ถ้าเนื้อร้องอย่าง "ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้" จากเพลง "เล่าสู่กันฟัง" ที่ขับร้องโดย "เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์" จากฝีมือการแต่งของ "เป๋า กมลศักดิ์ สุนทานนท์" คือท่อนฮุกของเพลงป็อปที่ฮิตติดปากคนไทยบ้านเรามากที่สุดในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาแล้วละก็
...ท่อนฮุกอย่าง "คนที่ไม่ใช่แฟน ทำแทนทุกเรื่องไม่ได้" จากเพลง "ไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้" ของ "ตั๊กแตน ชลดา" เขียนโดยครูสลา คุณวุฒิ ก็คงจะมีสถานะที่ไม่แตกต่างอะไรกันมากนักในห้วงเวลาเกือบจะสองปีที่ผ่านมานี้
...
"ไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้" เป็นเพลงที่อยู่ในลำดับที่ 4 จากอัลบั้ม "ถนนค้นฝัน" งานเพลงชุดที่สองของสาวโคราช "ตั๊กแตน ชลดา" (ชลดา ทองจุลกลาง) ซึ่งแม้จะออกวางขายมาแล้วตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2550 ทว่าผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหาฟังไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้ ทั้งจากรายการ(เพลง)วิทยุ จากเครื่องไฟเครื่องขยายเสียงตามงานต่างๆ ในร้านอาหาร จากเพื่อนๆ ในห้องคาราโอเกะ ฯ
ว่ากันถึงที่มาของเพลงนี้เท่าที่ผมจำได้ครูสลา คุณวุฒิ เองเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เป็นเพลงที่ถูกเขียนในลำดับท้ายๆ (ของอัลบั้ม)แล้ว และไม่ได้คิดว่าจะโด่งดังอะไรมากมาย
หรือจะว่ากันอย่างหยาบๆ (ตามความเข้าใจของผม) ก็คือ เป็นเพลงที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อจับยัดๆ เข้าไปให้ครบอัลบั้ม จะได้วางขายกันเสียที
แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนคำนวนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต เมื่อ(เพลง)มันจะดัง มันก็ต้องดัง แค่เพลงนี้เพลงเดียว ตั๊กแตน ชลดา ที่จากเดิมถือว่าเป็นนักร้องในระดับทั่วๆ ไปของค่ายแกรมมี่โกลด์ ก็โดดเด้งขึ้นมายืนอยู่ในระดับหัวแถวของค่ายทันที
ว่ากันว่า ถึงตอนนี้สาวตั๊กแตนเธอจะเป็นรองทั้งในเรื่องชื่อเสียงและยอดขายก็เพียงแค่เบอร์หนึ่งของค่ายอย่าง "ต่าย อรทัย" เท่านั้น ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เนื่องจากเสียงร้องของเธอค่อนข้างจะไปคล้ายกับเสียงของสาวต่ายเอามากๆ ชนิดที่เรียกว่าเป็นเงาเสียงของกันและกันก็ว่าได้
และด้วยทั้งน้ำเสียงที่เหมือน อารมณ์การร้องที่ไม่ต่าง บวกรวมเข้ากับเนื้อร้องที่มาจากครูเพลงคนเดียวหรือทีมเดียวกัน รวมถึงแม้กระทั่งเส้นทางการเดินของชีวิตที่คล้ายๆ กันนี้เอง ก็คงจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่...คนมาทีหลัง จะหวังแซงขึ้นเป็นหนึ่ง (ประโยคสุดท้ายร้องในทำนองเพลงมีคนเหงารออยู่เบอร์นี้จะเพราะมาก)
กลับมากันที่ ไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้ เพลงนี้จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับเพลงลูกทุ่งยุคใหม่ คือเนื้อหาร่วมสมัย หนุ่มๆ สาวๆ เริ่มเดินห่างออกจากกลิ่นโคลนสาบควาย เพื่อมาประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างในเมือง, มาเป็นหนุ่ม-สาวฉันทนา, คนขายของในมินิมาร์ท, ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง, ขับแท็กซี่ (ระยะหลังๆ เปลี่ยนมาเป็นพนักงานหนุ่มสาวออฟฟิศซึ่งเปิดโอกาสให้หนุ่มๆ สาวๆ หน้าตาดีมาแสดงเป็นพระเอก-นางเอกในมิวสิกวิดีโอ), ว่าด้วยถึงเรื่องราวความรักทั้งที่สมหวัง ไม่สมหวัง แอบรักคนที่มีเจ้าของ การต่อสู้ชีวิต โดยมีโทรศัพท์-มือถือเป็นสื่อกลาง
ขณะที่ภาคของดนตรีก็มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน คือมีกลิ่นอายท่วงทำนองของเพลง-สำเนียงของความเป็นท้องถิ่นในแต่ละภาค ทั้งหมอลำ อีแซว ฉ่อย โนราห์ หรือแม้กระทั่งมีความเป็นเพลงสตริงมากขึ้น
แรกๆ ที่เพลงนี้กำลังไต่ละดับความโด่งดังนั้น ตัวผมเองเชื่อว่า และ(ในตอนนี้)ก็ยังเชื่อว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเพลงนี้มันเพราะก็เพราะคนฟัง(รวมทั้งผม) "ถูกเปิดกรอกหู" เสียมากกว่า ทว่าต่อมาเมื่อพิจารณาถึงเนื้อร้องก็ต้องบอกว่ามัน "โดน" จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่ว่า "ภาระในเขตอ้อมแขน ไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้" ซึ่งเป็นท่อนที่ผมชอบเอามากๆ
"โหย (อ่านออกเสียงว่า โหย ไม่ใช่ โย๋) พี่ กระจอก นี่มันต้องท่อนนี้....เด็ดกว่า" เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งในออฟฟิศว่าพลางร้องท่อนหนึ่งของไม่ใช่แฟนฯ ที่มันชอบครวญขึ้นมาในระยะหลังๆ เวลาอยู่ในวงเล่า (และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมนึกอยากจะเขียนถึงเพลงนี้ขึ้นมาแม้ใครหลายคนอาจจะรู้สึกว่าเชยแล้วก็ตาม)
...เมื่อเราเจอกันข้างพรหมลิขิตก็อยากใกล้ชิดมากเกินห้ามใจ ต้องเจียมตัวว่าเราคือใคร แค่แอบรู้ใจไม่ใช่แฟน...
"แต่งได้ไง ข้างพรหมลิขิต..." มันว่าพลางเคี้ยวกับแกล้มเมนูยำเม็ดมะม่วง+ถั่ว
นอกจาก "ภาษา" ที่ค่อนข้างจะโดนแล้ว ความน่ารักอีกอย่างของอย่างของเพลงๆ นี้ก็คือเนื้อหาที่ถูกถ่ายทอดออกมา ที่ว่า...ก็อยากดูแลให้มากกว่านี้เหลือเกิน แต่กลัวจะเผลอ จนเผลอทำเกินหน้าที่...ขอโทษบางคราวที่ต้องเหินห่าง และมีบางครั้งที่เคยขัดใจ บางอย่างที่ขอมากไป เจ้าที่หัวใจเขาหวงแหน...คนที่ไม่ใช่แฟน ทำแทนทุกเรื่องไม่ได้ หน้าที่ตามฐานะใจ ห้ามเดินก้าวล้ำเส้นแฟน...ยอมอยู่ข้างใจ แต่ไม่ขอเป็นสำรอง ขออย่าได้มองความซื่อแล้วแปลว่าง่าย...ที่สอนให้เห็นถึงความมีสติ ความมียางอาย ละอายต่อศีล เชื่อในธรรม ผ่านผู้หญิงคนหนึ่งที่แม้จะรักผู้ชายสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ยอมที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้กับอีกฝ่าย ด้วยเงื่อนไขที่ว่าฝ่ายชายมีคนรักอยู่แล้ว ซึ่งหาได้ยากเหลือเกินกับเด็กรุ่นใหม่(ทั้งชายและหญิง)ในสังคมบ้านเรา (เฉพาะอย่างยิ่งตามผับ บาร์ เธค)
หรือแม้กระทั่งเพลงส่วนใหญ่ในระยะหลังๆ ที่ออกไปในทางสอนให้ฟาดฟัน เมื่ออยากได้ใครเป็นผัว-เป็นเมีย เมื่อรักแล้วก็ต้องพยายามทุกอย่าง แย่งเอามาเป็นเจ้าของให้ได้ หรือถ้ากูไม่ได้ มึงก็ต้องไม่ได้ ประเภทฉันจะเป็นขวากหนามตามราวีไปทุกชาติ
จริงอยู่ที่ว่านี่คือการเขียนเพลงที่เป็น "ทางถนัด" ของครูเพลงคนนี้ ที่ไม่ได้แตกต่างนักจากจากผลงานอื่นๆ ของเขา(ซึ่งอีกไม่นานผมว่านี่จะคือ "ทางเพลง" หลักที่คนเขียนเพลงลูกทุ่งเอาเป็นแบบอย่าง) อาทิ มีคนเหงารออยู่เบอร์นี้(ตั๊กแตน), แฟนเก็บ(ตั๊กแตน), ดอกหญ้าในป่าปูน- ขอใจกันหนาว-หน้าจอรอสาย ที่แต่งให้กับต่าย อรทัย แต่จะมีสักกี่เพลงกันที่ลงตัวทั้งน้ำเสียง อารมณ์การร้อง เนื้อร้อง ดนตรี กระทั่งฮิตได้ข้ามปีเท่ากับเพลงไม่ใช่แฟนฯ
ส่วนจะกลายเป็นบทเพลงที่เป็นอมตะมั้ย เรื่องนี้อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้
บางคนอาจจะมองว่าการเขียนเนื้อเพลงลูกทุ่งยุคใหม่ในลักษณะนี้ง่าย น้ำเน่า ไร้คุณค่า ไม่มีอะไรให้พูดถึง บางเพลง(ร้อง)อะไรก็ไม่รู้ ซะงองซะแงง ซองๆ แซงๆ ภาษาไม่ได้สละสลวย สวยงาม คล้องจองเหมือนอย่าง...พอเดือนแรม รักก็แรมร้างเลื่อน โถดาวขาดเดือน ฉันก็เพื่อนไม่มี แต่เดือนยังมา ให้ดาวเห็นหน้าทุกที แต่คนรักข้าซี เป็นปีไม่เคยเห็นหน้า ในเพลง ร้องไห้กับเดือน ของ คัมภีร์ แสงทอง หรือเพลงของครูไพบูลย์ บุตรขัน อย่าง มนต์เมืองเหนือ, มนต์รักลูกทุ่ง, แม่ค้าตาคม, น้ำท่วม, คนนอกสังคม, คนจนคนจร ฯ รวมถึงอีกหลายๆ บทเพลงที่มาจากการรังสรรค์ของครูเพลงรุ่นเก่าๆ ในอดีตที่ค่อนข้างจะมีความเป็นเพลงลูกทุ่งอยู่สูง
ผมเองก็เห็นด้วย ทว่าประโยชน์ที่เราจะได้จากเพลงลูกทุ่งรุ่นใหม่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย เพราะอย่างน้อยๆ หลายเพลงก็เป็นกระจกที่สะท้อนและบันทึกให้เห็นภาพการเคลื่อนตัวของคนในชนบท การเปลี่ยนแปลงของสังคมบ้านเราได้อย่างค่อนข้างจะชัดเจนทีเดียว
ที่สำคัญ ถ้าสังเกตให้ดี เราจะพบว่าช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ในสภาวะที่ตลอดเพลงป็อป-ร็อกไม่ค่อยจะมีอะไรที่แปลกใหม่, บอยแบนด์-เกิร์ลกรุ๊ปที่วนเวียนอยู่กับเสื้อผ้าและท่าเต้นที่อิมพอร์ตมาจากเกาหลี จะมีฮือฮาบ้างก็แนวอย่างสกาเร็กเก้ แต่หลังๆ ก็ฮิคๆๆ กันจนน่าเบื่อ ส่วนลูกกรุงไม่ต้องพูดถึง เพราะยังคิดไม่ออกว่า หากนักร้องยุครุ่น ชรินทร์ นันทนาคร, ธานินทร์ อินทรเทพ, สวลี ผกาพันธ์ ฯ ไม่ร้องเพลงแล้วจะหาฟังได้จากที่ไหน มิใช่วงการลูกทุ่งหรอกหรือที่ยังคงคึกคัก สร้างสีสันที่แปลก กำเนิดนักร้องหน้าใหม่ให้กับวงการเพลงของบ้านเราอยู่อย่างต่อเนื่อง
และก็คงจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ชนิดที่อาจจะไม่มีวันตาย เพียงแต่จะกลายพันธุ์ไปเป็นลูกทุ่งแบบไหนเท่านั้นเอง