มอร์แกน สเปอร์ล็อค คนทำหนังสารคดีที่ชอบทำอะไรแผลงๆ ซึ่งนักดูหนังหลายคนคงจำเขาได้จาก Super Size Me กลับมาอีกครั้งกับหนังเรื่องใหม่ที่ออกทะเลไปไกลกว่าเดิม เรื่อง Where In the World Is Osama Bin Laden? (กำลังลงโรงฉายในบ้านเราขณะนี้)
มันไม่ใช่หนังสารคดีที่เฉียบคมอะไรเลย หากคาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นตอนที่สเปอร์ล็อครู้ตัวว่าตนเองกำลังจะเป็นพ่อคน ตามประสามนุษย์ที่หวาดระแวงง่าย (อย่างคนอเมริกัน) เขาฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อยว่า ลูกของเขาจะต้องเกิดมาเจอกับอะไรบ้างในโลกเส็งเคร็งใบนี้ ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที คำตอบอันตื้นเขินของเขา (ซึ่งมาจากความจงใจ) คือการออกไปตามล่าตัววายร้ายอันหนึ่งของโลก – โอซาม่า บิน ลาเดน เพราะนั่นจะเป็นวิธีเดียวที่น่าจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
นอกจากเสียงหัวเราะที่ปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ผลลัพธ์ที่สามารถมองเห็นได้รายทาง คือผลกระทบของสงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่คนอาหรับจะต้องเจอ พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่มีส่วนได้ และรับส่วนเสียไปเต็มๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วย
โลกอาหรับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายน ผลพวงของความเกลียดชังและหวาดระแวง ผลักพวกเขาให้รับตำแหน่งผู้ร้าย โดยไม่มีโอกาสได้แก้ตัวหรือตั้งคำถาม
ทอม แม็คคาร์ธี คงเดินทางไปตระเวนประเทศอาหรับในช่วงเวลาเดียวกันกับมอร์แกน สเปอร์ล็อคอย่างมิได้นัดหมาย เขาไปเพราะภารกิจโปรโมทหนังดังของตนเองเรื่อง The Station Agent (2003) ตามเทศกาลหนังต่างๆ แต่สิ่งที่เขาได้รับ กลายเป็นกำไรอันมหาศาลต่อมุมมองการใช้ชีวิต
แม็คคาร์ธีเล่าว่า เขาต้องเดินทางไปฉายหนังใน 5-6 ประเทศด้วยกันในแถบตะวันออกกลางและแอฟริกา ได้ไปเหยียบประเทศที่ตนไม่คิดว่าก่อนว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ไปอย่างเลบานอนและซีเรีย แรกทีเดียวเขาก็เหมือนกับคนอื่นอีกนับล้านที่มองคนอาหรับด้วยสายตาอคติ แต่ทีละน้อยสิ่งที่แม็คคาร์ธีพบก็คือ “พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนเราๆ นี่เอง หาความสุข และรับมือกับความทุกข์ไปวันต่อวัน”
ผลจากชีพจรลงเท้าในครั้งนั้น ทำให้แม็คคาร์ธีศึกษาวัฒนธรรมของชาวอาหรับอย่างเอาจริงเอาจัง เข้าไปสัมผัสกับชาวบ้านในแถบที่ห่างไกลความเจริญมากๆ เรียนรู้วิถีชีวิตที่ไม่เคยมีใครสนใจการดำรงอยู่ของมัน จากนั้นไม่นาน บทหนังเรื่องใหม่ของเขา The Visitor ก็สมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่าง
The Visitor เป็นหนังที่ได้รับการพูดถึงมากทีเดียวเมื่อปีกลาย โดยเฉพาะในแวดวงหนังทุนต่ำและหนังอิสระด้วยกัน มันเข้าชิงรางวัลอินดิเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดส์หลายรางวัล ส่วนนักแสดงนำชาย ริชาร์ด เจนกิ้นส์ ก็ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์
โดยรูปแบบและเนื้อหา The Visitor มีความคล้ายคลึงกับ The Station Agent มากทีเดียว เป็นหนังฟีลกู้ดที่เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์มากๆ และการเผยให้เห็นด้านที่งดงามของความเอื้ออาทร - ก็ถูกนำเสนออย่างเรียบง่าย ไม่แสลงหรือฟูมฟาย
แต่สิ่งที่ทำให้ใครหลายคนตกหลุมรักหนังของทอม แม็คคาร์ธีได้ไม่ยาก คือ ตัวละครของเขาเป็นคนที่ถ้าเราเจอในชีวิตจริง เราอาจจะอยากเอาตัวออกห่าง หรือมองพวกเขาเหล่านั้นด้วยความสมเพชหรือสงสัย ผมว่าบ่อยครั้งที่เราได้เจอคนที่เดินสวนกับเราตามท้องถนน หรือในห้าง แล้วก็อดนึกในใจไม่ได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นมีความสุขหรือไม่กับการเลือกดำเนินชีวิตในแบบที่แตกต่างกับเรา คนแบบนั้นอาจเป็นใครก็ได้ คนขายพวงมาลัยตามสี่แยก พนักงานขายรองเท้า หรือกระทั่งใครก็ตามที่กำลังนั่งกินซูชิอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นเพียงลำพัง - คนที่เหมือนจะมองผ่านไปง่ายๆ เหล่านั้นเอง ที่ทอม แม็คคาร์ธี ทำให้มีชีวิตและเลือดเนื้อขึ้นมา
ริชาร์ด เจนกิ้นส์ มารับบท วอลเตอร์ เวล อาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยในคอนเนคติกัต หลังจากตกพุ่มม่ายมาหลายปี วอลเตอร์ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเหงาหงอย พยายามทำให้กิจวัตรเดิมๆ ของชีวิตยุ่งยากและวุ่นวายขึ้น เพื่อจะได้ไม่ต้องเหลือเวลามาคิดอะไรให้เปลืองสมอง
หลังจากได้รับมอบหมายให้ไปเสนองานวิจัยในงานสัมมนาที่นิวยอร์ก วอลเตอร์จำใจรับภาระมาอย่างเสียมิได้ เขาไม่เคยกลับไปนิวยอร์กอีกเลยหลังจากภรรยาผู้เป็นที่รักได้จากไป วันแรกที่เดินทางไปถึงอพาร์ตเมนต์เดิมของตนเอง ก็พบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาอาศัยอยู่ที่นี่เสียแล้วอย่างผิดกฎหมาย
คนแปลกหน้าสองคนนั้นคือ ทาเรก (ฮาซ ซไลมาน) และ ไซแนบ (ดาไน เจเคไซ กูริร่า) หนุ่มสาวคู่รักที่ลักลอบเข้ามาในอเมริกา ชายหนุ่มนั้นเป็นคนซีเรีย ส่วนหญิงสาวเป็นชาวเซเนกัล พวกเขายอมรับผิดและย้ายออกจากห้องไปในทันที ทั้งๆ ที่ยังหาที่ซุกหัวนอนใหม่ไม่ได้
ความสัมพันธ์ของคนแปลกหน้าทั้งสามค่อยๆ พัฒนาทีละน้อย วอลเตอร์เสนอให้ทั้งคู่อาศัยในอพาร์ตเมนต์ของเขาไปก่อน จนกว่าจะเจอวิธีแก้ปัญหา
ปมสำคัญอย่างหนึ่งของวอลเตอร์หนีไม่พ้นการดิ้นรนหาความสุขในบั้นปลายของชีวิต เขาพยายามเรียนเปียโนให้ได้ดีเหมือนภรรยาผู้ล่วงลับ แต่แรงขับและความเอื่อยเฉื่อยส่วนตัวก็ทำให้ไปไม่ถึงไหน ทอม แม็คคาร์ธี แสดงภาพความเปลี่ยนแปลงของตัวละครอย่างง่ายๆ ในฉากที่วอลเตอร์ไปนั่งทานข้าวกลางวันในสวนสาธารณะ เขาบังเอิญสะดุดตากับเด็กหนุ่มสองคนที่ใช้ไม้ตีกระป๋องเป็นจังหวะอันกระฉับกระเฉงแต่ก็ไม่ได้ซับซ้อน เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะพบว่าตนเองโยกหัวตามจังหวะนั้นไปด้วย
จังหวะของการเคาะที่ไม่มีเมโลดี้ใดๆ เลย กลับทำให้วอลเตอร์คึกคักขึ้นอย่างประหลาด ประจวบเหมาะกันอย่างเหลือเชื่อเมื่อเขาได้พบว่า เทเรก เด็กหนุ่มชาวซีเรียคนนั้น มีอาชีพเป็นนักดนตรี และเครื่องดนตรีที่เขาหลงใหลคือ กลองเจมเบ (กลองพื้นเมืองของแอฟริกา คล้ายๆ กลองยาวของบ้านเรา)
และเพราะกลองเจมเบ วอลเตอร์และเทเรกจึงผูกมิตรกันแน่นแฟ้นกันราวพ่อและลูกชาย แต่เรื่องราวยังไม่จบลงแค่นั้น ผลกระทบของอะไรบางอย่างที่เราทราบกันดี ทำให้เทเรกถูกตำรวจจับเข้าคุก และเขาต้องถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศซีเรียในไม่ช้า
ถึงจุดนี้หนังก็พาผู้ชมและวอลเตอร์เข้าไปหาคำตอบอีกอย่างหนึ่งของชีวิต โจทย์ข้อนี้มาพร้อม มูนา (เฮียม อับบาส) แม่ของเทเรก มูนาไม่ได้มีสถานะที่แตกต่างไปจากวอลเตอร์เลยแม้แต่น้อย เธอเสียสามีไปเนื่องจากผลของการเมือง พาลูกอพยพมาอเมริกาและต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ รวมถึงเสียใจอยู่ลึกๆ ว่าชะตากรรมอันน่าเศร้าของลูกชายเกิดขึ้นเพราะตนเอง
ตีความอย่างไม่ซับซ้อน The Visitor ชื่อของหนังนั้นให้ความหมายในหลายระดับ แต่รวมๆ มันคือการสร้างสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า คนที่มีพื้นฐานชีวิตแตกต่างกับเรา อยู่ในโลกคนละใบ มองชีวิตคนละแบบ หากความเอื้ออาทรกลายเป็นยาสมานแผลชั้นดี ที่จะทำให้มนุษย์สองคนเข้าอกเข้าใจกันได้
ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะสาธยายไปมากกว่านี้ นอกเหนือจากการบอกว่า The Visitor เป็นหนังที่มอบความรู้สึกดีอย่างท่วมท้น เปี่ยมด้วยพลัง - ของทั้งการแสดง (เจนกิ้นส์และอับบาสมอบการแสดงที่น่าจดจำที่สุดในรอบปี 2008) และวิธีการกำกับ
และคุณค่าที่สูงส่งกว่านั้น มันให้คำตอบที่ยิ่งใหญ่ของการค้นหาความสุข สิ่งซึ่งใครหลายคนอาจจะคิดว่าไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้