โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผู้กำกับภาพยนตร์คนเหล็ก ภาค 4 อย่าง “แม็คจี” ได้ตอบโต้เชิงกระแนะกระแหนผลงานของไมเคิล เบย์ ว่า หนังของเบย์มันก็แค่หนังของเล่นเด็กที่มีสีสันฉูดฉาดไร้สาระ หลังจากที่เบย์ไปออกปากว่า เขาเพิ่งได้ดูหนังตัวอย่างเรื่องหนึ่งซึ่งมีหุ่นยนต์ตัวเบิ้มเหมือนถอดแบบมาจากหนังของเขาเปี๊ยบ ซึ่งหนังตัวอย่างที่เบย์อ้างถึงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด หากแต่เป็น Terminator ภาค 4 ของผู้กำกับแม็คจีนั่นเอง
แต่พูดก็พูดเถอะ ไม่ว่าหุ่นเหล็กของหนังเรื่องไหนจะบิ๊กไซส์กว่ากัน ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ขี้ปะติ๋วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคนี้ด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็ใคร ต่างก็สามารถที่จะประดิษฐ์เจ้าหุ่นยนต์ลักษณะนี้ได้เหมือนๆ กัน ขอแค่มีเงินทุนซัพพอร์ตหนาๆ หน่อยก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ต่อให้แม็คจีจะก็อปหรือไม่ก็อปหุ่นยนต์ของเบย์ มันก็แทบไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย เมื่อคิดถึงว่า ใจความสำคัญของหนังทั้งสองเรื่องนั้นแทบจะเหมือนกันราวพี่กับน้อง เพราะสิ่งที่หนังหยิบเอามาขายก็คือ การเสิร์ฟอารมณ์ตื่นเต้นเร้าใจให้กับลูกค้าเหมือนๆ กัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากจะถามถึงข้อแตกต่าง ก็คงต้องยอมรับล่ะครับว่า ในแง่ของเทคนิคงานสร้าง โดยเฉพาะฉากวินาศสันตะโรโชว์ล้างผลาญในผลงานของไมเคิล เบย์ นั้น ดูจะอลังการงานล้ำกว่าอยู่หลายก้าว ซึ่งมันก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้นแหงแก๋แน่นอนอยู่แล้ว เพราะนี่คือผลงานของปรมาจารย์อีกคนแห่งแนวทางหนังบอมบ์ภูเขาเผากระท่อม มิใช่หรือ?
และแน่นอนที่สุด ไม่ว่าไมเคิล เบย์ จะเคยทำหนังวินาศสันตะโรมากี่เรื่อง ผมคิดว่า หนังอย่าง Transformers ภาค 2 น่าจะถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญซึ่งจะทำให้ชื่อชั้นความเป็นเดอะ ก็อดฟาเธอร์ ในสายหนังบู๊ล้างผลาญ ของไมเคิล เบย์ ดูแข็งแกร่งแข็งแรงยิ่งขึ้น เพราะต่อให้เราจะแกล้งทำเป็นลืมๆ ฉากบู๊ไล่ล่าที่กินเวลากว่า 10 นาทีในตอนเปิดเรื่องนั้นไปก่อน อีก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถัดจากนั้น ก็ยังมีแอ็กชั่นทำลายข้าวของคอยเสิร์ฟอยู่แทบจะทุกๆ 3 นาที
ดังนั้น ผมจึงคิดว่า มันไม่น่าจะแฟร์เท่าไหร่นัก หากเราจะมานั่งวิเคราะห์บทหนังที่ยัง “รั่ว” ในหลายๆ จุด เพราะหากมองเป้าหมายของผู้กำกับที่ไมเคิล เบย์ อยากจะพูดผ่านผลงานชิ้นนี้ก็คือ หนังมันจะแอ็กชั่นได้มันส์ในอารมณ์แค่ไหน
แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าจะให้ “แตะ” บทหนังจริงๆ ผมว่ามันก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรมากมาย และถ้าจะถามหาแก่นสารสาระหรือ ผมว่ามันก็ไม่ได้สาระเหลวเป๋วอะไรถึงเพียงนั้น
โอเคล่ะ สาระดังกล่าวมันอาจจะ “ไม่ลึก” เหมือนหนังดราม่าดีๆ ทั่วไป แต่อย่างน้อยที่สุด ผมว่าหนังพูดเรื่องความผูกพันและเป็นห่วงบ่วงใยให้คนดู “รู้สึกสัมผัส” ได้พอประมาณ ไม่ว่าจะเป็นความผูกพันแบบพ่อแม่ลูก แบบคนรัก หรือแม้กระทั่งมนุษย์กับหุ่นยนต์ สิ่งเหล่านี้ถูกพูดถึงอย่างบางๆ คลอแทรกอยู่ในฉากแอ็กชั่นวินาศสันตะโรในแบบที่ถ้าคุณมัวแต่ตื่นตาตื่นใจอยู่กับการ Transform และฟาดปากกันของพวกหุ่นยนต์ คุณก็อาจจะมองข้าม “สาร” เหล่านี้ไปและเผลอคิดว่าหนังมันไม่มีอะไรมากไปกว่าหุ่นยนต์ตีกัน นั่นยังไม่ต้องพูดถึงแง่มุมเกี่ยวกับความเป็นหุ่นยนต์ที่มีสภาวะใกล้เคียงมนุษย์มากจนน่าตกใจ (แน่นอน นี่คือการสานต่อจินตนาการของเจ้าของค่ายอย่างสตีเว่น สปีลเบิร์ก โดยแท้)
แต่เอาเถอะ ที่พูดแบบนี้ ผมไม่ได้จะมาเรียกร้องให้ใครไปนั่งขบคิดปรัชญาชีวิตหรือสกัดหาแก่นธรรมจากหนังที่เน้นขายฉากแอ็กชั่น เพราะถ้าจะทำเช่นนั้น ผมว่าหาหนังสือดีๆ นั่งอ่านอยู่ที่บ้าน น่าจะเวิร์กกว่าเป็นไหนๆ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงชื่นชมสรรเสริญที่ผู้คนมอบให้กับไมเคิล เบย์ จนเขาแทบจะมีสถานะเป็น The Untouchable ผู้ที่ใครจะแตะต้องไม่ได้ไปแล้วในตอนนี้นั้น ผมคิดว่า Transformers ภาค 2 ก็ยังมีจุดพร่องในบางจุดที่น่าพูดถึง และอย่าได้เพิ่งคิดว่าผมจะมาทำลายหนังแต่อย่างใด (ผมไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้นหรอก เชื่อเหอะ) เพียงแต่ส่วนดีๆ ก็มีคนชมไปเยอะแล้ว และถ้าคุณไม่อยากเสียอารมณ์ ก็ปิดหน้านี้ไปได้เลย
ครับ ถ้าไม่นับรวมบทหนังที่ถูกเขียนขึ้นอย่างหลวมๆ เพื่อลากตัวละครไปสู่สถานการณ์ที่จะได้ต่อสู้กันเป็นหลักแล้ว สิ่งที่ผมไม่ชอบเลยในหนังเรื่องนี้ก็คือ ความลามกสัปดนที่ไม่ควรมีในหนังซึ่งมีทาร์เก็ตกว้างๆ รวมทั้งเด็กๆ ด้วย โอเคล่ะ ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้คิดจะถือไม้เรียวแห่งศีลธรรมมาไล่หวดใคร และยิ่งกว่านั้น ผมก็เข้าใจว่า ฉากน้องหมากระดึ๊บๆ กันบทโซฟาเอย หรือแม้แต่ฉากเจ้าหุ่นยนต์ตัวจิ๋วที่เกิดอารมณ์เสน่หากับขาของสาวเซ็กซี่อย่าง “เมแกน ฟอกซ์” เอย คือความขำที่คนทำอยากให้ขำ แต่จริงๆ มันดูทะลึ่งเกินไปครับ คือหนังมันดีๆ อยู่แล้ว แต่มีฉากนี้เข้ามา มันกลายเป็นไฝฝ้าราคีของหนังไปเลย
คือทั้งๆ ที่ผมรู้สึกชอบมุกตลกหลายๆ มุกที่เบย์เอามาใส่ในหนังของเขา จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าผู้กำกับคนนี้เขาลองไปทำหนังตลกบ้าง มันก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง เพราะพูดกันตามจริง ผมว่าเขามี Sense of Humor อยู่ในตัวเองเหมือนกัน (ผมขำมากกับฉากหุ่นยนต์สืบเสาะโดนเครื่องดักหนู และฉากที่หนุ่มลีโอพลาดทำเครื่องช็อตพลาดโดนตัวเองอย่างน่าเตะ) แต่กับฉากสัปดนเหล่านั้น ผมว่ามัน “ไกล” เกินกว่าที่หนังของเบย์ควรจะไปถึงจริงๆ
และรู้สึกหรือเปล่าครับว่า เพราะอะไร ตอนสุดท้าย ตัวร้ายมันตายง่ายเหลือเกิน คือมันไม่สมกับที่เรารอคอยมาสองชั่วโมงกว่าๆ เลย...รอคอยด้วยความรู้สึกว่า เวลาที่หุ่นยนต์ตัวเบิ้มๆ ฟาดปากกัน มันจะมันส์ขนาดไหน แต่สุดท้าย ดูเหมือนไมเคิล เบย์ จะเหนื่อยกับแอ็กชั่นที่เรี่ยราดมาแล้วทั้งเรื่องหรือเปล่า ตอนจบเลยดูแผ่วๆ ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นจุดแอ็กชั่นที่พีคสุดของหนัง แต่ผลที่ออกมา กลับกลายเป็นว่า ออพติมัส ไพรม์ ซัดกับตัวร้ายไซส์บิ๊กไม่กี่หมัด จอดซะแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือว่า ทำไมมันตายง่ายจัง??
และที่สำคัญ ผมเข้าใจว่า หนังแอ็กชั่นดีๆ ทั่วไป จะเริ่มพัฒนาฉากบู๊จากน้อยไปหามาก และพีคสุดๆ ในตอนจบ แต่สำหรับ Transformers ของไมเคิล เบย์ กลับตรงกันข้าม เพราะมันเริ่มจากจุดที่ “มาก” ไปหาจุดที่ “น้อย” และมันดู “หงอย” และ “แห้ง” มากในฉากต่อสู้ตอนท้าย
พ้นไปจากนี้ การเดินเรื่องอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการตัดต่อที่ฉับไว ก็คือสิ่งที่น่ารำคาญใจอยู่พอสมควร ก็เข้าใจล่ะครับว่า หนังทำแบบนั้นเพราะต้องการ “เร้าอารมณ์” ความตื่นเต้นของคนดู แต่บางจังหวะ มันทำให้หนังดูมั่วๆ ได้เหมือนกัน และสิ่งที่เกิดกับผู้ชมหลายๆ ท่านก็คือ ดูไม่ทัน ขณะที่หุ่นยนต์ที่ขนกันมาเป็นกองทัพนั้น ก็ใกล้จะทำให้ Transformers ภาค 2 กลายสภาพเป็น Robot Exhibition (งานโชว์นิทรรศการหุ่นยนต์) ไปเลย ซึ่งก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะครับว่า ถ้าเบย์สนใจแต่จะยัดหุ่นยนต์เข้ามาในหนังเยอะๆ แบบนี้ไปทุกภาคโดยหลงลืมที่จะใส่ใจกับความแข็งแรงของบทหนัง ที่สุดแล้ว มันก็คงไม่ต่างอะไรกับงานโชว์หุ่นยนต์เข้าสักวัน
ว่ากันอย่างถึงที่สุด Transformers 2 อาจจะเป็นหนังที่ “จัดจ้านด้วยฉากแอ็กชั่นตระการตา” น่าตื่นใจ และเอนเตอร์เทนคนดูได้สำเร็จสมกับการรอคอย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้เทียบกันระหว่างภาคแรกกับภาคนี้ ผมกลับรู้สึกชอบภาคหนึ่งมากกว่า เพราะรู้สึกว่า ภาคก่อนนั้นดูลงตัวมากกว่า ทั้งในแง่ของเนื้อหาและแอ็กชั่นที่ผสมกันออกมาค่อนข้างกลมกลืนและได้สัดส่วน ขณะที่ภาค 2 แอ็กชั่นมันกลบทับและจับจองพื้นที่ในหนังเกือบจะโดยสิ้นเชิง
แต่ก็อย่างที่บอกครับว่า ถ้าไมเคิล เบย์ ทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมเหนียมอาย ไม่อัดฉากบู๊ล้างผลาญและซาวด์เอฟเฟคต์ตูมตามโครมครามเข้าไปในหนังเยอะๆ แบบนี้ มันก็คงไม่สมศักดิ์ศรีของตำแหน่งเดอะ ก็อดฟาเธอร์ สายหนังวินาศสันตะโร ที่เขาจะได้ครอบครองแน่ๆ นอนๆ จริงไหม?