“ครีม - อุ้ม” ประจัญหน้าออกงานเดียวกันครั้งแรก ต่างคนต่างเชิดใส่กัน ไม่มองหน้า ไม่สัมภาษณ์คู่ ลั่นยังไงก็คงกลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้ว รับเสียดายเวลา 10 ปีที่คบกันมา แต่ต่างคนต่างอยู่น่าจะมีความสุขกว่า
หวิดทำเอางานล่มซะแล้วเมื่อสองสาว “ครีม เปรมสินี รัตนโสภา” กับ “อุ้ม ลักขณา วัธนวงศ์สิริ” ต้องโคจรมาเจอกันในงานเปิดตัวยาสีฟันสปาร์คเคิลไวท์ ที่ลานหน้าโรงหนังลิโด หลังจากที่ทั้งคู่ประกาศตัดสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนที่คบกันมายาวนาน 10 ปี เหตุเกิดจากครีมเอาเรื่องของอุ้มกับ “กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์” ไปเม้าท์ว่าคู่นี้แอบกุ๊กกิ๊กกันขณะยกโขยงเดอะแก๊งค์ไปปาร์ตี้ที่พัทยา โดยที่มีภาพจูบของทั้งคู่เป็นหลักฐานอีกด้วย แถมกฤษณ์ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ประมาณว่า อุ้มมาให้ท่าเองจนกลายเป็นข่าวคึกโครมอยู่พักใหญ่ เป็นเหตุให้ทั้งคู่มองหน้ากันไม่ติด และอุ้มตัดสินใจประกาศตัดเพื่อนกับครีมในที่สุด
จากนั้นก็ไม่เห็นทั้งคู่รับงานร่วมกันอีกเลย จนกระทั่งล่าสุดอุ้มกับครีมก็ตัดสินใจรับงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้ทั้งอุ้มและครีมมีคิวที่จะต้องขึ้นไปสัมภาษณ์กับพิธีกร ซึ่งรับหน้าที่โดยวีเจ “เอก เอกชัย วริทธิ์ชราพร” ที่ถึงกับต้องมานั่งขั้นกลางระหว่างสองสาว เพราะทั้งคู่ไม่ยอมนั่งข้างกัน ถึงกับมีเสียงเม้าท์ว่าก่อนรับงานนี้ทั้งคู่ต่างขอไว้ก่อนเลยว่าไม่ให้สัมภาษณ์คู่ และไม่ขอนั่งใกล้กันเด็ดขาด ซึ่งขณะอยู่บนเวทีทั้งสองสาวก็ไม่มองหน้ากันแม้แต่นิดเดียว หนุ่มเอกจึงต้องทำหน้าที่คอยหันซ้ายทีขวาที ซึ่งพอจบพิธีการบนเวที ครีมก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่ได้เจออดีตเพื่อนซี้อีกครั้งว่า รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะต้องเจอกัน และไม่ใช่เพราะได้ค่าตัวสูงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเจ้าของงานต้องการ
“ทราบค่ะว่าต้องมาเจอกัน แต่เขาสู้ค่าตัวค่ะเลยรับ(หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ พอดีว่างานนี้รู้จักกับคนที่ทำงานนี้ด้วย และหลายๆ เรื่องมันลงตัวน่ะค่ะ ก็โอเค ก็รู้หมดค่ะว่าต้องขึ้นเวทีด้วยกัน ก็ไม่มีอะไร เพราะว่าในเนื้องานที่บอกมาคือเราทำได้ แต่ถ้าถามว่าเพราะเรื่องเงินจริงๆ มั้ย คือสำหรับครีมไม่นะคะ จริงๆ จะไม่รับก็ได้ แต่พี่เขาบอกว่าลูกค้าเขาอยากได้เป็นคอนเซ็ปท์นี้ค่ะ”
“ก็เป็นการทำงานค่ะ เพราะเคยพูดไว้ว่าถ้ามีงานด้วยกัน และถ้าเราโอเคกับงานที่ทำก็ทำค่ะ ก็ทำได้ ไม่ได้คิดมากเลย งานนี้เขาโทรมาบอกเมื่อ 2 วันที่แล้วก็ตัดสินใจเลย ก็ยังไม่ได้คุยกันค่ะ เพราะว่าเพิ่งมาจากกองถ่าย เมื่อกี้จนพิธีกรเรียกก็ยังเดินมาไม่ถึงเลยค่ะ รีบวิ่งมาเลยเนี่ย ที่ยังไม่ได้คุยก็ไม่มีอะไร คือเหมือนอย่างที่ครีมพูดไปแล้วน่ะค่ะ”
“คนมาช่วยสานสัมพันธ์เหรอ ไม่มีหรอก มีแต่ช่วยทำลายมากกว่า(หัวเราะ) กลัวคนจะจับตามองมั้ย ไม่ทราบเหมือนกัน แต่มาก็ดีใจแล้วค่ะที่มาแสดงว่ายังโอเคอยู่ ยังอยู่ในกระแส แต่ถ้าจะให้สัมภาษณ์ คือขอคนเดียวดีกว่า สบายใจกว่า ไม่ใช่ไม่สนิทใจหรอก คือมันไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ”
ยันไม่คิดจะกลับไปพูดคุยกับ “อุ้ม” อีกต่อไปแล้ว
“ครีมว่าคงไม่กลับไปคุยกันแล้วค่ะ เพราะก็ได้อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ครีมว่าไม่ได้อยู่ที่ตัวครีมแล้วล่ะ เท่าที่ครีมรู้สึกมาหรือว่าทราบมาคงไม่มีแล้วค่ะ คือครีมก็ยังอ่านหนังสือพิมพ์บ้างนะ หรือมีคนมาบอกบ้าง แต่ตัวครีมเฉยๆ นะ แต่จะรู้สึกว่าเท่าที่ครีมรับรู้มามันคงอาจจะเป็นไปไม่ได้ ก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาเหมือนกัน เพราะคนเราจะรู้สึกดีๆ ต่อกันมันก็ไม่ได้อะไร ถ้าวันหนึ่งเหมือนเราอาจจะไปกันไม่ได้ ก็เก็บความรู้สึกดีๆ ไว้ในใจดีกว่า”
“ส่วนอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงครีมคงไม่ทราบ ตอนนี้ก็คงต่างคนต่างอยู่ แต่ถ้าเจอกันก็คงเฉยๆ เหมือนทำงานปกติ คือถามว่าอยากเคลียร์กันมั้ย จริงๆ อยากเคลียร์มานานแล้ว แต่พอตอนนี้เหมือนมันไม่ได้รับการตอบรับ ครีมก็เลยรู้สึกว่ามันคงไม่ต้องแล้ว เอาเป็นว่าทุกคนรู้แล้วกัน และครีมทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ทำดีที่สุดแล้ว คือที่ผ่านมาจะออกมายังไงครีมก็ไปบังคับหรือไปทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าตัวเองรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และพยายามทำอะไรลงไปบ้าง ถ้าเกิดวันหนึ่งมันไม่ได้ตามที่เราทำไปก็ไม่เป็นไร ก็ขออยู่เงียบๆ อย่างนี้แล้วกัน แล้วก็ขออยู่กับคนที่เขาเข้าใจเราดีกว่า”
หลังจากนั้นทีมงานจึงขอให้ “ครีม” กับ “อุ้ม” ถ่ายภาพคู่กัน ซึ่งแรกๆ ทั้งคู่ก็ทำท่าอิดออดแต่จนแล้วจนรอดก็ยอมให้แชะภาพคู่กันในที่สุด โดยครีมถึงกับเอ่ยปากบอกว่า ขอแค่ช็อตเดียวเท่านั้น และก็แอ็คชั่นท่าถ่ายรูปโดยที่ไม่หันมามองหน้ากันเหมือนอย่างเดิม แถมพอถ่ายเสร็จครีมก็รีบชิ่งออกไปทันที ส่วนอุ้มก็ได้ให้สัมภาษณ์ต่อ ซึ่งก็พูดเหมือนกันว่าความสัมพันธ์คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
“ทราบค่ะว่าต้องเจอกัน คืออุ้มว่ามันเป็นปกติคนเราอยู่ในวงการเดียวกัน ถึงมันจะมีเรื่องอะไรส่วนตัวก็แล้วแต่เราต้องแยกแยะให้ถูกระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว มันต้องเจอกันอยู่แล้วเราอยู่วงการเดียวกัน ก่อนรับงานก็คุยคอนเซ็ปท์กันว่าคอนเซ็ปท์งานเป็นยังไงมันก็น่าสนใจ และมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูแย่ ก็คงไม่แปลกที่เราจะมาทำงาน”
“ก็ไม่ได้อึดอัดใจ ก็แค่ว่ามันไม่ได้เจอกันนานแล้วเท่านั้นเอง ก็ตั้งแต่มีเรื่องครั้งนี้ก็คือครั้งแรกที่ได้เจอกัน สำหรับค่าตัวในการร่วมงานกันครั้งนี้ก็ไม่ได้เยอะอะไรมาก ตอนแรกเรียกไปเยอะกว่านี้อีก(หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้เยอะ ถือว่าพอดีๆ น่ะค่ะ นี่ก็เป็นงานแรกที่ติดต่อมาให้มาด้วยกัน ถามว่าอยากคืนดีกับเขามั้ย ณ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นเรื่องของอนาคตเราก็ไม่แน่ คนเรามันเคยเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ก็ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งมันมีการได้คุยกันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ ณ ตอนนี้เราก็มีความสุขที่เราเป็นอยู่ ณ ตอนนี้แล้ว”
พร้อมโต้ที่ “ครีม” บอกว่าพยายามที่จะคุยด้วยหลายครั้ง แต่ตนไม่ยอมคุยด้วยว่าไม่เป็นความจริง เพราะเห็นพยายามแค่ครั้งเดียว และตนไม่ได้โดนแบนออกจากกลุ่ม แต่เลือกที่จะเดินออกมาเองมากกว่า
“เท่าที่จำได้เขาก็พยายามแค่ครั้งเดียวนะคะ คือมันโตๆ กันแล้ว เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว จริงๆ คุยกันมันก็เข้าใจได้แหละ แต่เอาเป็นว่าจบดีกว่าอุ้มไม่อยากไปรื้อฟื้นหรือว่าพูดอะไร เดี๋ยวพูดอะไรออกไปก็จะกลายเป็นว่าเขาเข้าใจผิด หรือว่ามีอะไรที่ทำให้เรามีปัญหากันอีก เพราะฉะนั้นก็เอาเป็นว่าตอนนี้ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง เรามีความสุขกันทั้งสองฝ่ายก็จบ”
“เราคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วค่ะ ถามว่าเสียดายเวลามั้ยคนเรามันต้องก้าวต่อไป เราไม่ต้องไปคิดถึงอดีตที่มันผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้วคือผ่านไปให้มันเป็นบทเรียน แล้วก็เดินหน้าต่อไปดีกว่า แต่จะบอกว่าไม่เสียดายเลยมันก็คงไม่ใช่หรอก ก็ตั้ง 10 ปีมันก็ต้องมีบ้างแหละ เพื่อนคนอื่นก็ไม่ได้มาพูดอะไรนะคะ(หัวเราะ) คือต้องบอกว่าเราไม่ชอบที่เราโดนมองว่าถูกแบนออกจากกลุ่ม แต่จริงๆ แล้วเราเป็นคนเลือกที่จะถอยออกมา คือตอนนี้เพื่อนๆ กลุ่มนี้กับเราต่างก็มีเส้นทางเป็นของตัวเองน่ะค่ะ แต่ไม่ได้แบ่งพรรคพวกกันหรอก เพียงแค่ว่าเขาก็อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ไม่ได้มาเจอกัน ไม่ได้มาเฮฮากันเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้นเอง”
“คือเราเลือกที่จะออกมาเอง เพราะว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ อยู่ตรงนั้นมันไม่มีความสุข เราก็ออกมาแล้วเรามีความสุข เรามีเพื่อนดีๆ ให้คบเยอะแยะค่ะ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปซีเรียสหรือคิดอะไรมาก โอกาสกลับมาก็ไม่รู้เหมือนกันซิคะ หน้ายังไม่มองกันเลย ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ก็เฉยๆ รู้อยู่แล้ว ไม่อึดอัดค่ะ”
หลังจากที่ให้สัมภาษณ์ได้สักพัก “อุ้ม” ก็ถึงกับน้ำตาซึม หยุดให้สัมภาษณ์ชั่วครู่ ก่อนจะหันมาซับน้ำตาและให้สัมภาษณ์ต่อ บอกว่าถ้าต้องเจอกันงานหน้าอีกก็ไม่มีปัญหา อยู่วงการเดียวกันคงหนีกันไม่พ้น
“คือเมื่อกี้ที่ร้องไห้ไม่ได้อัดอั้นหรอก คำถามมันโดนมั้ง มันก็เลยรู้สึกจี๊ดๆ นิดนึง คือบนเวทีเราก็เฉยๆ นะ เราแยกแยะออกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ยังไงมันก็ต้องเจอกันน่ะค่ะ เราอยู่วงการเดียวกัน ก็ทิ้งเรื่องส่วนตัวไว้ข้างหลัง งานก็คืองาน เรายังไงก็ได้อยู่แล้ว ถ้าเขาทักเราก็ทัก ถ้าเขาไม่ทักเราก็ไม่ทัก เราจะเริ่มก่อนมั้ยมันก็ต้องดูปฏิกิริยาคนที่เราจะร่วมด้วยว่าเขายังไง”
“คือถามว่าสัมภาษณ์คู่ได้มั้ย มันก็โอเค มันก็ได้ แต่เราก็เข้าใจว่ามันก็คงลำบากใจมั้งถ้าเกิดเขาจะมาสัมภาษณ์คู่กับเรา ทางที่ดีที่สุดก็คือแยกกันดีกว่า ถ่ายรูปคู่กันแค่นั้นก็โอเคแล้ว ถามว่าอยากคุยมั้ย มันเลยจุดนั้นมาแล้วค่ะ มันเกือบปีแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน ไม่ได้คุยกัน แต่ถามว่าความรู้สึกที่มันอยู่ในใจลึกๆ มันก็ยังมีแหละ อุ้มเชื่อว่าทั้งสองคนก็คงทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ ทั้งตัวอุ้มทั้งตัวครีมเอง แต่ในเมื่อทางมันตันแค่ตรงนี้มันก็ต้องเดินหน้าต่อไป งานหน้าก็คงต้องดูก่อนค่ะว่าเวลาว่างมั้ย จังหวะเราโอเครึเปล่า แล้วมันจะเป็นยังไง ถามว่าร่วมงานกันได้มั้ยเราก็มีสปิริตพอ เราก็โตๆ กันแล้ว อยู่ในวงการเดียวกัน ยังไงมันก็หนีกันไม่พ้นหรอก”
พร้อมกันนี้ยังเปิดใจถึงความสัมพันธ์ที่เพิ่งมีข่าวว่าศึกษาดูใจอยู่กับอดีตหวานใจของสาว “เป้ย ปายวาด เหมมณี” อย่าง “บุษย์ ปิยะวุฒิ”หนุ่มตี๋ร่างเล็กเจ้าของรถเฟอร์รารี่ที่พิชิตใจสาวฮอตมานักต่อนัก งานนี้ว่ากันว่าฝ่ายชายหลงอุ้มอย่างหนักถึงขั้นเตรียมซื้อบ้านราคาเหยียบ 5 ล้านบาทให้เป็นของขวัญเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดันสั้นจุ๊ดจู๋ไปกันไม่รอด
“ความรักไม่หวานชื่นหรอกค่ะ เราเป็นเพื่อนกันแล้ว คนเรามันมีสิทธิที่จะเรียนรู้ คือเรายังไม่ได้บอกเลยว่าเราคบกับพี่บุษย์เป็นแฟน เราแค่บอกว่าเราศึกษาดูใจกันอยู่ แต่ในเมื่อมันศึกษาดูใจกันแล้ว คิดว่าถ้าเราเป็นเพื่อนกันความสัมพันธ์มันจะยืนยาวกว่า เราก็เป็นเพื่อนกันดีกว่า ก็เพิ่งจะเรียนรู้กันได้เดือนกว่าเองค่ะ แล้วก็เพิ่งจะเปลี่ยนความสัมพันธ์กันได้สักพัก”
“ปัญหามันก็หลายๆ อย่าง คือพอเรียนรู้กันได้สักระยะหนึ่งมันก็เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมันเป็นคนละแนวทางกัน ถ้ามันมากกว่าคำว่าเป็นเพื่อนไปแล้วมันจะมีปัญหาอะไรมากกว่านี้มั้ย มันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นก็คิดว่าถ้าเราหยุดความสัมพันธ์ลงแค่ว่าเราเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องกันมันก็จะทำให้เรารู้จักกันได้นานกว่านี้”
“เรื่องหน้าตาของพี่บุษย์ไม่เกี่ยว อุ้มบอกแล้วว่าอุ้มมองข้ามในเรื่องของความหล่อ หน้าตา รูปร่าง คือเราโตแล้ว เราไม่ใช่เด็กๆ ที่จะแบบคบใครต้องหล่อไว้ก่อน ต้องรวยก่อนคือมันไม่ใช่ไงคะ มันอยู่ที่จิตใจจริงๆ อย่างที่บอกว่าตอนนั้นก็เปิดใจรับที่จะคุยกับเขา ที่จะรับเขาเข้ามา แต่ว่าพอมันคุยกันแล้วมันคนละเส้นทางกัน เพราะฉะนั้นเราเป็นเพื่อนกันมันก็ไม่ผิด คนเรามันก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้ทุกคู่ ทุกคนต้องเรียนรู้กันก่อนที่จะเป็นแฟนกัน”
“ช่วงนี้ไม่ได้คุยกันแล้วค่ะ ก็ห่างๆ กัน ไม่ถึงกับตัดเลยหรอก ก็เจอได้ คุยได้ แต่ว่าคงไม่ได้คุยกันในฐานะที่จะศึกษาใจกัน ตอนนี้ทุกอย่างมันก็เหลือแค่ความเป็นเพื่อน เขาโอเคอยู่แล้วค่ะ เขาสาวเยอะ(หัวเราะ) แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกค่ะ ไม่เกี่ยวกับสาวๆ เลย ตอนที่เขาคุยกับเราเขาก็คุยกับเราคนเดียว เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกเรื่องนิสัยเราไม่เหมือนกันแค่นั้นเองค่ะ”
“ตอนนี้โสดค่ะ ก็มีคนเข้ามาบ้าง แต่ว่าเราก็ต้องค่อยๆ ดูไป เป็นคนนอกวงการ เข็ดคนในวงการมั้ย อุ้มว่าแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้วค่ะ ถ้าเราเจอคนดีก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา ถ้าวันหนึ่งเราเจอคนที่ไม่ดี ก็ถือซะว่ามันก็ได้เรียนรู้”