เพลงศึกสายเลือด
"เดชาวุฒิ ฉันทากะโร" พยายามอย่างเต็มที่ในการดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดในสังคม โดยเริ่มพาตัวเองออกจากครอบครัวเพื่อลดทอนภาระค่าใช้จ่าของทางบ้าน จนเมื่อเธอตัดสินใจไปเรียนตัดผมที่โรงเรียนสารพัดช่าง วัดแก้วแจ่มฟ้านั่นแหละ ชีวิตเธอถึงได้นับหนึ่งกับอาชีพช่างผม ซึ่งเป็นก้าวเริ่มที่พาเธอไปสู่วงการบันเทิงในเวลาต่อมา
เพื่อนคนเรียนทวีธาภิเศกมาด้วยกันไปเช่าตึกแถวริมถนนพรานนก เปิดร้านตัดผมชื่อ "เชซ์ เด" (Chez De) ไอเดียการตกแต่งร้านเพื่อสร้างจุดขายเริ่มบรรเจิด หน้าร้านเป็นกระจกใส ภายในร้านแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์, โคมไฟโบราณ มันไม่เหมือนร้านทำผมสักนิดเดียว เหมือนฉากละครที่เราเห็นในโทรทัศน์หรือร้านขายของแอนทีกมากกว่า ส่วนเธอแต่งตัวในหลากหลายสไตล์ ฉีกจนไม่ซ้ำกันสักวันไม่รู้ไปสรรหาอะไรมาแต่งตัวได้ทุกวัน จนเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์
"อีนี่เปรี้ยวสะใจ แต่งตัวสารพัด เดี๋ยวชุดไทยสไบเฉียงบ้างล่ะ เดี๋ยวชุดมาดอนนาบ้างล่ะ ชุดว่ายน้ำบ้างล่ะ ผู้คนก็แตกตื่นกัน เพราะเราสร้างจุดขายแบบนี้ ตัดผมไปก็เต้นไป รำไป เพื่อให้เข้ากับชุดในวันนั้นๆ"
วันหนึ่งมีลูกค้ารายหนึ่งเข้ามาที่ร้าน บอกว่าช่างประจำที่เขาตัดอยู่ในย่านสุขุมวิทไปเมืองนอก!!
"เขาบอกว่า พี่เห็นร้านน้อง สังเกตมาหลายครั้งแล้วคิดว่าน้องต้องทำผมให้พี่ได้"
ลูกค้าผู้นั้นพอใจกับทรงผมที่แสนจะแปลก แหวกแนว และพิสดารสุดๆ ในคราวนั้น เธอเริ่มต้นจากการไถปัตตาเลียนเป็นทรงกะลาครอบ จากนั้นลูบเยลให้ผมทุกเส้นชี้ขึ้น เหมือนทรงคนเหล็ก แต่ถ้าหวีลงมาจะเป็นทรงสป็อกมนุษย์ต่างดาว ไม่ถึงสัปดาห์ เธอเข้าใจว่าลูกค้าคนเดิมกลับมาที่ร้านอีกครั้ง แต่ทำไมผมยาวเร็วจัง ... ที่แท้เป็นคู่แฝด
คนคู่นี้คือ ดีไซเนอร์คู่แฝด "เล็ก – ใหญ่" ของร้านเสื้อฟลายนาว
ต่อมาเธอได้รับการแนะนำจากดีไซเนอร์คู่แฝดให้ไปตัดผมให้กับผู้บริหารของฟลายนาว หลังจากนั้นเธอได้ก้าวไปเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับลุคออกแบบทรงผมให้พนักงานขายทั้งหมดของบริษัท
"พนักงานทุกคน ไม่ว่าจะมาจากไหน ผมจะยาวถึงตูดก็ต้องหั่นให้เหมือนกันหมด เหมือนนักเรียนเข้าโรงเรียนใหม่ๆ ตัดผมเมื่อไหร่ทางบริษัทฯรับเป็นพนักงานทันที ตอนนั้นประมาณปี 2529-2530 ใครๆ ก็อยากเป็นพนักงานขายของฟลายนาว เนื่องจากสวัสดิการดี นอกจากตัดผมแล้ว เรายังให้ความรู้ในเรื่องการแต่งกาย เครื่องประดับที่ควรใส่ ใส่แล้วดูไม่เยอะจนเกินไป หรือควรจะแต่งหน้าอย่างไร เรื่องการแต่งหน้า เราได้อาศัยครูพักลักจำมาจากช่างแต่งหน้ามือหนึ่งที่ฟลายนาวเรียกใช้ในงานแฟชั่นโชว์เป็นประจำ เช่น พี่อั๋น (สรวุฒิ ฉัตรกุล) , พี่ดำ (สุรพล ลิ้มวาณิชย์) , พี่แมว (ทัศนพงษ์ สวัสดิพงษ์) , พี่หมี ( ทองหล่อ ฉิมเจริญ) บางโชว์ ขาดช่างแต่งหน้า เราก็ลงไปช่วยแต่งหน้านางแบบ ประสบการณ์มันถูกสั่งสมแบบนี้เรื่อยมา"
เธอไม่เกี่ยงงอนที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ด้วยสำนึกว่า เธอมีความรู้น้อยจึงต้องศึกษาให้มาก เห็นหนังสือพิมพ์, นิตยสารวางอยู่ตรงไหนเป็นต้องหยิบขึ้นมาอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้รอบตัว สมัยที่บ้านเมืองยังใช้ถุงกระดาษพับจากหนังสือพิมพ์ เธอก็ยังคลี่อ่าน !!
เล็ก – ใหญ่ คู่แฝดดีไซเนอร์เริ่มชักชวนเธอออกไปเปิดโลกกว้างที่ซอยจารุวรรณ หรือที่คนรุ่นนี้เรียกซอยนี้ว่า "สีลม ซอย 4" ในยุคที่ซอยนี้มีอาณาจักร "โรมคลับ" วิดีโอเธคที่โด่งดังมากที่สุด ตอนนั้นประมาณปี 2530 – 2531 โรมคลับมิเพียงแต่เป็นเธคสำหรับเต้นรำเท่านั้น หากแต่ยังเป็นแหล่งศึกษาสำคัญสำหรับผู้ใส่ใจในรายละเอียดอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็น MV ที่ถูกส่งตรงจากเมืองนอกทุกสัปดาห์ เพลงใหม่และอัปเดตกว่าเธคอื่นใด นอกจากนี้ยังมีแฟชั่นโชว์จากรันเวย์ล่าสุดของอิตาลี, ฝรั่งเศส, อังกฤษ เข้ามาตัดช่วงให้คนเที่ยวได้ตื่นตาตื่นใจไปกับเทรนด์ใหม่ๆ ดาราดังๆ จากต่างประเทศ เช่น เดมี มัวร์, หลิวเต๋อหัว, เหลียงเฉาเหว่ย ฯลฯ เมื่อมีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทยมักจะมาแวะเวียนมาเที่ยวที่โรมคลับแห่งนี้ ไม่เฉพาะแต่ดาราต่างประเทศเท่านั้น หากแต่โรมคลับยังเป็นศูนย์กลางของคนในวงการแฟชั่น นายแบบ นางแบบ ดีไซเนอร์ รวมถึงดารา นักแสดงในวงการบันเทิงไทยอีกด้วย
คืนนั้น ... เมื่อเดมาดูโชว์ครั้งแรก เธอเริ่มมีคำถามว่า ทำไม ... เวทีโชว์เล็กๆ คนถึงได้สนใจกันจัง !? มิน่าเล่า โรมคลับถึงได้มีชื่อเสียงไปไกลติดอันดับโลก...จากวันนั้น เธอเริ่มนึกย้อนไปถึงช่วงที่เคยไปสมัครเป็นนักเรียนการแสดงช่อง 3 ในรุ่นแรก
"ไปหนองแขม จำได้ว่านั่งรถไปคนเดียว ไกลมาก เราไม่มีความรู้ทางการแสดงมาก่อน พี่เลี้ยงก็ไม่มี ตัวเราเป็นอย่างนี้ เล่นเป็นพระเอกก็ไม่ได้ เล่นเป็นนางเอกก็ไม่ได้ แล้วจะให้กูเล่นเป็นตัวอะไร แต่เมื่อมาเจอเวทีที่โรมคลับ เรารู้ว่า เราไม่ต้องการอะไรมาก นี่แหละคือ การแสดงในความฝันของเรา ฉันอยากเป็นของฉันแค่นี้ พอใจแล้ว"
อาชีพในฝันของเกย์กะเทย มีไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือ "นางโชว์" ที่ได้แต่งตัวสวยๆ งามๆ บนเวที ชีวิตนางโชว์ว่ากันตามที่จริงแล้ว ไม่มีใครอยากเล่นเป็นตัวตลก แต่ที่หลายคนต้องมาเล่นเป็นตัวตลกเพราะมีตัวแปรอื่นบังคับอยู่ เช่น บุคลิกภาพ อันได้แก่ หน้าตา และร่างกาย ทว่า เมื่อเธอได้สัมผัสในเวลาต่อมา จึงรู้ว่า การเล่นตลกนั้นยากมากที่สุดของการโชว์ เล่นแล้วคนไม่ขำ ไม่มีเสียงหัวเราะ คือโศกนาฏกรรมที่แสนสาหัสกว่าเรื่องใดๆ ของนักแสดง
ยุคนั้นโรมคลับมีตัวตลกอยู่แล้ว แต่คนที่มาสมัครที่จะเล่นเป็นตัวตลกของโรมคลับมีเยอะ หลายคนตายคาเวที เพลงจบ แต่ผู้ชมนิ่ง...การใช้เสียงกรี๊ดและปรบมือของมหาชนเป็นเครื่องตัดสิน ยุติธรรมที่สุด ดังนั้น... ผู้สมัครหลายรายจึงต้องลากกระเป๋าออกจากโรมคลับด้วยเหตุนี้ กติกาสมัครง่าย ไม่ซับซ้อน สมัครคืนไหน รับโจทย์เพลงคืนนั้นแล้วมาโชว์ในคืนถัดมา
เพลงแรกในชีวิตการโชว์ คือเพลง "หนูไม่เอา" ของพุ่มพวง ดวงจันทร์แสดงพร้อมกับลูกคู่อีก 4 คน ปรากฏว่า คืนต่อมาเธอไทร์เอาต์ผ่าน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตนางโชว์ครั้งแรก ผ่านครั้งแรก ยังต้องมีผ่านขั้นต่อๆ ไปอีก
โชว์ตลกของโรมคลับก่อนหน้านี้มี ไท และสมพงษ์ อยู่ก่อน ดังนั้นเดจึงต้องคิดหาความต่างที่จะไปนำเสนอให้แก่คนดู สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดมาก คือ การมิกซ์เพลงต่างๆ เข้ามาไว้เป็นเรื่องเดียวกัน !! เจ้าของก็ขยันที่จะแจกเพลงให้นางโชว์เพื่อทดสอบอยู่เรื่อยๆ
"ไหนร้องเพลงนั้นซิ เอาเพลงนี้ไป ฉันอยากให้เธอเล่นเพลงนี้"
"สมัยก่อน มันไม่มีโรงเรียนการแสดง นอกจากช่อง 3 มีแต่ที่โรมนี่แหละ ที่สอนว่าควรจะแอ็กติ้งอย่างไร เพลงเศร้าควรจะใช้อารมณ์แบบไหน สีหน้าอย่างไร ควรจะใช้ไฟสีไหน เสื้อผ้า หน้า ผม เพลงไหน ยุคอะไรต้องเป๊ะ เราได้เรียนรู้ว่า นักร้องผิวสี เขาแต่งหน้ากันอย่างไร ยุค 60'S เขาเขียนคิ้วแบบไหน ยุค 70'Sใส่เสื้อผ้าแบบไหน ไม่ใช่แค่นี้ แต่เจ้าของบาร์สมัยนั้นส่งช่างไฟไปดูโชว์ที่สิงคโปร์ที่ว่ากันว่าไฟสวยมาก ส่งนางโชว์ตัวหลักไปชมการแสดงของนักร้องดังๆ เพื่อจะนำมาปรับใช้กับงานโชว์"
ค่าโชว์ที่โรมคลับ 120 บาท / คืน ค่าเดินทางจากบ้านฝั่งธนฯมาที่ซอยจารุวรรณ สมัยนั้นประมาณ 160 บาท (ต่อกันแบบ ต่อแล้ว ต่ออีก เพราะยังไม่มีแท็กซี่มิเตอร์) ถ้าวัดจากตัวเงิน ไม่คุ้มหรอก แต่ถือว่าถ้ามาเที่ยวก็ต้องซื้อบัตรแลกดริงก์ (วันธรรมดา 100 บาท, ศุกร์ – เสาร์ 200 บาท) คิดเสียว่าไม่ต้องเสียค่าดริงก์ก็แล้วกัน ไหนๆ เธอก็ต้องมาดูโชว์อยู่แล้ว นางโชว์ของโรมคลับทุกคนจะรับผิดชอบเพลงของตัวเอง ไม่มีลูกคู่ ทุกคนต้องเป็นตัวร้องได้หมด เพลงเปลี่ยนทุกวัน โชว์คืนละ 5 เพลง แล้วไม่เคยมีเพลงซ้ำในรอบ 3 เดือน และวันหนึ่งเธอก็เจอกับโจทย์หิน (ก้อนใหญ่) เข้าจังเบ้อเร่อ
ชื่อเพลง "อาจจะเป็นคนนี้" ศิลปิน ฐิติมา สุตสุนทร ในอารมณ์ "ตลก" ฟังเพลงแล้ว "ผ่านความระทม เกือบจมน้ำตา ช้ำมานานเท่าไหร่" ตลกตรงไหน จะทำให้ตลกอย่างไร!? โจทย์ประเภทนี้เธอเรียกว่า บททดสอบ !!
เนื่องจากงานโชว์เป็น "ภาษากาย" จึงไม่ใช่แค่คนไทยรับรู้ และรับทราบเท่านั้น แต่คนต่างชาติที่มาดูโชว์ต้องเข้าใจด้วย เพลงนี้เป็นโจทย์หลังเดือนพฤษภาคม 2535
"ตอนนั้นเราเพิ่งผ่านเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และกำลังจะมีการเลือกตั้งครั้งที่ 19 ในวันที่ 13 กันยายน 2535 เราไปเอาซาวนด์เสียงระเบิดตูมตาม เสียงทหารอย่ารังแกประชาชน ประมาณนี้มาเป็นเปิดเสียงเริ่มต้น คนดูก็งงว่า มันอะไรเหรอ เราก็แต่งตัวโทรม เสื้อผ้าขาดวิ่นออกมา "ผ่านความระทม"...จนถึงท่อนเพลงที่ว่า "พอมีใครสักคนเดินเข้ามา...อาจจะเป็นคนนี้" ตอนนั้นไปปลดรูปผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งตามเสาไฟมาใช้ในงานโชว์ เบอร์ 1 – 2 – 3 ในขณะที่คนกำลังลุ้นว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เราก็หักมุมจบ เลือกรูปสุดท้ายที่เป็นรูปหลิวเต๋อหัว เพื่อจะบอกกับคนดูว่า กูบ้าดารา ซึ่งตอนนั้นยังไม่ใช่ยุคที่ดาราจะมาลงสมัครรับเลือกตั้ง"
เธออยู่จนถึงวันสุดท้ายที่ปิดตำนานโรมคลับ และเดชาวุฒิ ฉันทากะโรเป็นนางโชว์ 1 ใน 3 คนที่ทางโรมคลับจ่ายเงินชดเชยให้
อื่นๆ ที่เธอมีโอกาสโชว์ต่อมาคือ สฟิงค์ (ซอย 4), ดีเจ สเตชั่น (ซอย 2) , ดีวาย (สฟิงค์เดิม ซอย 4) และไปช่วยสอนโชว์ให้ "วาย.เอ็ม. คาบาเรต์" ซึ่งเป็นคณะคาบาเรต์หญิงล้วน จนเมื่ออนันต์ อ่านเปรื่อง เปิด Freeman Dance Arena ที่ สีลมซอย 2/1 เธอก็มาปักหลักชีวิตเริ่มต้น ณ ที่แห่งนี้ในฐานะ "นางโชว์ประจำ" 8 ปีเต็ม จนมีต่างชาติเข้ามาเทกโอเวอร์เธคแห่งนี้จากเจ้าของเดิม เรื่องราวที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าของใหม่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอความสำราญด้วยการเอาอะโกโก้บอยเข้ามาแทนที่คาบาเรต์
"มีความพยายามเข้ามาแทรกโชว์ของเรา พยายามบีบให้เราออก เขาบอกว่า ถ้าคุณไม่ยอมทำในรูปแบบที่เขาบอกก็ให้เซ็นใบลาออก ซึ่งถ้าเราทำอย่างนั้นเท่ากับเราเสียเปรียบ เพราะฉันทำงานมา 7 ปี ตามสัญญาเก่า ถ้าจะเลิกก็ต้องจ่ายเงินเดือนมาก่อน 3 เดือน และจ่ายค่าชดเชยมาด้วย ไม่ใช่เฉพาะเราคนเดียว แต่ยังมีเด็กอื่นๆ ทั้งหมดร่วม 30 ชีวิต ตัวเงินมันมหาศาลมาก เขาจ่ายไม่ได้ เขาก็เลยไปทำเรื่องว่า กิจการล้มละลาย เรื่องมันเลยจบ ฟ้องร้องอะไรกันอยู่ก็จบหมด ต้องยอมรับว่า ในช่วงที่เราโชว์กับฟรีแมน มันก็มีธุรกิจประเภทเดียวกันอีกหลายๆ แห่งที่ทำโชว์ในลักษณะเดียวกัน แล้วการที่เราไต่เงินเดือนมาสูงแล้ว ใครจะกล้าจ้างเราประจำอย่างฟรีแมนล่ะ เฉพาะค่าจ้างเราคนเดียวก็สามารถจ้างเด็กรุ่นใหม่มาโชว์ได้ถึง 10 คน"
ตกงาน ไม่มีรายได้มาเกือบปี จนต้องเอาเงินสะสมออกมาใช้จนหมด!! จนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2549 เธอเริ่มรับงานโชว์อีกครั้งที่ ASIAR PUB&KARAOKE ของป๋าพงสภรรตฒ์ เจียรสุวรรณ (ย่านจตุจักร) , LUMINOUS (สีลม ซอย 4), Z 2 Bar (รามคำแหง) และ 9 Night Club (สีลม ซอย 4 ที่ตั้งเดิมของโรมคลับ)
ทุกบาร์ที่กล่าวถึงนี้ เป็นแค่ช่วงหนึ่งของชีวิตนางโชว์ที่ทำงานฟรีแลนซ์เท่านั้น วันนี้เธอเปลี่ยนค่านิยม ไม่รับงานประจำอีกต่อไป ทั้งนี้เพื่อความคล่องตัวและเป็นอิสระ สามารถทำงานได้หลากหลาย จบจากที่หนึ่งก็ยังมีที่อื่นๆ รองรับและทุกแห่งซึ่งกล่าวถึงข้างต้นนี้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไม่คล่องตัวจึงได้ขอเลิกจ้าง ณ ค่ำคืนนี้ เราพบเธอในกรุงเทพฯ ได้น้อยเต็มที
เนื่องจากเธอต้องวิ่งรอกกรุงเทพฯ – พัทยา ด้วยรถแท็กซี่อยู่ทุกคืนตลอด 7 วัน เดินทางออกจาก กทม. เมื่อเวลา 01.00 น. ของทุกคืน เพื่อขึ้นโชว์ที่ NAP พัทยา เวลา 04.00 น. จากนั้นตีรถกลับ ถึงกรุงเทพฯ 6 - 7 โมงเช้าโดยประมาณ ต่อเดือน เธอเหลือเงินแค่ 2-3 หมื่นบาท ขณะที่แท็กซี่คันที่เธอว่าจ้าง คืนละ 2 พันบาท หรือ 6 หมื่นบาท / เดือน จนเพื่อบางคนแซวว่า เธอเลี้ยงแท็กซี่ แต่เธอคิดเสียว่า รายได้อาจจะน้อยไปบ้างก็ไม่เป็นไร เก็บเล็ก สะสมน้อยไว้ ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำเป็นไหนๆ
เธอบอกว่า โอกาสที่ใครต่อใครให้มา ไม่ว่าจะเป็นงานในด้านไหน เธอไขว่คว้าไว้ด้วยหัวใจที่อยากจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เธอไม่เคยปฏิเสธว่า ทำไม่ได้จนกว่าจะได้ลอง ทั้งยังไม่จำเป็นต้องพยายามหรือนำเสนอ "ความคิดต่าง" เพราะ เรื่องคิดไม่เหมือนใครนั้นอยู่ในกมลของเธอมาตั้งแต่เด็ก และดำรงอยู่ในทุกอณูของความคิดนิสัยและจิตวิญญาณของเธอไปซะแล้ว
เมื่อประมาณ ปี 2546 เธอมีผลงานพ็อตเกตบุ้ก 2 เล่มกับสำนักพิมพ์ กาย มารุต คือ หลังม่านนางโชว์ และ วันเดย์โชว์
หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เดชาวุฒิ ฉันทากะโร หรือ "ป้าเด" ทำหน้าที่พิธีกรร่วมกับธนภูมิ ท้าวนอก ใน รายการ "เขย่าจอ" ทางช่อง ซูเปอร์บันเทิง ASTV ทุกวันพฤหัสบดี – ศุกร์ เวลา 20.30 – 21.30 น. ในขณะที่วันจันทร์ – พุธ ในเวลาเดียวกัน เป็นหน้าที่ของต่อพงษ์ เศวตามร์ กับกรองทอง เศรษฐสุทธิ์
"คุณต่อพงษ์เขาจะมีความชัดเจนในด้านข้อมูล ข่าวสาร มีความชัดเจนในการฟันชัวะ แต่เนื่องจากเราหมายถึงคุณต่อกับเดได้คุยกันเบื้องต้น เรามีความเห็นร่วมกันว่า อยากให้รายการนี้มีความแตกต่างกันเพื่อความหลากหลายของผู้ชมทางบ้าน อีกอย่างเรามีคาแรกเตอร์ของเรา แล้วเราก็ไม่อยากที่จะต้องทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวตนของเรา"
"เพราะถ้าเราต้องฝืนทำ อะไรก็ตามผลงานจะออกมาไม่ดี ในความหลากหลายนี้ เหมือนกับเขาขายข้าวมันไก่ เราขายข้าวขาหมู แต่เราอยู่ในฟู้ดคอร์ดเดียวกัน เท่าที่ได้ดำเนินงานมาหลายเดือนมานี้ ผลตอบรับสำหรับตัวเดที่ได้ฟังจากผู้ชมถือว่าอยู่ในขั้นที่พอใจนะ"
ในภาพของนางโชว์ เธอ เป็นคนที่เก็บดีเทล และมีรายละเอียด อีกทั้งเป็นคนที่มีสำบัดสำนวน ปากไว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง และทำวาไรตี้ไม่หลายรูปแบบ และเรื่องเหล่านี้คือ เบื้องหลังส่วนหนึ่งของชีวิตเธอที่ดิ้นรนจนมีโอกาสได้ยืนอยู่ ณ มุมหนึ่งของวงการบันเทิง และคุณจะได้รู้จักเธอดีขึ้น ถ้าได้ชมบทบาทของพิธีกร รายการ "เขย่าจอ" รวมถึงชีวิตการแสดงที่แสนจะพิสดารพันลึกใน Return of The Last Day Show : Will I Survive?