"มิสทิน มาแล้วค่ะ"
ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ภาพในอดีตของ "เพชรา เชาวราษฎร์" รวมถึงความเห็นของดาราดังในยุคปัจจุบัน เช่น อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ, ชมพู่ - อารยา เอฮาร์เก็ต และเวียร์ - ศุกลวัฒน์ คณารศ ถูกนำมาปูพรมเพื่อนำไปสู่การเป็นพรีเซ็นเตอร์ของเพชรา เชาวราษฎร์ในวันที่ 30 กันยายน ที่จะถึงนี้
ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยว่า การกลับมาของเพชรา เชาวราษฎร์ เพชรเม็ดงามแห่งวงการภาพยนตร์ไทยในครั้งนี้ว่าจะเป็นอย่างไร จะสวย สมกับที่รอคอยหรือไม่!?
หลายสิบปีมานี้ แฟนภาพยนตร์ไทย ได้ยินแต่เสียงของเธอ ... เนื่องจากเธอไม่ได้ปรากฏตัวทางสื่อมวลชนมานานกว่า 30 ปีเต็ม
ปี 2552 เพชรา เชาวราษฎร์ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในรอบ 30 ปีในรายการ "วู้ดดี้เกิดมาคุย" โดยเข้าไปคุยในบ้านพักที่ซอยแพทย์ปัญญา รามคำแหง พร้อมพูดเปิดใจและบอกสาเหตุที่เก็บตัวเงียบ และไม่ยอมออกรายการโทรทัศน์ และไม่ยอมเปิดเผยหน้าตา
ตุลาคม 2552 บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ "มิสทิน" จัดทำแคมเปญการตลาดและกิจกรรมเพื่อสังคมครั้งใหญ่ โดยนำเพชรา เชาวราษฎร์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับเครื่องสำอาง โดยเห็นชอบร่วมกันที่จะนำรายได้ให้กับมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
โฆษณาชิ้นนี้จะปรากฏครั้งแรกแก่สาธารณชน ณ วันที่ 30 กันยายน ในรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ทางช่อง 3 เป็นรายการแรก นอกจากนี้ เพชรา เชาวราฎร์ยังได้ถ่ายแฟชั่นที่ โรงแรมโอเรียนเต็ล เพื่อขึ้นปกนิตยสาร LIPS กับเครื่องเพชร 700 ล้านของแฟรงค์ จิวเวลรี พิเศษเล่มนี้มี 4 ปกในผู้อ่านได้เลือกซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกวางแผงในวันที่ 7 ตุลาคมนี้
...
เพชรา ตำนาน "ราชินีจอเงิน"
อี๊ด เพชรา ชื่อเดิมว่า เอก เชาวราษฎร์ ปัจจุบัน อายุ 67 ปี เป็นชาวระยอง เธอเรียกพ่อว่า "เตี่ย" เนื่องจากเป็นคนจีน ส่วนแม่เป็นคนไทย ปี 2504 เพชรา เชาวราษฎร์คว้าตำแหน่งชนะเลิศ "เทพธิดาเมษาฮาวาย" ซึ่งจัดโดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ณ เวทีลีลาศสวนลุมพินี ผู้ส่งเธอเข้าประกวดเป็น น้องสาวของพี่เขย และใช้ชื่อในการประกวดว่า "ปัทมา เชาวราษฎร์" จากนั้น ศิริ ศิริจินดาและดอกดิน กัญญามาลย์ทาบทามมาแสดงหนังเรื่องแรกคือ "บันทึกรักพิมพ์ฉวี" (พ.ศ. 2505) คู่กับมิตร ชัยบัญชา ขณะนั้น มิตรมีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์อยู่ก่อนแล้ว โดยดอกดินเป็นคนตั้งชื่อ "เพชรา" ให้กับเธอเพื่อใช้ในวงการภาพยนตร์
ภาพยนตร์ของเพชราเริ่มต้น เมื่อ พ.ศ. 2505 – 2521
ยุคทองของเธออยู่ระหว่าง พ.ศ. 2506 - 2513 (มิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตเมื่อ 8 ตุลาคม 2513) หลังจากนั้นเพชราได้ร่วมแสดงกับพระเอกคนอื่นๆ อีกหลายคน เช่น สมบัติ เมทะนี, ไชยา สุริยัน, ลือชัย นฤนาท, นาท ภูวนัย, กรุง ศรีวิไล, ครรชิต ขวัญประชา, ยอดชาย เมฆสุวรรณ เป็นต้น จนเมื่อปี 2521 ภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย เธอรับบทเป็นแม่ของสรพงศ์ ชาตรีในภาพยนตร์เรื่อง "ไอ้ขุนทอง" และเมื่อใดที่เรากล่าวถึงอมตะหนังไทยและดาราคู่ขวัญ มิตร – เพชรา คือ พระ – นางคู่แรกที่ฉายชัดขึ้นมาทันที
นิตยสาร "ภาพยนตร์และโทรทัศน์" ฉบับแรก ขึ้นปก เพชรา เชาวราษฎร์เป็นคนแรก ถ่ายภาพ เพชรา ในบทของ "สาวปาดตาล" โดย ไพรัช กสิวัฒน์
เพชรา เชาวราษฎร์มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ซึ่งเป็นช่วงปลายของการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "ไทยใหญ่" ปัญหาเรื่องสายตา เริ่มจากอาการแสบตา เนื่องจากเธอต้องอยู่กับไฟที่สว่างจ้าในโรงถ่าย การทำงานของเพชรา เชาวราษฎร์แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อน และไม่ได้พบแพทย์เป็นประจำสม่ำเสมอ เนื่องจากงานถ่ายทำภาพยนตร์รัดตัวทั้งวัน ทั้งคืน
เพชรา เชาวราษฏร์ เป็นเจ้าของผลงานแสดงภาพยนตร์ราว 300 เรื่อง และครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ เล่นคู่กับมิตร ชัยบัญชา
ปี 2508 รางวัลพระสรัสวดี (ตุ๊กตาทอง) จากภาพยนตร์เรื่อง นกน้อย ปี พ.ศ. 2508
ปี 2508 รางวัลคู่ขวัญดาราทองจากภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน
ปี 2544 รางวัลสรรพศาสตร์ศุภกิจ
...
จากทาสเทวี – หยาดเพชร
ในโลกภาพยนตร์ เพชรา เชาวราษฎร์ กับมิตร ชัยบัญชา คือดาราคู่ขวัญ แต่ในชีวิตจริง ชรินทร์ นันทนาคร ยืนอยู่เคียงข้างกับเพชรา แม้ในวันที่โลกมืดถึงที่สุด
"เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง
หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า
หยาดเพชรเกล็ดแก้วแววฟ้า
ร่วงมาจากฟ้าหรือไร
ฯลฯ
เอื้อมมือคว้าหยาดเพชรแก้ว
เผลอรักแล้วจึงฝันใฝ่
หยาดเพชรหยาดละอองผ่องใส
แม้อยู่ในความมืดมน
(เพลง หยาดเพชร คำร้อง ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง สมาน กาญจนผลิน)
ในหนังสือ "คอนเสิร์ตเชิดชูครูเพลง – ครั้งที่ 2 ชาลี อินทรวิจิตร" เล่าให้ฟังว่า...
"ผมแต่งเพลงนี้ให้ชรินทร์ขับร้อง เพราะรู้ว่าตั้งแต่เขาเลิกกับภรรยาคนเก่ามา เขากำลังชอบเพชราอยู่ เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "เงิน เงิน เงิน" ผมบอกเขาว่าร้องให้ดีนะ ร้องแล้วคงรู้ว่าผมหมายถึงใคร เป็นเพลงเอกของภาพยนตร์ดังกล่าว ที่สุดชรินทร์ก็สมหวังในชีวิตรัก"
ถ้าจะว่าไปแล้ว เพลงนี้ไม่ได้ไพเราะแค่คำและความหมายเท่านั้น หากแต่ยังเป็น "ชีวิต" จริงของเธอในวันนี้ ดังประโยคสุดท้าย – แม้อยู่ในความมืดมน...
สมัยที่อี๊ด - เพชรา อายุเพียง 15 ปี เคยถูกทางบ้านจับหมั้นหมายกับชายคนหนึ่ง เธอตัดสินใจหนีก่อนวันวิวาห์เพียง 20 วันทั้งที่ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายเตรียมงานทุกอย่างไว้แล้ว เนื่องจากสัญญาหมั้นหมายในครั้งนั้นทำให้พ่อแม่ของเธอต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก นี่เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะลงประกวดเทพธิดาเมษาฮาวาย
ชรินทร์มาพบรักครั้งใหม่กับเพชรา เชาวราษฎร์เมื่อเลิกกับ สปัน เธียรประสิทธิ์แล้ว!!
สปัน เธียรประสิทธิ์ ผู้นี้คือยายแท้ๆ ของแหวน - ปวริศา เพ็ญชาติ และ หวาย - ปัญญาริสา เธียรประสิทธิ์ นักร้องในสังกัดค่ายกามิกาเซ่ ทั้งนี้เพราะแม่ของแหวนและหวายคือพยานรักของชรินทร์ นันทนาครกับสปัน เธียรประสิทธิ์
ฉึ่ง - ชรินทร์ มีนามเดิมว่า มัย วัฒนธานินทร์ เปลี่ยนชื่อ- นามสกุลเพื่อใช้ในวงการครั้งแรกว่า ชรินทร์ งามเมือง ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็น "นันทนาคร" ในปี 2503
เพลง "ทาสเทวี" ครูสง่า อารัมภีร์เขียนขึ้นจากตำนานรักของชรินทร์ นันทนาคร หรือ "ขุนแผน ลูกแม่ระมิงค์" (ฉายานี้ แปะ สุรชัย ดิลกวิลาศ เป็นคนตั้ง) กับ สปัน เธียรประสิทธิ์
รักครั้งแรก เริ่มต้นเมื่อชรินทร์ งามเมือง ทำงานอยู่ในแผนกบัญชีของบริษัทกมลสุโกศล ก่อนที่จะย้ายไปเป็นหัวหน้าฝ่ายแผ่นเสียง วันหนึ่งสปัน เธียรประสิทธิ์เข้ามาเป็นลูกค้าใหม่ จากวันนั้นทั้งคู่ได้คบค้ากัน จนกระทั่ง...ทั้งคู่ตัดสินใจแหวกประเพณี "วิวาห์เหาะ" ไปด้วยกัน
เมื่อบุพการีรื้อค้นห้องส่วนตัวของลูกสาว พบจดหมายรักของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ชรินทร์ งามเมืองที่สปัน เธียรประสิทธิ์ วางไว้อย่างพิเศษอยู่ในกล่องที่อบด้วยกลิ่นหอม ไม่เฉพาะแต่สปันเท่านั้นที่หายไปจากครอบครัว ชรินทร์ งามเมืองก็หายไปจากห้างกมลสุโกศลด้วย
บิดาของสปัน เธียรประสิทธิ์ตั้งสินบนนำจับ 5 แสนบาท !!
ตำรวจพบตัวทั้งคู่ที่โรงแรมเอเชีย พิษณุโลก ชรินทร์โดนตั้งข้อหาว่าลักพาตัวสาวและมีปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง!? เครื่องประดับที่สปันนำติดตัวมามีมูลค่าถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาทยังอยู่ครบ เหตุที่สปันและชรินทร์ต้องรีบตัดสินใจเพราะสปันกำลังจะถูกจับเข้าพิธีหมั้นกับสมพล ไกรฤกษ์ หนุ่มนักเรียนนอกที่คบหาดูใจกันตั้งแต่ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เธอให้การต่อตำรวจว่า ติดตามชรินทร์มาด้วยความสมัครใจ !! เพราะบรรลุนิติภาวะแล้ว
ชรินทร์ และสปัน มีพยานรักด้วยกัน 2 คน และมิช้านาน สปัน เธียรประสิทธิ์ก็ขอเป็นฝ่ายเลิกกับชรินทร์ นันทนาคร โดยนำบุตรสาวไปเลี้ยงดูด้วยตนเอง
ชรินทร์ นันทนาครร่วมงานครั้งแรกกับเพชราในภาพยนตร์เรื่อง "แพนน้อย" ทั้งคู่มีโอกาสพบกันที่บ้านดอกดิน กัญญามาลย์บ่อยครั้ง ต่อมาเมื่อพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการเริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน (เข้าฉายในวันที่ 28 ธันวาคม 2508 ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2509 ) เพลงหยาดเพชรถูกหยอดจีบเข้ามาในหนังเรื่องนี้
เพชรา เชาวราษฎร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า...
"ตอนที่เจอเขาครั้งแรก ดิฉันรู้สึกเห็นใจเขานะคะ เพราะตอนนั้นเขามีปัญหาชีวิต แต่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกัน จนตอนหลังเขามาเป็นดารา เป็นผู้กำกับหนัง ดิฉันจึงได้มีโอกาสร่วมงานกับเขา ทุกวันนี้เรายังติดนิสัยที่ต้องรอคอยกันอยู่ เพราะสมัยรักชอบกันจะไปไหนด้วยกันแบบเปิดเผยไม่ได้ จนกระทั่งดิฉันได้แสดงหนังเรื่อง แผ่นดินแม่ ปี พ.ศ. 2518 จึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราสองคนต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาไม่น้อย เพราะเราเป็นดาราที่อยู่ในสายตาประชาชนตลอด"
ทั้งคู่แต่งงานกันเงียบๆ เลี้ยงเพื่อนร่วมวงการเพียงไม่กี่คน
ชรินทร์ นันทนาครยังเป็นผู้สร้างหนังมาตั้งแต่ปี 2508 หนังเรื่องแรกคือ เทพบุตรนักเลง และชีวิตหลังแต่งงานก็ไม่เคยห่างหายจากวงการภาพยนตร์ จนถึงปี 2521 ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เพชรา เชาวราษฎร์แสดงคือ ไอ้ขุนทอง เธอเป็นทั้งอำนวยการสร้างและแสดงเป็นแม่ของพระเอก รับบทโดยสรพงษ์ ชาตรี "นันทนาครภาพยนตร์" มีภาพยนตร์ทั้งสิ้น 19 เรื่อง เรื่องเด่นอื่นๆ เช่น ลมหนาว, แมวไทย, สวรรค์วันเพ็ญ, รักเธอเสมอ, น้ำผึ้งพระจันทร์, แผ่นดินแม่, ลูกเจ้าพระยา เป็นต้น
...
"เต่า อรสา" กล่าวยกย่อง "เพชราคนดี กล้าหาญ"
เพชรา เชาวราษฎร์สนิทสนมคุ้นเคยกับนักแสดงในรุ่นเดียวกันหลายคน เช่น อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา, เมตตา รุ่งรัตน์, บุศรา นฤมิตร, อุษา อัจฉรานิมิต, อภิญญา วีระขจร, โขมพัสตร์ อรรถยา, วาสนา ชลากร, มานี มณีวรรณ (เสียชีวิตแล้ว)
คำต่อคำกับ อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตนักเรียนนาฏศิลป์จากญี่ปุ่น ฉายา "เต่าไทย" บุตรสาวของนักพากย์ชื่อดัง ม.ล.รุจิรา อิศรางกูร และ มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งคร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์และเพลงยาวนานกว่า 40 ปี เป็นหนึ่งในนักร้อง "คณะสามศักดิ์" ซึ่งประกอบไปด้วย สักกรินทร์ ปุญญฤทธิ์ มีศักดิ์ นาครัตน์ ทนงศักดิ์ ภักดีเทวา อรสาเคยมีผลงานพิธีกรทางโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงคือรายการ "รวมดาวสาวสยาม" ทางช่อง 5 อีกทั้งยังร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เธอแสดงมากมายหลายอัลบั้ม ปัจจุบันยังทำงานอยู่ในแวดวงบันเทิง
เต่า อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา เข้าสู่วงการภาพยนตร์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยเล่นหนังของพ่อคือ ม.ล.รุจิรา จากวัยเด็ก เริ่มมารับบทนางเอกในวัย 16 ปี และมีโอกาสได้เล่นหนังเรื่องแรกที่เพชรานำแสดงคือ บันทึกรักของพิมพ์ฉวี (ศิริ ศิริจินดา กำกับการแสดง ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2505 ที่ศาลาเฉลิมกรุง) เธอบอกว่า เมื่อมิตร – เพชรา เป็นพระเอกนางเอกคู่ขวัญ เธอกับดอกดินที่เธอเรียกติดปาก เหมือนคนอื่นๆว่า “น้าดิน” ก็พาเธอมาเล่นคู่กัน ดอกดิน ตัวดำๆ กับอรสา ตัวขาวๆ ...
วันนี้เธอย้อนความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนรักร่วมวงการ เพชรา เชาวราษฎร์ให้ฟังว่า...
"ตอนที่เล่นด้วยกันจะเป็นเพื่อนเป็นนักแสดงที่น่ารักมาก เขาเป็นคนดีทั้งคู่เลยนะ ( มิตร-เพชรา) เขาเป็นคนที่ใจบุญโอบอ้อมอารี ทำบุญกุศลมาตลอด ดีหมดทุกอย่าง น่าสงสารเขานะที่เขามาตาเสีย เล่นหนังเล่นอะไรมา ได้เงินบ้าง ไม่ได้เงินบ้าง เขาก็ไม่ว่าอะไร อี๊ดเขามีลูกน้องมีครอบครัวนี่เขาช่วยเหลือหมด เรื่องการเงินการทองขาดเหลืออะไรเขาช่วยเหลือหมด มิตร ชัยบัญชา ก็เหมือนกัน คู่นี้เขามีจิตใจช่วยเหลือคนตลอด"
อรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นคนหนึ่งที่เพชรา เชาวราษฎร์มักจะไถ่ถามถึงสารทุกข์สุขดิบอยู่เสมอ
"สนิทมากเลยๆ ตอนที่ตาเขาไม่เห็นนะ เขายังมีกะจิตกะใจ ไอ้เรามัวแต่ไม่ค่อยมีเวลา ไม่ค่อยได้ไปหาเขา เขาก็อุตส่าห์โทร.มานะ โทร.มาหาว่า 'เฮ้ย เป็นไงสบายดีเหรอ' เราก็ว่า 'ใครวะ' 'อี๊ดไง อี๊ด-เพชรา' ก็คุยกันถามสารทุกข์สุกดิบกัน แทนที่เราจะเป็นฝ่ายถามเนอะ เออ เขายังบอกคนอื่นนะ 'ไอ้เต่ามันไม่มีเวลา เราว่างเราก็โทร.หามัน' "
"สมัยโน้นมีดาราไม่มาก เดี๋ยวนี้ดารามันเยอะแยะไปหมดจนไม่รู้ใครเป็นใครเลย สมัยก่อนดาราเขาจะรักกันเหมือนพี่เหมือนน้องเลย เวลาเล่นหนังจะรักใคร่กันไม่มีอิจฉาริษยาไม่มีอะไรเลย อย่างเมื่อก่อนมีเมตตา, อรสา อะไรอย่างนี้ พอถึงเวลาตัวเราเล่นไม่ได้ติดเรื่องนี้ เราก็นี่เอ้าเรื่องนี้ให้เหน่ง (เมตตา) เล่นสิ เมื่อก่อนนี้ศิลปินทุกคนรักใคร่กันจริงๆ นะ เหมือนพี่น้องกันจริงๆ เลย"
ด้วยหน้าที่การงานจึงทำให้มีโอกาสน้อยครั้งที่จะได้มาพบเจอกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรสายสัมพันธ์ของเพื่อนก็ไม่เคยจางไป
"ส่วนมากจะโทร.คุยกัน วันเกิดอี๊ดเขาวันที่ 19 มกราคม เราเกิดวันที่ 18 บางทีก็โทร.ไปแฮปปี้เบิร์ธเดย์เขา เขาก็เบิร์ธเดย์เราอะไรอย่างนี้"
"เวลาที่เขาคุยนะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่นะวันนี้ข้าไปโน่นมา ไปสระผม ไปทำอะไรมา คือพูดเหมือนไม่เกิดอะไรเลย คือจิตใจเขาเยี่ยมมาก แล้วเขาทำเองหมดเลยนะ เสื้อผ้าอะไรเขาจัด ถ้าวันนั้นคุณชรินทร์จะออกไปข้างนอกพอดี เขาก็ถามว่า 'ไหนวันนี้คุณแต่งสีอะไร ใส่เนกไทสีอะไร'"
"เขามีความจำดี เก่งด้วย พูดก็เก่ง ที่ให้สัมภาษณ์อะไร แล้วก็รู้หมดไม่ว่าจะข่าวหรืออะไรก็รู้หมด เขาฟังทีวีนี่เขารู้หมดเลยนะ เขาจะต้อง 'เออ วันนั้นเอ็งเล่นเรื่องนั้นงั้นงี้' เขาฟังเขาจำได้หมดเลย แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นวันเกิดเราไปหาเขา เพราะเราไม่ค่อยได้ไปเลยไง เราก็ไปกับเพื่อนก็ไปหาอี๊ดกันที่บ้าน ก็ทำเป็นเซอร์ไพรส์เขา เขามองไม่เห็นใช่มั้ย พวกนั้นก็บอก 'เฮ้ยๆ อี๊ดพาใครมาหาแน่ะ' เขาก็บอก 'ใครวะ' เราก็เดินไปหาเขา แต่ก่อนแม่นี่เต่าตัดผมสั้นทรงที่เล่นหนังตลอด พอถึงเขาก็จับๆ หน้าจับๆ ผม เขาว่า 'ไอ้เต่า' เรานี่น้ำตาเช็ดเลย"
ย้อนหลังกลับไปก่อนเหตุการณ์นี้ เต่า - อรสา เคยไปเยี่ยมเพชราในคราวหนึ่ง สมัยที่เพชราตัวบวม นอนอยู่ที่บ้าน พอแม่เต่าเห็นเท่านั้นแหละถึงกับกอดเพชราร่ำไห้ ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะมีชะตากรรมดังที่เห็นนี้
วันนี้เมื่อได้ทราบข่าวว่าเพื่อนรักอย่างเพชราตกลงเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อการกุศล ก็ฟันธงได้ถึงเสียงตอบรับทันที
"ตอบรับดีแน่นอน เพราะเขาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อการกุศลช่วยคนตาบอด ศิลปินรุ่นหลังๆ จะได้เห็นว่ารุ่นพี่เขาทำตัวยังไง ขนาดอายุขนาดนี้แล้วยังยอมสละ เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อการกุศลไม่ได้เป็นเพื่อจะเอาเงิน นี่ยิ่งทำให้เขาน่าสรรเสริญมากเลย เขาเป็นหญิงที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จิตใจเขาเยี่ยมจริงๆ เลย เป็นผู้หญิงที่น่าสรรเสริญ"
"ธรรมดาเขาไม่ค่อยยอมเจอใครนะ เวลาไปไหนเขาจะใช้แต่เสียงเขาจะไม่ไปปรากฏตัวให้คนอื่นเห็น คือเขาก็ไม่รู้นะว่าทุกๆ อย่างเขาเหมือนเดิมหมด เพียงแต่ว่าตาเขาไม่เห็นเท่านั้นแหละ เขาบอกว่ามองแล้วมันเป็นขาวๆ เขาก็เลยไม่กล้าออกไป ทั้งที่เขาก็ยังสวยเหมือนเดิม เขาก็ยังปกติเหมือนเดิม เขากลัวว่าจะทำอะไรพลาดหลุดๆ แต่ว่าเขาไม่เลย แต่ก็อย่างว่าเขาก็ไม่อยากให้คนทั่วไปเห็นสภาพเขาอะไรอย่างนี้ ถ้าใครมาเห็นแล้วไม่รู้ว่าตาเขาไม่เห็นนะ ก็จะไม่รู้หรอก"
สุดท้ายอรสาได้บรรยายความรู้สึกลึกๆ ที่อยู่ในใจในฐานะที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเพื่อนรักของเพชราถึงสิ่งที่ผู้หญิงแกร่งนามว่า เพชรา เชาวราษฎร์ กระทำมาตลอดว่า...
"พวกเราทุกคนปลาบปลื้มมาก เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเราเลย แล้วเราจะทำได้อย่างเขาไหมว่าอย่างนี้เถอะ ขนาดเขาไม่ยอมให้เห็นแต่เขายอมเป็น เพื่อการกุศลแท้ๆ เลย รุ่นๆ เรานี่ไม่มีใครเทียบเขาได้แล้วในความดีของเขา ความกล้าหาญ และอะไรทุกอย่างที่เขาทำมา เพื่อนรักชื่นชมมากๆ"
(ติดตามอ่านต่อ พินิจ - เพชรา (พิการ) ในความทรงจำ (ตอนที่ 2))