราะครบกำหนด ครบเทอมที่เราต้องออกอัลบั้ม เพราะว่าผลงานเราก็ยังมีค้างอยู่ ที่จะต้องทำต่อ คือเราเองก็โชคดีด้วย ที่ได้มีโอกาสกลับมาทำเพลงอีกครั้ง เพราะว่าช่วงนั้นทางบริษัทกำลังรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดอะไรต่างๆ แล้วเราดันมาทำเอง มันก็เป็นสิ่งที่เราผิดอยู่แล้ว"
"แต่ก็ยังโชคดีที่ผู้ใหญ่คนรอบข้าง ยังให้กำลังใจ ยังให้โอกาส ซึ่งโอกาสมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราอยู่แล้ว ที่เรายังได้รับโอกาสตรงนี้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่มีโอกาสทำตรงนี้ หรืออาจเป็นผมเรายอมรับด้วย มันก็มีส่วน ที่เราได้รับโอกาสอีกครั้ง ตอนนั้นผมยังทำเพลงอยู่ไงคือทำเสร็จหมดแล้ว"
"แต่ติดที่ว่ามันโปรโมตไม่ได้ เพราะมีเรื่องยาเสพติดมาเกี่ยวข้องก็เลยพักไปก่อน คือตอนนั้นถ่ายมิวสิคอะไรไม่ได้ก็เลยยกยอดไปก่อน ถือว่าอัลบั้มนั้นเป็นโมฆะ แล้วก็พอเสร็จจากอัลบั้มนั้น ก็เลยได้มาทำอัลบั้มใหม่ ทัช มายไลพ์ เป็นเพลงรัก เพลงฟังเพราะๆ ก็ง่ายๆ ไม่มีเต้น กระแสตอนนั้นก็พอใช้ได้ ไม่ได้เยอะมากมาย ซึ่งอัลบั้มนั้นเป็นเพลงเก่ามาทำใหม่”
หันเหเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่ง
“พอหลังเสร็จจากอัลบั้ม ทัช มายไลฟ์ ก็มาทำลูกทุ่งเลย ห่างกันประมาณ 4 ปีได้ คือผมเองก็พอที่จะร้องลูกทุ่งได้บ้าง แต่ก็ต้องมีฝึกซ้อมเพลงลูกทุ่งตามสไตล์ของเราเอง ฝึกเอื้อน การใช้ลูกคอ แต่ไม่ใช่แบบลูกทุ่งจ๋า คือผมเองก็ชอบลูกทุ่งอยู่ด้วย อยากจะอนุรักษ์เพลงไทย สุดท้ายก็เลยลองเปลี่ยนแนว คือผมอยากจะทำลูกทุ่งมาออกหลายๆ แนว หลายสไตล์"
"เราคุยกับทางผู้ใหญ่ เขาก็ให้เราลองทำอัลบั้มลูกทุ่งดู ก็เออเราลองได้หลายแนวหลายสไตล์ ทั้งเพลงฟังสบายๆ เพลงแดนซ์ เพลงเต้นก็ทำมาหมดแล้ว ลองหันมาทำลูกทุ่งดูบ้างไหม เพราะว่าจริงๆ แล้วลูกทุ่งก็ร้องยากเหมือนกัน มันไม่เหมือนเพลงทั่วไป เพราะมันต้องใช้การเอื้อน การร้องซึ่งค่อนข้างต้องใช้ความสามารถในการร้องพอสมควร”
“บุคลิกก็ต้องเปลี่ยน แต่ไม่ถึงกับนิ่มๆ มาก ตามสไตล์ตัวเอง มีเต้นบ้าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนจังหวะนิดนึง มาถึงตอนนี้แฟนเพลงก็ยังมีบ่นๆ ถึงบ้าง ว่าเมื่อไรจะมีอัลบั้มมาอีก อัลบั้มหน้าออกมาจะเต้นไหม เราก็บอกไปว่าเร็วๆ นี้ก็จะมีอัลบั้มออกมาแล้วก็เรื่องเต้นก็อาจจะไม่ได้มาแบบเท้าไฟแล้ว แต่ก็จะมีเต้นตามสไตล์ลูกทุ่งมากกว่า โยกๆ บ้างอะไรแบบนี้ ก็มีแฟนเพลง มีแม่ยก(หัวเราะ) แต่ไม่ถึงลิเกนะ"
"คือเมื่อก่อนยังเต้นเท้าไฟได้สบาย แต่เดี๋ยวนี้เท้ามอดแล้วเต้นไม่ไหว (หัวเราะ)จริงๆ ก็ยังเต้นได้อยู่ คือแบบจะให้เต้น 3 เพลงรวดติดๆ ไม่พักเลย ก็คงไม่ไหว เมื่อก่อนร้องเพลงได้ 3-4 เพลง แถมต้องเต้นแร็พด้วย เหนื่อยมาก ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ พอหลังเวทีคงต้องให้ออกซิเจน แฮ่กๆ จะตายเอา”
“คือพอมาร้องเพลงลูกทุ่งเวลาไปก็จะไปกับศิลปินกลุ่มใหญ่ๆ ไปเองบ้าง บางทีไปไกลก็จะนั่งรถตู้กันไป ก็จะเป็นลูกทุ่งสนั่นเมือง มีกระแต บางทีก็พี่หนู มิเตอร์บ้าง พี่ต้อย หมวกแดงบ้าง ก็จะไปกันยกโขยงกันไป พวกแฟนเพลงก็แล้วแต่สไตล์มากกว่า สไตล์ใคร สไตล์มัน อย่างหลวงไก่เขาก็จะมีแฟนเพลงชาวใต้เยอะ ของผมก็จะมีทุกๆภาคเลย ก็คือเชียงใหม่ ภาคกลาง ภาคอีสาน”
“งานแบบนี้ คือแล้วแต่คนจ้าง คนจ้างไปเราก็ไปร้องเพลง แต่ก็ไม่เหนื่อยมากนะเวลาที่ต้องเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด ก็ปกติ เพราะพวกเราเป็นนักเดินทางอยู่แล้ว บางทีฝนตกฟ้าร้อง เราก็ต้องร้อง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานวัดนะที่เจอแบบนั้น แต่ถ้าเป็นวานวัดเราก็รับนะ"
"งานปิดทองฝังลูกนิมิตรอะไรต่างๆ แล้วแต่เจ้าภาพเขาจัด เราก็จะไปปิดวิคร้องเพลงกัน เก็บค่าตั๋วเก็บค่าบัตร เวลาร้องเพลงก็จะแล้วแต่ช่วงของศิลปินว่าคนไหนมีอัลบั้มที่จะต้องโปรโมตอยู่ แล้วประสบความสำเร็จอยู่ อย่างกระแต ก็จะเป็นคนสุดท้าย ผมอาจจะขึ้นร้องตอนกลางๆ แฟนก็อยากดูกระแตก็สนุกสนานกันไป”
กับเส้นทางสายลูกทุ่งแม้จะไม่ถึงกับดังเปรี้ยงปร้างอะไรนัก ทว่าเจ้าตัวก็บอกว่าจะขอทำให้ดีที่สุด โดยมีนักร้องรุ่นใหญ่อย่าง "สุเทพ วงศ์กำแหง" เป็นแบบอย่าง
“นับตั้งแต่ ปี 32 มาถึงตอนนี้ก็ 20 ปีพอดี โหย!เกือบนับไม่ถูกนานมาก ที่ผมอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะผมได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้อยู่ดูแลครอบครัว ได้อยู่กับสิ่งที่เรารัก ไม่ว่าจะการแสดงหรือร้องเพลง อยู่กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในวงการได้เจอได้ทักทายกัน ได้มาอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งมันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ถ้าไม่ได้ทำตรงนี้ก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องไปทำอะไร ไม่เคยคิดว่จะทำอย่างอื่น”
“ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตเป็นนักร้องไปเรื่อยๆ เหมือนกับคุณสุเทพ วงศ์กำแหง ตรงนี้เรามีความสุขกับการร้องเพลงก็คิดว่าเราจะร้องเพลงไปจนกว่าเราจะไม่มีแรงจะร้องนั่นแหละครับ"
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |