“พอล” สุดทน เตรียมยื่นฟ้องหมออดีตหุ้นส่วนคลินิกจัดกระดูก เรียกค่าเสียหายกว่า 200 ล้านบาท เนื่องจากเปิดบริษัทใหม่ โดยไม่มีรายชื่อผู้ถือหุ้นเดิม และไม่มีการแจ้งใดๆ แถมยังถ่ายโอนลูกค้าจากสาขาเดิมไปจนต้องปิดกิจการ เผยพยายามเรียกให้มาเจรจากันแล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนเลยต้องพึ่งกฎหมาย เบื้องต้นจะให้โอกาสมาเจรจาภายใน 7 วัน ถ้าเลยกำหนดจะยื่นฟ้องเอาผิดทั้งทางแพ่งและอาญา
เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (8 ต.ค.) ที่สำนักงานกฎหมายสมศักดิ์ โตรักษา ย่านสุขุมวิท 103 พระเอกและพิธีกรชื่อดัง “พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์” พร้อม 4 หุ้นส่วนร่วมธุรกิจคลินิกเกี่ยวกับการจัดกระดูก บริษัท ไคโรม่า จำกัด และทนายความสมศักดิ์ โตรักษา ได้ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมยื่นฟ้องอดีตผู้ถือหุ้น “นายแพทย์รุจน์ โรจนาศรีรัตน์” ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดเรียงกระดูกประจำคลินิกด้วย ฐานเอาแบรนด์ของบริษัทไปเปิดบริษัทใหม่ โดยไม่มีรายชื่อผู้ถือหุ้นเดิม และได้ทำการเปลี่ยนแปลงหุ้นโดยไม่มีการแจ้งให้ทราบ ซึ่งพระเอกหนุ่มได้เผยถึงเรื่องราวในการฟ้องร้องครั้งนี้ว่า
“ผมรู้จักคุณหมอรุจน์มาประมาณ 5-6 ปี เริ่มจากผมเป็นคนไข้ของคุณหมอนี่แหละ เราเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนทุกคน เชื่อใจกัน จากนั้นเราก็เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยกันเมื่อปี 2547ช่วงเดือนกันยายน พวกเราได้ร่วมกันทำคลินิกเกี่ยวกับการจัดกระดูกที่ชื่อว่าไคโรมา คลินิก ที่โรงแรมAll Season ถนนวิทยุ ซึ่งดำเนินไปด้วยดี 2 ปีจากนั้นเราก็อยากจะทำอะไร ที่มันครบวงจรมากขึ้น โดยเป็นคลินิกและฟิตเนสรวมกัน”
“ก็มาเปิดที่ใหม่ที่ชื่อว่า ไคโรฟิต ที่ทองหล่อ ซึ่งก็ไปได้ดีมาก เราลงทุนลงแรงลงสมองกันไป สร้างไคโรฟิตให้เกิดเป็นที่ยอมรับตรงนั้นได้อีกประมาณ 2 ปี จากนั้นก็มีสาขาที่ 3 เกิดมาชื่อว่า ไคโรฟิต เหมือนกันที่ตรงเอกมัย แต่หลังจากที่เราไปตรวจสอบแล้วพบว่า ในบริษัทที่เปิดขึ้นใหม่ ไม่มีชื่อพวกเราอยู่ในนั้น”
“จริงๆต่างคนต่างก็มีงาน มีธุรกิจของตัวเองที่ต้องดูแล และต่างคนต่างยุ่งด้วย ก็เลยอาจจะไม่ได้มาดูตรงนี้มาก ดังนั้นทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากคุณหมอรุจน์ ไปเปิดบริษัทใหม่ที่ชื่อ ไคโรฟิต แบงค็อก จำกัด แล้วก็มีผู้ถือหุ้นใหม่ที่ไม่ใช่พวกเรา แต่ว่าใช้แบรนด์ไคโรฟิตของเราอันเดิม โดยไม่ได้รับอนุญาต จากนั้นก็เริ่มมีการถ่ายโอนลูกค้าเรา"
"จากที่สาขาเดิมไปยังสาขาใหม่ จนสาขาเดิมต้องปิดกิจการลง และได้เอาสาขาปัจจุบันของเราไปให้ชาวต่างชาติเช่า เพื่อทำธุรกิจด้านฟิตเนสต่อไป ซึ่งก็เช่นเดียวกันไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือหุ้น และมีการนำอุปกรณ์และเครื่องมือจากไคโรฟิตที่ทองหล่อ ไปใช้ที่เอกมัยด้วย และก็มีการลดปริมาณหุ้นของผู้ถือหุ้นทั้งหมด โดยที่เราไม่มีใครรับทราบ”
“ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้ ไม่มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ไม่มีการแจ้งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเราถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เรารับไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายและไม่ยุติธรรมต่อพวกเรา หลังจากที่ได้พยายามพูดคุยขอความกระจ่างชัดเจนจากทางคุณรุจน์ โรจนาศรีรัตน์ หลายครั้ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก็เลยคิดว่าต้องหันมาพึ่งกระบวนการยุติธรรม นั่นคือเหตุผลที่พวกเราต้องมาขอคำปรึกษาจากคุณสมศักดิ์ โตรักษา”
เผยพยายามเรียกคู่กรณีมาสอบถามประชุมกัน แต่ไม่ได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย และไม่มีเอกสารอะไรมาชี้แจงอยู่นาน 6 เดือน จึงคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทวงถามต่อไป เลยต้องหันหน้าพึ่งกระบวนการทางกฎหมาย
“ต้องเรียนว่าคุณหมอรุจน์ เป็นคนพูดคุยได้ยากนิดนึง ทุกคนจะทราบดี เราได้พยายามพูดคุยหรือเรียกประชุม ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน เป็นระยะเวลานานพอสมควร ก็ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวเอกมัยมาได้สัก 6 เดือน ช่วงนั้นก็มีการถาม มีการขอความชัดเจน ขอดูเอกสารก็ไม่เคยมอบให้ดู ไม่เคยมีอะไรให้ดู เราก็เลยต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเอง แล้วก็พบว่าไม่มีชื่อพวกเราอยู่ แต่ว่าเอาแบรนด์ของเราไปใช้ ซึ่งผมก็ไม่ใช่นักกฎหมายนะ แต่คิดว่าอย่างนี้มันก็ไม่น่าจะถูก ก็เลยมาปรึกษาและพูดคุยกับหุ้นส่วนท่านอื่นๆ คิดว่าคุยกับคุณหมอคงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ ต้องพึ่งกระบวนการทางกฎหมายดีกว่า”
“หลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบอะไรชัดเจน ผมก็ไม่ได้คุยกับคุณหมอรุจน์มาประมาณเดือนนึงแล้ว แต่มีลูกค้ามาบอกผมเหมือนกัน คือเรารู้นะครับว่ามีสาขาใหม่ วันที่เปิดพวกผมยังไปร่วมงานอยู่เลย เพราะคิดว่าเป็นการขยายธุรกิจ และต้องมีพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คือตอนนั้นเขาบอกผมว่า ผมยังมีหุ้นเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่พอตรวจสอบจริงมันไม่มี แล้วก็เริ่มมีการถ่ายโอนลูกค้าจากทองหล่อไปที่เอกมัย โดยบอกลูกค้าว่าไม่ต้องมาที่ทองหล่อแล้วนะ ให้ไปที่เอกมัยแทน ซึ่งคนที่เขาไล่โทรหาก็เป็นลูกค้าผมเหมือนกัน”
“ตอนนี้ที่ทองหล่อในฝั่งคลินิกปิดไปแล้ว แต่ในส่วนฟิตเนสคุณหมอให้ชาวต่างชาติท่านนึงมาเช่า เอาไปทำเป็นฟิตเนสต่างหาก เขาก็เปลี่ยนชื่อซึ่งก็ปิดเหมือนกัน โดยไม่ได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกเรา เขาทำโดยพละการ ส่วนที่ All Season ก็ปิดไปแล้ว แต่ที่ปิดเพราะต้องการขยายกิจการมาที่ทองหล่อ ซึ่งธุรกิจก็ไปได้ด้วยดี สร้างฐานลูกค้าได้มาก พอมาที่ทองหล่อยิ่งเราประชาสัมพันธ์หนักขึ้น โฆษณามากขึ้น ยิ่งทำให้ฐานลูกค้าเรามากขึ้นไปอีก นั่นก็คงเป็นเหตุผลนึงที่เขาไปทำสาขาที่ 3 โดยที่ไม่มีพวกเรา”
เมื่อสอบถามว่าเคยทราบหรือมีการตรวจสอบพฤติกรรมของ “คุณหมอรุจน์” มาก่อนหรือไม่ว่าจะทำเช่นนี้ พระเอกหนุ่มกล่าวว่า เรื่องพฤติกรรมกับนิสัยเป็นคนละเรื่องกัน ถึงจะโดนคู่กรณีเล่นไม่ซื่อ แต่ก็ยังส่งลูกค้าไปให้ เนื่องจากเป็นหมอฝีมือดี
“เขาเคยมีพฤติกรรมแบบนี้มั้ย คือผมก็ไม่อยากไปคอมเม้นท์ตรงนั้นนะครับ มันเป็นบุคลิกและนิสัยส่วนตัว คงต้องแยกเรื่องนิสัยกับฝีมือออกจากกัน คือทุกวันนี้ถึงแม้จะรู้ว่าเขาทำอย่างนี้กับเรา ผมก็ยังส่งลูกค้าไปให้เขานะ เพื่อนผมหรือใครๆ ที่เจ็บป่วย ผมก็ยังมีส่งไปบ้าง คือฝีมือกับนิสัยมันคนละเรื่องกัน (หัวเราะ)"
"แต่ถามว่าจะให้กลับไปร่วมงานกันอีก คงจะไม่ใช่คำตอบของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าเป็นในลักษณะนี้คงทำงานด้วยกันไม่ได้ต่อไป ก็ถ้าอยากจะใช้แบรนด์ไคโรฟิตจริงๆ ก็ใช้ได้ ก็จ่ายค่าเสียหายของแต่ละคนมา แล้วคุณก็เอาไปใช้ก็จบกันไป ก็คือซื้อหุ้นพวกเราไป และคุณก็เอาไปใช้ง่ายๆเลย”
“อยากฝากเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน การที่จะร่วมลงทุนธุรกิจกับใคร คงต้องดูกันให้มากๆ ครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญ สำหรับผมและทุกคนเลยก็ว่าได้ ต่อจากนี้คงต้องรอว่า หลังจากยื่นหนังสือไปแล้วจะเป็นยังไงต่อ แต่ก็คงดำเนินการให้ถึงที่สุด”
ด้านทนายความ “สมศักดิ์” เผยถึงฐานความผิดของ “คุณหมอรุจน์” สามารถฟ้องร้องได้ทั้งทางอาญาและแพ่ง แต่ในเบื้องต้นจะเป็นการส่งจดหมายเรียกมาเจรจากันก่อน แต่ถ้าภายใน 7 วันยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็จะยื่นเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
“จากการตรวจสอบหลักฐาน พยานต่างๆ ที่ทางคุณพอลกับผู้ร่วมลงทุนทั้งหมดได้มามอบให้ และได้สอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นแล้ว ก็พบสิ่งที่น่าจะดำเนินการทางกฏหมายได้ นำมาฟ้องร้องได้ ในเรื่องของการเปิดบริษัทขึ้นมาอีกแห่งนึง ซึ่งทำธุรกิจเหมือนกัน และคุณหมอรุจน์ก็บริหารอยู่ทั้ง 2 บริษัท จนทำให้บริษัทที่ 2 ไคโรฟิต จำกัดจะต้องปิดตัวลงไป มีการประสบการขาดทุน นี่คือประเด็นที่ 1 ที่ทางกลุ่มผู้ลงทุนสามารถดำเนินการได้ และก็จะฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง เพราะการลงทุนในครั้งนี้ รู้สึกว่าผู้ร่วมลงทุนทุกคน ต่างคนทำหน้าที่ทุ่มลงทุน และสร้างแบรนด์ตัวนี้ขึ้นมาในชื่อ ไคโรฟิต และก็คิดว่าโอกาสครั้งหน้าน่าจะเป็นธุรกิจที่ดี”
“ปรากฏธุรกิจนี้เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั่วไป จนมีลูกค้ามาก และเมื่อได้ลูกค้ามากจากไคโรฟิต จำกัด ก็มีการเปิดบริษัทไคโรฟิต แบงค็อก แห่งใหม่ โดยไม่มีผู้ร่วมลงทุนครั้งแรกทั้งหมดนี้เลย ดังนั้นบริษัทที่ 3 ที่เปิดขึ้นก็ได้นำแบรนด์ไคโรฟิต จำกัดไปใช้ อันนี้ก็ต้องมาเกี่ยวกับเรื่องถูกดำเนินคดี เกี่ยวกับพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า 2534 มาตรา 46 และผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 272 และเกี่ยวกับเรื่องของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และประมวลกฏหมายแพ่ง อันนี้เราก็สามารถที่จะดำเนินการตรงนี้ได้”
“การดำเนินการกับคุณหมอรุจน์ และบริษัทไคโรฟิต แบงค็อก จำกัด เราก็จะดำเนินการกับบริษัทนี้ และกับกรรมการผู้ถือหุ้น ที่มีส่วนร่วมในการกระทำ ในการนำแบรนด์ไปใช้ นำเครื่องหมายการค้าไคโรฟิตไปใช้ ซึ่งในเบื้องต้นได้ตกลงกับผู้ร่วมลงทุนแล้วว่า เราจะมีหนังสือบอกกล่าวไปเป็นเวลา 7 วัน เรายังไม่ได้ฟ้องนะครับ ให้มาคุยด้วยเหตุผลกันก่อน ทางผู้ร่วมลงทุนทั้ง 5 ก็ยอมมาคุยกันว่าจะแก้ไขปัญหาตรงนี้ที่เกิดขึ้น นอกเสียจากตกลงกันไม่ได้ เราจึงจะบังคับใช้กฎหมายมีการฟ้องร้องต่อไป อันนี้เรียกว่าเข้าสู่กระบวนการเริ่มต้น เป็นกระบวนการเจรจาให้โอกาสกัน”
“แต่ถ้าเกิดครบกำหนดภายใน 7 วัน แล้วยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจ จากบรรดาผู้ร่วมลงทุนทั้งหลาย ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ซึ่งการกระทำทั้งหมดก็ผิดหลายพ.ร.บ.อยู่ หลายกระทง อันนี้ฟ้องทั้งแพ่งทั้งอาญาได้ อาญาก็เป็นพวกเอาอุปกรณ์ไปใช้ และรูปลักษณ์ตัวไคโรฟิตเป็นรูปลักษณ์เฉพาะ มันก็ผิดในประมวลกฎหมายอาญา และผิดพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์"
"ในส่วนของการเรียกร้องค่าเสียหาย สำหรับบริษัทไคโรฟิต จำกัด คุณพอลจะเรียกประมาณสัก 90 กว่าล้าน และของหุ้นส่วนทั้ง 4 คนรวมๆกันแล้วก็ประมาณ 100 กว่าล้าน นอกจากนี้ยังมีการเรียกค่าเสียหายในส่วนที่นำเครื่องหมายการค้าไปใช้ ซึ่งจะเรียกอีกประมาณ 100 ล้านบาท”