ปล.(ณ. ที่นี้คือคำย่อของคำว่า "ปฐมลิขิต" เป็นคำสมาสที่แปลว่า ข้อความ(ลิขิต) เริ่มต้น(ปฐม)) : จากที่ไม่ค่อยจะมีสาระหรือแง่คิดอยู่แล้ว ต้องออกตัวกันเสียตั้งแต่ตรงนี้ก่อนเลยนะครับว่า คอลัมน์ "ก.ไก่ ข.เขียน" วันนี้แร้นแค้นสิ่งที่ว่าไปจากที่ผ่านมายิ่งขึ้นไปอีก
หากจะมีอะไรอยู่บ้าง ในความตั้งใจและเจตนาของผู้เขียนก็คือ อยากให้อ่านแล้วรู้สึกสนุก ซึ่งถ้าไปไม่ถึงจุดนั้นจริง ทั้งหมดก็เป็นความผิดอันมีสาเหตุมาจากความสามารถของผมแต่เพียงผู้เดียว
อย่าได้ไปกล่าวโทษตัวเองเป็นอันขาดนะครับ...ขอร้อง
...
เข้าเรื่องเลยดีกว่า...ที่ผ่านมาท่านผู้อ่านเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่สำนวนไทยเรียกว่า "จุดใต้ตำตอ" บ้างมั้ยครับ?
ผมเองเจอะเจอมาชนิดที่เรียกว่าโดนเต็มๆ 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นผมกับเพื่อนรวม 7 คน แบกเป้ขึ้นหลัง ตีตั๋วรถไฟมุ่งหน้าสู่ จ.เพชรบุรี เพื่อเดินทางไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หวังจะชมทะเลหมอกที่พะเนินทุ่ง
ลงรถไฟ ต่อรถสองแถว ถึงที่ทำการอุทยานฯ ในช่วงเย็น พวกเราซึ่งไม่มีความรู้และข้อมูลในการเดินทางใดๆ อยู่ในหัวเลยจึงรู้ว่าจุดหมายที่จะไปอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่กว่า 50 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางจำเป็นจะต้องใช้รถที่สามารถขับบนถนนที่ค่อนข้างวิบากทุลักทุเลได้ ที่สำคัญก็คือจะขึ้นได้ก็เฉพาะในช่วงเช้า-สายเท่านั้น
"ถ้าไม่มีรถมาก็ต้องเหมารถขึ้นไป มีหลายเจ้า จะให้ติดต่อให้มั้ยล่ะ..." เจ้าหน้าที่บอกกับเรารวมทั้งนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่มีอยู่ราว 20 กว่าคน
ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่ม 3 คนได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับเสนอแนวทางว่า พวกเขาจะเหมารถกันขึ้นไปหากพวกเราสนใจร่วมเดินทางไปด้วยก็จะดีเพราะจะได้ช่วยกันหารค่ารถ(ผมจำไม่ได้เสียแล้วว่าเท่าไหร่แต่น่าจะอยู่ราวๆ 1,600 บาท)
หลังคำนวณระยะทางและงบประมาณที่มีอยู่(อย่างจำกัด) เราจึงบอกทั้ง 3 ไปด้วยความเท่ห์และ(รู้สึก)เก๋า(กว่า) ว่า พวกเราจะเดินไป มืดเมื่อไหร่ก็กางเต้นท์นอนที่นั่น ทำเอาทั้งสามผิดหวังกลับไปโดยอาจจะมีอารมณ์หมั่นไส้นิดร่วมด้วย(อันนี้ผมคิดเอาเอง)
แต่แล้วความคิดเท่ห์ๆ ของเราก็ไม่อาจเป็นจริงได้ หลังเจ้าหน้าที่คนเดิมบอก(ด้วยสีหน้าประมาณโถๆ ไอ้พวกเด็กน้อยเอ๊ย...) ว่า ถ้าจะกางเต้นท์นอนก็ต้องกางที่นี่ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปเพราะอันตราย(พร้อมโชว์รูปเสือดำให้ดูเป็นการขู่)
ลังเลกันอยู่ชั่วครู่นางฟ้าก็มาโปรดเมื่อเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งได้ชักชวนให้พวกเราไปนอนที่บ้านของเธอ และยิ่งโชคดีเป็นสองเท่ากับความใจดีของคุณพ่อของเจ้าหน้าที่หญิงคนดังกล่าวที่อาสาจะไปส่งพวกเราถึงพะเนินทุ่งในช่วงเช้า
"แต่พ่อจะไปส่งพวกเราไว้ที่ด่านบ้านกร่างก่อนนะ เพราะพ่อจะต้องกลับไปรับนักท่องเที่ยวที่เขาเหมาไว้ตรงที่ทำการอุทยานก่อน แล้วพอพ่อขับขึ้นไปถึงด่านลูกๆ ก็ทำทีเป็นโบกๆ ขอติดรถไปด้วยก็แล้วกัน..."
"ถ้าคนที่เหมาเขาไม่ยอมให้ขึ้นเดี๋ยวพ่อจะพยายามพูดให้เอง"
รุ่งเช้าตรู่ เราเริ่มดำเนินการตามแผนที่คุณพ่อวางไว้ หลังรออยู่ที่ด่านบ้างกร่างราวๆ สักครึ่งชั่วโมง รถของคุณพ่อก็ปรากฏให้เห็น
ละครเริ่มขึ้นทันที พวกเราทำท่าโบกด้วยอารมณ์ความรู้สึกภายในที่กระดี๊กระด๊าเต็มที่
ล้อรถปิคอัพค่อยๆ ชะลอจนหยุดสนิท พร้อมกับกระจกฟากตรงข้ามคนขับที่ถูกไขลง
"จะไปไหนกันล่ะไอ้หนู..." คุณพ่อพูดพร้อมทำสีหน้าเหมือนเพิ่งจะเจอพวกเราครั้งแรกแบบบังอิญชนิดที่มืออาชีพยังอาย พอเราบอกจุดประสงค์ออกไปคุณพ่อก็หันไปถามผู้ว่าจ้างที่นั่งอยู่ในแคปฯ
"ให้เด็กมันติดรถไปด้วยก็แล้วกันเนาะคุณ น่าสงสาร..."
ประโยคถัดมาคุณพ่อพูดอะไรก็ไม่ทราบครับ ตอนนั้นรู้เพียงแต่ว่าพวกเราทั้งหมดต่างมีอาการคล้ายๆ กันคือหน้าเจื่อน หน้าแหก เสียฟอร์ม ขึ้นมาทันที...
เมื่อเห็นผู้ว่าจ้างทั้ง 3 ที่คุ้นหน้าคุ้นตาราวกับเจอะเจอกันมาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
...
อีกจุดใต้ตำตอเกิดขึ้นมื่อเร็วๆ นี้เองครับ และมันยิ่งจั๋งหนับกว่าครั้งแรกมากๆ
ภายในร้านๆ หนึ่งบนถนนพระอาทิตย์ ระหว่างที่ผมกับพี่ๆ น้องๆ ในออฟฟิศราวๆ 7-8 คนกำลังสังสรรค์กันอยู่ พลันใครบางคนก็สังเกตพบว่ารูปที่ประดับบนผนังนั้นมีความแตกต่างไปจากทุกวัน
ครั้นพอพอรู้ว่าเป็นภาพถ่ายที่ทำเป็นงานซิลค์สกรีน (Silk Screen) และมีการติดราคาขายไว้ วิญญาณนักวิจารณ์งานศิลปะก็เข้าสิงผมและอีกหลายๆ คนทันที (หลังก่อนหน้านี้พวกเราทำตัวเป็นทั้งนักวิเคราะห์การเมือง กูรูเรื่องกีฬา เซียนแห่งความรัก นักวิจารณ์ข่าว ฯ มาแล้ว)
"โคตรแพงเลย ขายไปได้ยังไงวะตั้ง 4 พัน"..." "โห อันนี้ตั้ง 6 พันแน่ะ"..."เจ้าของงานชื่ออะไรวะ อ๋อชื่อ..."..."จะไปยากอะไร มึงก็ไปถ่ายรูปมา แล้วก็ถ่ายเอกสารขยายก็เสร็จแล้ว"..."โฮ้ย แบบนี้ฝ่ายศิลป์ของเราก็ทำได้"..."เฮ้ยพี่ อันนี้มีโปรโมชั่นด้วย 2 รูป 7 พัน"..."หญ้าในรูปนี้มันกอเดียวกับรูปนั้นเลยนี่หว่า"..."ทำไมถึงเอามาติดที่นี่ได้ไงวะ สงสัยจะเป็นญาติเจ้าของร้าน"..."ไม่มีภาพสีบ้างหรือไงเนี่ย" ฯลฯ
พวกเรา(ขอย้ำอีกครั้งว่าพวกเรา)วิจารณ์พูดคุยกันอย่างสนุกปากด้วยความเพลิดเพลินเจริญอารมณ์เกือบจะ 10 นาที โดยไม่สังเกตเห็นว่าในร้าน(ที่ปกติไม่ค่อยจะมีคนเข้ามานั่งสักเท่าไหร่)มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ด้วยที่โต๊ะทางด้านหลังของผม
ครับ เดาถูกแล้วครับ หนึ่งในนั้นคือเจ้าของผลงานดังกล่าว
"ค่ะพอดีรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะค่ะถึงติดได้...ภาพสีมีค่ะ อยู่ชั้นบน...กอหญ้าอันนี้คนละที่กันค่ะ..." เจ้าของภาพบอกกล่าวชี้แจงกับเรา
"เอ่อ...ท่าทางจะทำยากนะครับเนี่ย..." ผมบอกออกไปอย่างอย่างตะกุกตะกัก พร้อมพยายามชวนอีกฝ่ายพูดคุยสนทนาโดยไม่กล้าสบตา ขณะที่คนอื่นๆ ในโต๊ะที่เมื่อสักครู่เพิ่งจะถูกวิญญาณอาจารย์เฉลิมชัยเข้าสิงพากันหาทางชิ่งแบบซึ่งๆ หน้า
"แน่ะๆ ไอ้ไก่ ทำมาเป็นชวนน้องเขาคุย"..."ดูมันๆ ตะกี๊ยังว่าเขาอยู่หยกๆ ตอนนี้เปลี่ยนเลยนะมึง..." ทุกคนรุมโบ้ยใส่ผมราวกับว่าก่อนหน้านี้ผมทำหน้าที่ "โฆษกโต๊ะ" เพียงคนเดียว
เจอจุดใต้ตำตอ "ตำคอ" ชนิดเผาขนทำเอาผมถึงกับน้ำตาซึม พูดอะไรไม่ออก
แต่พอมาเจอสมาชิกในวงเปลี่ยนท่าทีกันแบบ "ตำตา" เช่นนี้ มันยิ่งจุกเป็นสองเท่าเลยครับ
...
ปล.(ณ ที่นี้หมายถึงคำย่อของ "ปัจฉิมลิขิต" ซึ่งแปลว่าข้อความ(ลิขิต)สุดท้าย(ปัจฉิม)) : ผมมารู้เหตุผลที่เจ้าหน้าที่อุทยานชวนพวกเราไปนอนที่บ้าน(บ้านที่เธอให้นอนเป็นหลังที่กำลังก่อสร้าง อยู่ติดๆ กับหลังที่เธอและครอบครัวพำนักอาศัย)ในภายหลังว่า เป็นเพราะถูกชะตาที่ผมมีใบหน้าเหมือนน้องชายของเธอที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มากๆ
ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เธอพูด เพราะทันทีที่ไปถึงบ้านของเธอ คุณแม่(ของเธอ)ที่เห็นผมยังนึกว่าเป็นลูกชายของตนเองกลับมาเยี่ยมบ้าน
นอกจากจะให้ที่พักหลับนอนแล้ว ครอบครัวนี้ยังใจดี จัดหาข้าวปลาอาหาร (บางส่วน) รวมถึงแตงโมมาให้พวกผมทานอีกต่างหาก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าผมเองก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าเธอและหมู่บ้านชื่ออะไร รู้แต่ว่ามันอยู่เหนือขึ้นไปจากที่ทำการอุทยานแก่งกระจาน ในช่วงราวๆ 10-20 กิโลเมตร
ส่วนเหตุการณ์ที่ด่านบ้านกร่างต่อไปจากนั้นก็คือ แม้จะเกรงใจจุดใต้ตำตอทั้ง 3 แต่เพราะกลัวจะเสียแผนอันจะนำมาซึ่งการเสียหน้าของคุณพ่อ พวกเราจึงแบ่งออกเป็นสองชุด คือให้ 4 คนขึ้นรถคันดังกล่าว ส่วนผมกับพวกอีก 2 คน โบกรถคันอื่นตามไป
หากจะมีอะไรอยู่บ้าง ในความตั้งใจและเจตนาของผู้เขียนก็คือ อยากให้อ่านแล้วรู้สึกสนุก ซึ่งถ้าไปไม่ถึงจุดนั้นจริง ทั้งหมดก็เป็นความผิดอันมีสาเหตุมาจากความสามารถของผมแต่เพียงผู้เดียว
อย่าได้ไปกล่าวโทษตัวเองเป็นอันขาดนะครับ...ขอร้อง
...
เข้าเรื่องเลยดีกว่า...ที่ผ่านมาท่านผู้อ่านเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่สำนวนไทยเรียกว่า "จุดใต้ตำตอ" บ้างมั้ยครับ?
ผมเองเจอะเจอมาชนิดที่เรียกว่าโดนเต็มๆ 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นผมกับเพื่อนรวม 7 คน แบกเป้ขึ้นหลัง ตีตั๋วรถไฟมุ่งหน้าสู่ จ.เพชรบุรี เพื่อเดินทางไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หวังจะชมทะเลหมอกที่พะเนินทุ่ง
ลงรถไฟ ต่อรถสองแถว ถึงที่ทำการอุทยานฯ ในช่วงเย็น พวกเราซึ่งไม่มีความรู้และข้อมูลในการเดินทางใดๆ อยู่ในหัวเลยจึงรู้ว่าจุดหมายที่จะไปอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่กว่า 50 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางจำเป็นจะต้องใช้รถที่สามารถขับบนถนนที่ค่อนข้างวิบากทุลักทุเลได้ ที่สำคัญก็คือจะขึ้นได้ก็เฉพาะในช่วงเช้า-สายเท่านั้น
"ถ้าไม่มีรถมาก็ต้องเหมารถขึ้นไป มีหลายเจ้า จะให้ติดต่อให้มั้ยล่ะ..." เจ้าหน้าที่บอกกับเรารวมทั้งนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่มีอยู่ราว 20 กว่าคน
ระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่ม 3 คนได้เดินเข้ามาหาพร้อมกับเสนอแนวทางว่า พวกเขาจะเหมารถกันขึ้นไปหากพวกเราสนใจร่วมเดินทางไปด้วยก็จะดีเพราะจะได้ช่วยกันหารค่ารถ(ผมจำไม่ได้เสียแล้วว่าเท่าไหร่แต่น่าจะอยู่ราวๆ 1,600 บาท)
หลังคำนวณระยะทางและงบประมาณที่มีอยู่(อย่างจำกัด) เราจึงบอกทั้ง 3 ไปด้วยความเท่ห์และ(รู้สึก)เก๋า(กว่า) ว่า พวกเราจะเดินไป มืดเมื่อไหร่ก็กางเต้นท์นอนที่นั่น ทำเอาทั้งสามผิดหวังกลับไปโดยอาจจะมีอารมณ์หมั่นไส้นิดร่วมด้วย(อันนี้ผมคิดเอาเอง)
แต่แล้วความคิดเท่ห์ๆ ของเราก็ไม่อาจเป็นจริงได้ หลังเจ้าหน้าที่คนเดิมบอก(ด้วยสีหน้าประมาณโถๆ ไอ้พวกเด็กน้อยเอ๊ย...) ว่า ถ้าจะกางเต้นท์นอนก็ต้องกางที่นี่ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปเพราะอันตราย(พร้อมโชว์รูปเสือดำให้ดูเป็นการขู่)
ลังเลกันอยู่ชั่วครู่นางฟ้าก็มาโปรดเมื่อเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งได้ชักชวนให้พวกเราไปนอนที่บ้านของเธอ และยิ่งโชคดีเป็นสองเท่ากับความใจดีของคุณพ่อของเจ้าหน้าที่หญิงคนดังกล่าวที่อาสาจะไปส่งพวกเราถึงพะเนินทุ่งในช่วงเช้า
"แต่พ่อจะไปส่งพวกเราไว้ที่ด่านบ้านกร่างก่อนนะ เพราะพ่อจะต้องกลับไปรับนักท่องเที่ยวที่เขาเหมาไว้ตรงที่ทำการอุทยานก่อน แล้วพอพ่อขับขึ้นไปถึงด่านลูกๆ ก็ทำทีเป็นโบกๆ ขอติดรถไปด้วยก็แล้วกัน..."
"ถ้าคนที่เหมาเขาไม่ยอมให้ขึ้นเดี๋ยวพ่อจะพยายามพูดให้เอง"
รุ่งเช้าตรู่ เราเริ่มดำเนินการตามแผนที่คุณพ่อวางไว้ หลังรออยู่ที่ด่านบ้างกร่างราวๆ สักครึ่งชั่วโมง รถของคุณพ่อก็ปรากฏให้เห็น
ละครเริ่มขึ้นทันที พวกเราทำท่าโบกด้วยอารมณ์ความรู้สึกภายในที่กระดี๊กระด๊าเต็มที่
ล้อรถปิคอัพค่อยๆ ชะลอจนหยุดสนิท พร้อมกับกระจกฟากตรงข้ามคนขับที่ถูกไขลง
"จะไปไหนกันล่ะไอ้หนู..." คุณพ่อพูดพร้อมทำสีหน้าเหมือนเพิ่งจะเจอพวกเราครั้งแรกแบบบังอิญชนิดที่มืออาชีพยังอาย พอเราบอกจุดประสงค์ออกไปคุณพ่อก็หันไปถามผู้ว่าจ้างที่นั่งอยู่ในแคปฯ
"ให้เด็กมันติดรถไปด้วยก็แล้วกันเนาะคุณ น่าสงสาร..."
ประโยคถัดมาคุณพ่อพูดอะไรก็ไม่ทราบครับ ตอนนั้นรู้เพียงแต่ว่าพวกเราทั้งหมดต่างมีอาการคล้ายๆ กันคือหน้าเจื่อน หน้าแหก เสียฟอร์ม ขึ้นมาทันที...
เมื่อเห็นผู้ว่าจ้างทั้ง 3 ที่คุ้นหน้าคุ้นตาราวกับเจอะเจอกันมาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
...
อีกจุดใต้ตำตอเกิดขึ้นมื่อเร็วๆ นี้เองครับ และมันยิ่งจั๋งหนับกว่าครั้งแรกมากๆ
ภายในร้านๆ หนึ่งบนถนนพระอาทิตย์ ระหว่างที่ผมกับพี่ๆ น้องๆ ในออฟฟิศราวๆ 7-8 คนกำลังสังสรรค์กันอยู่ พลันใครบางคนก็สังเกตพบว่ารูปที่ประดับบนผนังนั้นมีความแตกต่างไปจากทุกวัน
ครั้นพอพอรู้ว่าเป็นภาพถ่ายที่ทำเป็นงานซิลค์สกรีน (Silk Screen) และมีการติดราคาขายไว้ วิญญาณนักวิจารณ์งานศิลปะก็เข้าสิงผมและอีกหลายๆ คนทันที (หลังก่อนหน้านี้พวกเราทำตัวเป็นทั้งนักวิเคราะห์การเมือง กูรูเรื่องกีฬา เซียนแห่งความรัก นักวิจารณ์ข่าว ฯ มาแล้ว)
"โคตรแพงเลย ขายไปได้ยังไงวะตั้ง 4 พัน"..." "โห อันนี้ตั้ง 6 พันแน่ะ"..."เจ้าของงานชื่ออะไรวะ อ๋อชื่อ..."..."จะไปยากอะไร มึงก็ไปถ่ายรูปมา แล้วก็ถ่ายเอกสารขยายก็เสร็จแล้ว"..."โฮ้ย แบบนี้ฝ่ายศิลป์ของเราก็ทำได้"..."เฮ้ยพี่ อันนี้มีโปรโมชั่นด้วย 2 รูป 7 พัน"..."หญ้าในรูปนี้มันกอเดียวกับรูปนั้นเลยนี่หว่า"..."ทำไมถึงเอามาติดที่นี่ได้ไงวะ สงสัยจะเป็นญาติเจ้าของร้าน"..."ไม่มีภาพสีบ้างหรือไงเนี่ย" ฯลฯ
พวกเรา(ขอย้ำอีกครั้งว่าพวกเรา)วิจารณ์พูดคุยกันอย่างสนุกปากด้วยความเพลิดเพลินเจริญอารมณ์เกือบจะ 10 นาที โดยไม่สังเกตเห็นว่าในร้าน(ที่ปกติไม่ค่อยจะมีคนเข้ามานั่งสักเท่าไหร่)มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ด้วยที่โต๊ะทางด้านหลังของผม
ครับ เดาถูกแล้วครับ หนึ่งในนั้นคือเจ้าของผลงานดังกล่าว
"ค่ะพอดีรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะค่ะถึงติดได้...ภาพสีมีค่ะ อยู่ชั้นบน...กอหญ้าอันนี้คนละที่กันค่ะ..." เจ้าของภาพบอกกล่าวชี้แจงกับเรา
"เอ่อ...ท่าทางจะทำยากนะครับเนี่ย..." ผมบอกออกไปอย่างอย่างตะกุกตะกัก พร้อมพยายามชวนอีกฝ่ายพูดคุยสนทนาโดยไม่กล้าสบตา ขณะที่คนอื่นๆ ในโต๊ะที่เมื่อสักครู่เพิ่งจะถูกวิญญาณอาจารย์เฉลิมชัยเข้าสิงพากันหาทางชิ่งแบบซึ่งๆ หน้า
"แน่ะๆ ไอ้ไก่ ทำมาเป็นชวนน้องเขาคุย"..."ดูมันๆ ตะกี๊ยังว่าเขาอยู่หยกๆ ตอนนี้เปลี่ยนเลยนะมึง..." ทุกคนรุมโบ้ยใส่ผมราวกับว่าก่อนหน้านี้ผมทำหน้าที่ "โฆษกโต๊ะ" เพียงคนเดียว
เจอจุดใต้ตำตอ "ตำคอ" ชนิดเผาขนทำเอาผมถึงกับน้ำตาซึม พูดอะไรไม่ออก
แต่พอมาเจอสมาชิกในวงเปลี่ยนท่าทีกันแบบ "ตำตา" เช่นนี้ มันยิ่งจุกเป็นสองเท่าเลยครับ
...
ปล.(ณ ที่นี้หมายถึงคำย่อของ "ปัจฉิมลิขิต" ซึ่งแปลว่าข้อความ(ลิขิต)สุดท้าย(ปัจฉิม)) : ผมมารู้เหตุผลที่เจ้าหน้าที่อุทยานชวนพวกเราไปนอนที่บ้าน(บ้านที่เธอให้นอนเป็นหลังที่กำลังก่อสร้าง อยู่ติดๆ กับหลังที่เธอและครอบครัวพำนักอาศัย)ในภายหลังว่า เป็นเพราะถูกชะตาที่ผมมีใบหน้าเหมือนน้องชายของเธอที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ มากๆ
ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เธอพูด เพราะทันทีที่ไปถึงบ้านของเธอ คุณแม่(ของเธอ)ที่เห็นผมยังนึกว่าเป็นลูกชายของตนเองกลับมาเยี่ยมบ้าน
นอกจากจะให้ที่พักหลับนอนแล้ว ครอบครัวนี้ยังใจดี จัดหาข้าวปลาอาหาร (บางส่วน) รวมถึงแตงโมมาให้พวกผมทานอีกต่างหาก ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าผมเองก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าเธอและหมู่บ้านชื่ออะไร รู้แต่ว่ามันอยู่เหนือขึ้นไปจากที่ทำการอุทยานแก่งกระจาน ในช่วงราวๆ 10-20 กิโลเมตร
ส่วนเหตุการณ์ที่ด่านบ้านกร่างต่อไปจากนั้นก็คือ แม้จะเกรงใจจุดใต้ตำตอทั้ง 3 แต่เพราะกลัวจะเสียแผนอันจะนำมาซึ่งการเสียหน้าของคุณพ่อ พวกเราจึงแบ่งออกเป็นสองชุด คือให้ 4 คนขึ้นรถคันดังกล่าว ส่วนผมกับพวกอีก 2 คน โบกรถคันอื่นตามไป