xs
xsm
sm
md
lg

“ดี้ นิติพงษ์” ยิ้มสู้ลิ้นหัวใจรั่ว เตรียมผ่าตัด 5 ก.ย.นี้ ประกาศเลิกบุหรี่ถาวร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ดี้ นิติพงษ์” แถลงข่าวแจงอาการป่วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว เผยเป็นมากว่า 10 ปีแล้ว แต่พักหลังออกอาการทรุดถี่ เลยต้องวิ่งโร่หาหมอ แจงจะเข้ารับการผ่าตัดเสาร์ 5 ก.ย.นี้ ไม่หวั่นใดๆ เพราะมีเปอร์เซ็นต์เสี่ยงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ให้คำมั่นหลังผ่าตัดจะงดสูบบุหรี่เด็ดขาด

หลังจากที่ “ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค” นักแต่งเพลงชื่อดัง และหนึ่งในผู้บริหารค่ายเพลงแกรมมี่ฯ ล้มป่วยด้วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว จนญาติต้องหามส่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เมื่อคืนวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา โดยแพทย์ให้นอนรอดูอาการ และเตรียมวางแผนผ่าตัดเร็วๆ นี้ ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (3 ก.ย.) “ดี้ นิติพงษ์” ได้ลุกขึ้นจากเตียงคนไข้ มาแถลงข่าวด้วยตนเองเกี่ยวกับอาการป่วย โดยเผยว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมากว่า 10 ปีแล้ว พักหลังมีอาการเจ็บหน้าอกหนักขึ้น เลยต้องวิ่งโร่หาหมอเพื่อเข้ารับการรักษา

“อาการเบื้องต้นที่ไม่สบายคือ หัวใจเต้นผิดปกติ คนทั่วๆ ไปถ้าไม่ได้ทำอะไรมาก นั่งเฉยๆ ความดันก็จะประมาณ 60 70 มล.แต่ของผมล่อไป 120-130 มล. เดี๋ยวเผลอๆ ก็ลงมา 50 มล.หรือไม่ก็ 80 มล. มันเป็นอาการหัวใจเต้นเร็วไปและช้าไป ไม่สม่ำเสมอกัน ซึ่งผมเองมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือลิ้นหัวใจยาว มันเลยทำให้ประตูหัวใจปิดไม่มิด พอระหว่างห้องปิดไม่มิด ห้องนี้บีบเลือดไปห้องโน้น มันก็บีบไปไม่หมด มันก็จะไหลกลับมาในห้องเดิม ทำให้ห้องนี้มีโอกาสหัวใจโตมากขึ้น”

“ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นที่ห้องล่างซ้าย หรือบนซ้าย แล้วเป็นมาแต่กำเนิดหรือเปล่า แต่เพิ่งมารู้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพอลิ้นหัวใจยาวเลยทำให้หัวใจรั่ว การเต้นของหัวใจผิดปกติ คือคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ ก็เป็นกันได้ ถ้าทำงานหนักมากหรือไม่ได้พักผ่อน แต่ว่าเป็นแล้วก็จะหายไป แต่ของผมเป็นแล้วไม่หาย เพราะมีเรื่องของโรคลิ้นหัวใจที่เป็นมา 10 ๆ ปีแล้ว แล้วเราก็ผัดผ่อนการผ่าตัดมา เนื่องจากหมอยังเห็นว่า ยังไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เราจะมีอาการเหนื่อย หัวใจเต้นแรง เจ็บหน้าอก แต่เราก็พอควบคุมมันได้ เรายังสามารถทำงานทำการได้ เรายังว่ายน้ำได้ไม่เหนื่อยมาก”

“แต่พักหลังๆ เริ่มจะไม่ไหว ตั้งแต่เดือนที่แล้ว เราเริ่มมีอาการเหนื่อย ทำอะไรก็เหนื่อย แล้วเรายังไม่เข็ด ซึ่งก็มีทั้งคนเป็นห่วงและสมน้ำหน้า เพราะเราไม่ยอมพักผ่อน เราเลยเข้ามารับการรักษา และได้ยาดีแล้ว เราถึงเป็นปกติได้ พอคราวนี้เป็นขึ้นมาอีกแล้วไม่หาย ขนาดว่าเราทำตัวดีๆ แล้วก็ยังเป็นอยู่”

“ซึ่งสาเหตุที่เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ มาจากความอ่อนล้าลงของหัวใจที่มันไม่ปกติ ทำให้เราเจ็บหน้าอก ผมไม่ถึงกับหน้ามืด ถึงขนาดต้องหามเข้าโรงพยาบาล เหมือนที่เขียนๆ กัน เราเดินเข้ามาเอง คือโรคตรงนี้ไม่ถึงกับหน้ามืด อย่างที่ใครๆ เข้าใจ มันจะไม่หัวใจวายปัจจุบันทันด่วนอย่างนั้น แต่ถ้าผสมกันระหว่างการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ กับลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจก็สามารถที่จะล้มเหลวได้”

“มันจะเป็นทั้งเรื่องเล็กก็ได้ เรื่องใหญ่ก็ได้ ยิ้มๆ กันอยู่ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้หมอ ก็อาจจะเหี่ยวได้เหมือนกัน เรื่องหัวใจบอกยาก แต่ตอนนี้ดีขึ้นน่าจะว่ายน้ำได้เลย แต่มันก็ไม่แน่ มันเป็นเรื่องของแล้วแต่จังหวะ ไว้ใจอะไรไม่ได้ ซึ่งวันที่มาโรงพยาบาล หมอก็ไม่สบายใจ อยากให้อยู่ห้อง CCU ซึ่งเป็นห้องผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ ซึ่งเป็นชื่อที่ค่อนข้างเท่มาก ผมก็มานอนอยู่ได้ 2 คืนแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เบื้องต้นหมอให้การรักษาโดยให้ยาทางเส้น มีเข็มน้ำเกลือ และเข็มให้ยาที่ฉีดเข้าไปในเส้นยาวเฟื้อยเลย และก็จะมีอีกที่หนึ่งเป็นยาที่เจ็บที่สุดในชีวิต มันแสบมาก เป็นยาที่เข้าไปควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นจังหวะปกติ ให้มันลดลงและสม่ำเสมอ”

“คือคราวที่แล้วที่เป็น เมื่อประมาณเดือนกว่าๆ ผมก็มารักษาที่นี่อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ค หรือ hi5 เลยไม่มีใครรู้ ตอนนั้นเราทำตัวไม่ดี นอนตี 3 ตื่นไปทำงานตี 5 พอมาคราวนี้ทำตัวดีมากขึ้น แต่ก็ยังเป็นอยู่ไม่หาย เราเลยเตรียมพร้อมด้วยการเอาโน๊ตบุ๊คมาด้วย เพราะมันเบื่อ และเป็นเวรกรรมแท้ๆ เลย ถ้าไม่ได้ไปเล่นเฟซบุ๊ค ก็คงไม่มีใครรู้หรอก”

เผยกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดหัวใจในวันเสาร์ที่ 5 ก.ย.นี้ โดยมีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ เปรยไม่กังวลวิธีผ่าตัด แต่กังวลอาการเจ็บปวดหลังฟื้นแล้วมากกว่า

“ผมจะเข้าผ่าตัดวันเสาร์นี้ ซึ่งถ้าผ่าไปให้เรียบร้อย ก็จะเกือบเหมือนคนปกติที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ เพราะความจริงแล้วคนไทยเป็นโรคนี้กันเยอะ ถามว่าเราเป็นนานแล้วทำไมถึงเพิ่งมาผ่าตอนนี้ อย่างที่บอกว่าอาการตอนที่เจอช่วง 10 ปี มันยังไม่มีอะไรชัดเจน ทำอะไรเรายังไม่เหนื่อย หมอก็บอกเลยไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรให้มันเจ็บตัว เราเลยยื้อกันมาอย่างนั้น อีกอย่างหนึ่งถ้าจะผ่าตัด ก็ต้องคอยไปอีกสัก 10 ปีถ้ายังไม่เป็นอะไร ซึ่งมันอาจจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะทำให้มันง่ายขึ้นหรือสะดวกขึ้น”

“แต่กระนั้นก็ตามถ้ารอไปนานจนกระทั่งอีก 10 ปี มันก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน คือถ้าเริ่มเป็นแล้ว มันโตขึ้นเพราะเลือดมันไหลย้อนกลับ มันจะทำให้เหมือนลูกโป่งที่ใหญ่ขึ้นแล้วมันคราก ผ่าตัดไปแล้วมันก็จะไม่มีประโยชน์ ไม่กลับมาเท่าเดิมได้ เราก็ควรจะทำซะตั้งแต่มันยังไม่ยืด และยังแข็งแรงพอที่จะทำงานต่อได้ ก็คิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พอดี ซึ่งคุณหมอก็เตือนมาแล้วเรียบร้อย”

“ความกังวลในการผ่าตัด ถ้าพูดจริงๆ เรากังวลเรื่องตื่นขึ้นมาหลังผ่าแล้วมันจะเจ็บแค่ไหนมากกว่า เพราะถามความเสี่ยงกับคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีปัญหา เรียกว่าข้ามถนนแถวอโศกยังมีความเสี่ยงมากกว่า ถ้าผ่าตัดเสร็จแล้วก็น่าจะแข็งแรงได้มากกว่าเดิม”

“ตอนนี้ก็มีอยู่ 2 วิธีที่หมอเล่าให้เราฟัง วิธีแรกคือเปิดหัวใจออกมา ควักหัวใจออกมาเอาออกมาพิสูจน์ (หัวเราะนิดๆ) คือถ้าลิ้นหัวใจดูแล้วสามารถซ่อมได้ ในส่วนลิ้นที่มันยาว มันจะเป็นอะไรที่วิเศษที่สุด มันจะทำให้เราหายเป็นปกติเลย พอตัดออกมาแล้วประตูมันจะปิดพอดี หัวใจผมก็จะไม่ทำงานมากเกินไป เพราะมันบีบเข้าไปแล้ว ไม่ต้องบีบเพิ่มเป็น 2 เท่า เพื่อให้เลือดออกไปให้หมด”

“แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องมีแผนสอง คือการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม ซึ่งก็จะแตกต่างตรงที่การใช้ชีวิตต้องระวังมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่เป็นของธรรมชาติของเรา และในอนาคตอีก 10 ปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่ หรือว่ามาซ่อมที เราก็ต้องเจ็บตัวอีก แต่ไม่ว่ากันในเมื่อเราเป็นอย่างนี้”

“ก่อนผ่าคุณหมอจะวินิจฉัยดูก่อนว่าจะใช้วิธีไหน คุณหมอคงได้เตรียมแผนเอาไว้แล้ว คือดูแล้วว่าอันนี้น่าจะทำได้ ผมเองก็ไม่ได้บอกหมอว่าจะเอาวิธีไหน คือบางคนมาผ่า แล้วการซ่อมไม่น่าจะดี เขาก็ยังบอกหมอว่าขอซ่อมเถอะ เพราะถ้าซ่อมแล้วมันจะดีกว่าการใช้ลิ้นหัวใจเทียม แต่ตัวผมไม่รู้ ก็แล้วแต่หมอจะเห็นสมควร”

เมื่อถามถึงกำลังใจก่อนผ่าตัด เจ้าตัวบอกว่าดีมาก เพราะได้คุณหมอเบอร์หนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ มาดูแลอย่างใกล้ชิด แย้มหลังผ่าตัดจะเปลี่ยนวิถีชีวิต เลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด และจะพยายามทำงานให้น้อยลง

“กำลังใจก่อนผ่าตัดตอนนี้ดีมาก จะบอกว่าไม่กลัวก็ไม่ได้ มันก็จะดูเหมือนเราเป็นสไปเดอร์แมน แต่เรายังเป็นคนก็ต้องมีกลัวบ้างแหละ แต่ก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีแล้ว คุณหมอก็เป็นคุณหมอเบอร์ 1 ของประเทศสำหรับเรื่องนี้ ท่านก็ดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างที่บอกสิ่งที่กังวลที่สุดคือการตื่นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดมากกว่า”

“หลังผ่าที่แน่ๆ คือผมต้องอยู่ในห้อง CCU 3-4 วันแล้วจะออกมาพักฟื้นที่ห้องธรรมดาอีกสัก 6-7 วัน แล้วเราก็ออกจากโรงพยาบาลมาพักอยู่ที่บ้าน มาพักที่บ้านสัก 3 อาทิตย์ถึงจะไปเป็นคนปกติได้ ส่วนเรื่องการทำงานยังไม่รู้ แต่มีคนรอบๆ ตัวเตรียมเอาเชือกโซ่มาผูกมือห้ามไว้แล้วเต็มไปหมด”

“ความจริงคุณหมอก็บอกก่อนผ่าตัดอยู่แล้วว่า เราควรทำตัวยังไงบ้าง แต่ผมไม่ค่อยทำเอง ผมก็ยังนอนดึก เขาไม่ให้ดื่มผมก็ยังแอบดื่ม เขาไม่ให้สูบ ผมก็ยังแอบสูบ แหม....หมอ เรากำลังทำงานอยู่ ก็ขอสักตัว 2 ตัว ไม่ได้เหรอ วันหนึ่งมันจะเป็นอะไรไป แต่ตอนนี้มีความรู้สึกว่าต้องปรับปรุงแล้ว คงไปทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คงต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตกันใหม่ หรือไม่งั้นถ้าทำจริงๆ คงไม่ให้ใครรู้เลย (หัวเราะ) คงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วล่ะ คือตอนนี้ถ้าสูบบุหรี่ตอนไหนปุ๊บ เราคงจะโดนเอาปืนยิงตายเลยดีกว่า อย่ามาตายช้าๆ แต่เวลาเราไปทำงานหรืออยู่ในออฟฟิศ เราก็ไม่ได้สูบอยู่แล้ว”

“เรื่องการทำงานหนักคงจะมีพัก หรือลดลงบ้างเหมือนกัน ที่ทำงานดึกๆ อย่างนี้มา 25 ปี มีน้อยครั้งมากที่จะได้นอนก่อนเที่ยงคืน เพราะถ้านอนก่อนเที่ยงคืน แปลว่าตี 2 จะต้องไปทำอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้เรามีแผนงานอะไรบางอย่างอยู่ ก็คงเอาไว้อย่างเดิม เพราะผมเองก็ไม่ได้ไปกระโดดโลดเต้น ก็แค่ช่วยคิดหรือนั่งพูดคุยกัน ก็คงไม่ได้เป็นเรื่องที่ต้องเหนื่อยมาก”

“ก็คิดว่างานไม่น่าจะสะดุด ไอ้ที่มีวางแผนไว้ว่าจะแถลงข่าวอะไรบางอย่าง ก็อาจจะเลื่อน แต่ถ้าไม่เลื่อนก็อาจจะใช้วิธีวีดีโอลิ้งค์อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ซึ่งโปรเจ็คต์ที่ว่าจะมีวันที่ 5-6 ธันวาคม เราก็พอมีเวลาพัก ถึงได้ต้องรีบทำไง ไม่อย่างนั้นมันจะคาราคาซัง ตอนนี้ก็แล้วแต่หมออย่างเดียว ถ้าหมอพร้อมผมก็พร้อม จะได้จบๆ เรื่องกันไป”

ได้อุทธาหรณ์สอนใจควรดูแลร่างกายตัวเองให้ดี พร้อมแนะมนุษย์งานทั้งหลายที่ชอบดื่มแอลกอฮอลล์ และสูบบุหรี่ ควรเพลาๆ พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่เช่นนั้นจะล้มป่วยเหมือนตน

“วันนี้รู้สึกปลื้มใจมาก ที่มีการเป็นห่วงเป็นใยกันมากขนาดนี้ เราไม่นึกเลยว่าเพื่อนฝูงจะโทรศัพท์อะไรมา เพราะไปเห็นข่าวที่ออกกัน ซึ่งบางทีมันอาจจะดูเยอะเกินไปจนน่าตกใจ สำหรับเราแล้วเคสนี้ถือว่าน่าตกใจมั้ย มันก็ไม่ถึงกับน่าตกใจมาก แต่ถามว่าเรื่องเกี่ยวกับหัวใจ เป็นเรื่องที่ใหญ่มั้ย มันก็เป็นเรื่องที่ใหญ่ ก็เลยต้องทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่น่าวิตก”

“อุทธาหรณ์ที่ได้จากการล้มป่วยครั้งนี้ คงเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำตัวดีมันก็จะดีกับตัวเอง ทำตัวไม่ค่อยดูแลร่างกาย ร่างกายก็จะฟ้องเราออกมาอย่างนี้แหละ ก็ฝากบอกพวกที่ทำงานหนักและเครียด มีจิบมีสูบ เรียกว่าพวกดูดดื่มทั้งหลายก็เลิกซะเถอะ เพลาๆ ลงบ้าง สำหรับผมแล้วเรื่องดูดเลิกจริงๆ ครับ แต่เรื่องดื่มอาจจะขออนุญาต แต่หมอท่านอนุญาตให้ดื่มได้นิดๆ หน่อยๆ พอเป็นสังคมก็โอเค"
 
"ผมก็ขอบพระคุณมิตรรักแฟนเพลง ญาติมิตรทั้งหลายที่เป็นห่วง ผมปลาบปลื้มใจมาก เพราะไม่นึกว่าจะได้รับความห่วงใยขนาดนี้ หรือบางคนจะสมน้ำหน้าก็ตามทีเถอะ ก็จะพยายามให้หมอทำให้ดีที่สุด ก็คงจะได้เจอกันในวาระต่อไปที่แข็งแรง”

รายงานสดจากพื้นที่ข่าว

เดินทางมายังโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์




กำลังโหลดความคิดเห็น