“เอ ศุภชัย” ฉุนข่าว “อั้ม พัชราภา” เอารองเท้าตบหน้า “ต๊อด” ล่าสุดก็มีข่าวเมาท์แตกหาว่าไปฟาดผู้ชาย เตรียมจับมืออั้มหาต้นตอคนปล่อยข่าว ลั่นถ้าหาเจอมีมาตรการจัดการแน่
เคยตกเป็นข่าวเอาไม้กอล์ฟฟาดแฟนหนุ่มจนขึ้นหน้าหนึ่งเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ล่าสุดหลังจาก “อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ” ตกเป็นข่าวเมาท์แตกว่าเอารองเท้าตบหน้าแฟนเก่า “ต๊อด ศิณะ อุ่นทรพันธ์” อีกรอบ งานนี้ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ผู้จัดการส่วนตัวถึงกับเดือดจัด อดรนทนไม่ไหว ออกอาการเป็นเดือดเป็นร้องแทนขอเปิดใจเรื่องนี้ในงาน BaByliss Pro on Stage Asian Competition
“ขอพูดเรื่องอั้มก่อนเลยนะครับ เครียดมากเลยตอนนี้ คืออันแรกต้องขอบอกน้องๆ นักข่าวทุกคนก่อนเลยว่าวันแรกที่โทรมาสัมภาษณ์ เอไม่ทราบรายละเอียดข้อมูลอะไร แล้วก็ได้โทรไปถามอั้ม ด้วยนิสัยอั้มทุกอย่างแล้วคือไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน คือตอนนี้รู้สึกว่ามีบางกลุ่มบุคคลนะครับที่ไม่ประสงค์ดีกับน้อง ที่จะพยายามปล่อยข่าวโจมตีน้องตลอดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งหาว่าอั้มไปฟาดผู้ชาย แล้วก็อีกหลายๆ เรื่อง ซึ่งตอนนี้เอกับอั้มกำลังหาต้นตอในสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันมาจากจุดไหน และถ้าหาแล้วเราก็มีวิธีดำเนินการของเรากันต่อไป”
“อาจจะเป็นคนนอกวงการที่ไม่ประสงค์ดี หรืออาจจะเป็นใครเราก็ไม่รู้นะครับว่าเป็นกลุ่มบุคคลไหน แต่ว่าน่าจะเป็นคนในวงการบันเทิงด้วยกันที่คิดกันไว้นะครับ คือถ้าเขาอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นแล้วเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนที่เขาพูด เอก็กล้าบอกเลยว่าคนนั้นเป็นคนที่โกหกมาก เพราะวันที่อั้มอยู่ในเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนตามที่หนังสือเล่มนึงได้พูดออกมา อั้มได้อยู่กับเพื่อนอั้มแล้วก็ได้อยู่กับทุกๆ คน แล้วก็ไม่มีเหตุการณ์ที่เหมือนในข่าวเกิดขึ้น คือได้ถามอั้มแล้ว และก็อยู่กับอั้มมาตลอดตั้งแต่ใช้ชีวิตกันมา คืออาจจะมีเหตุการณ์อย่างนี้สักครั้งนึงก็สิบปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นไม่เคยมีอีกเลยครับยืนยัน”
ยืนยันว่า “อั้ม” และ “ต๊อด” ไม่ได้มีการทะเลาะกันเลย ความสัมพันธ์ก็ยังปกติดีเหมือนเดิมทุกอย่าง เผยข่าวนี้ทำให้ “อั้ม” เครียดสุดๆ ถ้ากลับมาจากต่างประเทศแล้วจะออกมาชี้แจงเองแน่นอน
“เขาไม่ได้มีปากเสียงกันเลยครับ อั้มบอกว่าอั้มส่งรูปไปใน Hi5 ว่าเขาโอเคเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ถ้ามีหนังสือบางเล่มได้ดูข่าวก็จะเห็นรูป อั้มเขาซีเรียสกับข่าวนี้มากๆ พอลงเครื่องที่ญี่ปุ่นปุ๊บก็โทรหาเอเลย ไม่ค่อยเจอบรรยากาศที่อั้มเครียดแบบนี้มาเป็นปีแล้ว ถ้าข่าวที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง อย่างเช่นคนอื่นมาทำร้ายเขา เขาจะไม่แคร์ แต่ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นข่าวที่ตัวเขาได้ไปทำร้ายคนอื่น เขาจะรู้สึกซีเรียสมาก เพราะว่าตัวเขาไม่อยากทำร้ายคนอื่น และมันจะส่งผลไม่ดีต่อครอบครัวของฝ่ายผู้ถูกกระทำด้วย คือทั้งพ่อแม่ของผู้ชายและตัวผู้ชายเองด้วย”
“อั้มก็เลยบอกว่าให้ผู้ชายออกมายืนยันว่าผู้ชายไม่ได้ถูกกระทำจริงๆ ซึ่งผู้ชายก็ออกมายืนยัน และผู้ชายก็รู้สึกโกรธคนที่เอาข่าวนี้ไปปล่อยมากๆ ด้วย แล้วอั้มก็บอกว่าอั้มจะออกมาพูดอีกทีนึง แต่ในฐานะที่เอเป็นคนใกล้ตัว เอก็กล้ายืนยันเลยว่าน้องอั้มไม่มีพฤติกรรมแบบนี้แน่นอนครับ”
“ถามว่ารู้มั้ยว่าใครเป็นคนปล่อย มันก็สงสัยกันอยู่เหมือนกันนะครับ มันก็มีหลายคนที่สงสัย อั้มก็ว่าเราไม่ต้องสงสัยดีกว่า ถ้าเกิดคนที่เราสงสัยไม่ได้กระทำคนนั้นก็กลายเป็นแพะรับบาป เพราะฉะนั้นเราก็ปล่อยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน แต่ก็จะตามหาตัวให้ เพราะไม่อย่างนั้นมันก็ไม่หยุด มันก็จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นเรื่อยๆ มีคนลงข่าวแบบนี้ว่าอั้มไปตีผู้ชาย ซึ่งมันเป็นผลเสียมาก คือเราเป็นผู้หญิงไทยนะครับ บางครั้งตอนเด็กอาจจะมีอะไรผิดพลาดกันบ้าง แต่ตอนนี้โตกันแล้ว ความคิดอั้มก็เปลี่ยนไป ซึ่งเอยืนยันแทนน้องได้เลยว่าเหตุการณ์อย่างนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน”
เชื่อว่าอาจจะเป็นผลจากคนที่คิดอิจฉาสาว “อั้ม” ในเชิงธุรกิจก็ได้ เพราะปีนี้นางเอกสาวได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาอยู่หลายตัว
“แต่คิดว่าอาจจะเพราะวงการธุรกิจกับวงการบันเทิงมันใกล้เคียงกัน มันก็มีคู่แข่งกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำเพื่ออะไร ซึ่งเห็นจากหลายๆ กรณีนะครับว่า บางคนได้ดีก็มีการอิจฉากันเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเราก็เลยไม่อยากจะสรุปว่ามันเกิดกันเพราะอะไร เพราะช่วงนี้อั้มรับเป็นพรีเซ็นเตอร์เยอะ แต่สิ่งที่อั้มเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็บอกทุกครั้งว่าเป็นสินค้าที่อั้มใช้จริงและเป็นสินค้ายอดขายดีจริงๆ แต่เราก็ไม่อยากคิดว่าเป็นเพราะผลทางธุรกิจนะครับ แต่วันนึงมันก็ต้องมีคำตอบของคำถามที่ทุกคนอยากรู้”
“คือถ้ามีภาพลักษณ์ไม่ดีอย่างนั้นจริง มันก็อาจจะส่งผลให้อั้มหลุดจากพรีเซ็นเตอร์ได้เหมือนกัน แต่ไม่ต้องว่าเป็นพรีเซ็นเตอร์หรอก เราไม่อยากให้นักแสดงหรือเพื่อนเราที่เขาเรียกเราว่าผู้จัดการมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแน่นอน ก็เลยรู้สึกแย่เหมือนกันกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็เหมือนกับว่านานๆ ครั้งที่อั้มจะโทรมาเหมือนขอคำปรึกษา ซึ่งปกติเราจะปรึกษาซึ่งกันและกัน เปลี่ยนความคิดกันแล้วก็ขำๆ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเขาซีเรียสจริงๆ”