xs
xsm
sm
md
lg

"นายสมอง" กับ "หนูหัวใจ"/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

ประมาณ 3 เดือนที่แล้วผมได้รับหนังสือการ์ตูน ขนาดพ็อคเก็ตบุคส์มาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "นายสมองกับหนูหัวใจ" ที่วาด(ภาพ)และเขียน(เรื่อง)โดย "ไตรภัค สุภวัฒนา" (Puck) โดยสำนักพิมพ์ LET"S Comic บริษัทสตาร์พิคส์ จำกัด

เป็นการรวมเรื่องที่เขาเขียนลงเป็นตอนๆ ในนิตยสารการ์ตูนรายเดือน LET"S (เล็ด)

เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นในเมืองที่มีฟ้าใสแดดแรง ความเจริญสีแสงหลากหลาย ผู้คนแปลกๆ มากมาย ดูเป็นเมืองที่สุขสบายอีกหนึ่งเมือง มีทั้งรถยนต์วิ่งวนเต็มถนน ผู้คนเดินวนชนกันไม่เบื่อ ของกินเหลือเฟือ ทุกอย่างมากเหลือเกินพอดี

แต่ทุกคนก็ยังมีปัญหามากเกินกว่าตัวเองจะแก้ได้

กระทั่งชายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น

ชายที่มีสมองใหญ่โตกว่าคนอื่นๆ เขาตั้งโต๊ะรับจ้างแก้ปัญหาและตอบคำถามด้วยสมองที่เลอเลิศฉลาดล้ำ นับตั้งแต่คำถามที่ว่าควรกินอาหารอย่างไร? คำถามวิชาการเกี่ยวกับลำไส้ของคนว่ายาวเท่าไหร่? รวมถึงคำถามที่(เขารู้สึกว่า)ไม่รู้ว่าจะรู้ไปทำไม เช่น หลินยู่ถัง คือใคร?

ไม่มีอะไรที่นายสมองคนนี้ตอบไม่ได้

แต่แล้วการทำงานที่น่าจะราบรื่นของเขาก็เริ่มมีอุปสรรค เมื่อคำตอบที่อิงอยู่บนเหตุและผล กฏเกณฑ์และข้อบังคับ รวมถึงวิชาการความรู้จากตำราของเขานั้นไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับคนบางกลุ่มได้

คนบางกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับความรู้สึกของหัวใจ

"ไอ้คนไร้หัวใจ" "ไอ้คนใจดำ" "ไอ้มนุษย์หุ่นยนต์" "ไอ้คนไร้ความรู้สึก" นายสมองเริ่มถูกลูกค้าตำหนิติเตียนมากขึ้น ด้วยประโยคที่คล้ายๆ กัน

ใช่ คนเหล่านั้นพูดถูกต้องแล้ว เพราะนายสมองเป็นคนไม่มีหัวใจจริงๆ

เขามีเพียงสมองที่เอาไว้คิดๆ และก็คิด

อย่างไรก็ตาม ในวันหนึ่งโชคชะตาก็พาให้เขาได้พบกับใครคนหนึ่ง

เธอคนนั้นคือหนูหัวใจ

"หากหัวใจมันสำคัญนักละก็ ผมจะลองมีมันดูก็ได้..." นายสมองคิด

การทำงานของทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของวิธีการคิด วิธีการในการหาทางออกให้กับปัญหา กระทั่งเกิดการโต้แย้งกันอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะมุมมองในเรื่องของปัญหาที่เกิดจากความรัก

"เหนื่อยจังเยย...ย ปวดหัวตตุ๊บๆ เลยแหละ คงเพราะช่วงเย็นมีเด็กม.ปลายเหมารถทัวร์มาปรึกษาปัญหาหัวใจเป็นร้อยๆ คน" หนูหัวใจบ่นออกมาในเย็นวันหนึ่ง

นายสมอง "แค่คนอกหักมาให้เยินยอถึงกับปวดหัวเลยหรือ"

หนูหัวใจ "พูดเหมือนเรื่องง่ายที่คุณแก้ได้งั้นแหละ"

นายสมอง "ปัญหาพวกนั้นน่ะ ของง่ายๆ"

หนูหัวใจ "หากเค้าฟังคุณพูดคงไปฆ่าตัวตายง่ายๆ สิไม่ว่า"

นายสมอง "วัยเรียนก็ควรเรียน หากแยกขอดีข้อเสียไม่ได้ก็ตายไปซะเถอะ"

หนูหัวใจ "คุณมันไม่มีความละเอียดอ่อนเอาซะเลย"

นายสมอง "เธอมันก็หมกมุ่นแต่กับเรื่องรักๆ"

หนูหัวใจ "ไอ้คนไร้หัวใจ"

นายสมอง "พวกความรู้ต่ำ"

อย่างที่เห็นครับว่าในเรื่องนี้มีการแยกออกจากกันอย่างชัดเจน โดยให้ นายสมองคิด และหนูหัวใจรู้สึก ทว่าในชีวิตของคนเราจริงๆ แน่นอนว่าทั้งสองส่วนล้วนออกมาจากการสั่งการของสมองทั้งสิ้น อย่างที่เรียกว่า "คิดในใจ" หรือ "ความรู้สึก" จริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับอวัยวะ "หัวใจ" แต่อย่างใด เพียงแต่ว่า แต่ละคนอาจจะใช้สมองซีกไหนมากกว่ากัน

สรุปก็คือนายสมองนั้นคือสมองซีกซ้าย และหนูหัวใจคือสมองซีกขวา (สมองซีกขวาใช้ในการจินตนาการ ความจำ และควบคุมซีกซ้ายของร่างกาย ขณะที่สมองซีกซ้ายจะเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ตรรกะ เหตุผล และควบคุมซีกขวาของร่างกาย)

มีตอนหนึ่งทั้งสองต้องติดตามชายหนุ่มรูปหล่อที่หลอกสาวๆ ไป "ขัดจรวด" ซึ่งทันทีที่พบว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร หนูหัวใจก็อุทานออกมาด้วยความตกใจว่า..."นั่นมันจรวดจริงๆ นี่นา เราก็นึกว่าอีกแบบเสียอีก" ขณะที่นายสมองพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามบุคลิกว่า..."อะไรของเธอจรวดก็มีแบบนี้แบบเดียวแหละ"

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายสมองซึ่งเคยพูดว่า "ฉันจะไม่มีทางยิ้ม รอยยิ้มมันไร้สาระ ไม่จำเป็น ซักหน่อย" นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีอารมณ์ หรือความรู้สึกเอาเสียเลย โดยครั้งหนึ่งที่หนูหัวใจได้หนีออกจากห้องไปเนื่องจากนายสมองไม่ยอมให้เอาสัตว์ที่ถูกทิ้งมาเลี้ยง นายสมองเองก็รู้สึกได้ว่าห้องที่ปราศจากเสียงหัวเราะ เสียงของละครทีวี(น้ำเน่า) นั้นมันก็ชวนให้เงียบเหงาอยู่เหมือนกัน

ผมเขียนถึงการ์ตูนเรื่องนี้ก็เพราะติดใจข่าวที่คุณแม่ของคุณลิเดียบุกขึ้นไปต่อว่าต่อขายหมอดูหนุ่มจอมคอนเฟิร์มถึงบนเวทีในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งท่ามกลางผู้คนมากมายด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายมาทำนายดวงชะตาของลูกตนเองว่าดวงมีเกณฑ์ตั้งท้อง

โดยที่ทางหมอดูหนุ่มเองก็ได้ให้เหตุผลว่าที่ทำนายไปก็เพราะเป็นการทำตามหน้าที่ของการเป็นนักพยากรณ์ และเมื่อมีสื่อฯ มาถามตนก็ตอบไป โดยคำตอบที่ว่าก็เป็นไปตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมา

ใช่หรือไม่ว่าทั้งสองต่างก็เป็นตัวแทนของหนูหัวใจกับนายสมอง

ในการ์ตูน แม้นายสมองกับคุณหัวใจจะมีมุมมองทางความคิดที่แตกต่าง(ชนิดที่คุยกันเมื่อไหร่ก็ทะเลาะกันเมื่อนั้น) ทว่าเมื่อยิ่งมีปัญหาเข้ามาให้ขบคิดและหาทางแก้ไข ทั้งสองต่างก็ค่อยๆ เรียนรู้ ซึมซับกระทั่งตระหนักได้ว่า หากยึดหลักเหตุผลไปในทางใดทางหนึ่งอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูแล้วละก็ เป็นไปได้ยากเหลือเกินที่จะค้นพบทางออกที่ดีในการแก้ปัญหานั้นๆ ได้

ก็คงจะเหมือนกับชีวิตจริงของมนุษย์เราแหละครับ ที่ในหลายครั้งก็ยึดหลักทางใดทางหนึ่งมากไปกระทั่งก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา

แต่ทั้งนี้ก็มิได้จะสรุปว่า ทุกๆ เรื่อง ทุกๆ ปัญหา จะหาทางออกได้โดยใช้ตรรกกะ 50/50 เสมอไปนะครับ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วในสังคมโลกที่มีความหลากหลายในเรื่องของกติกา และข้อแตกต่างทั้งในเรื่องของข้อกฏหมาย ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ตลอดจนแนวความคิดวิธีการเรียนรู้

เพียงแต่อยากจะบอกว่า หลังจากใช้สมองคิดตรึกตรองแล้ว ก็ลองเงี่ยหูฟังเสียงของหัวใจของตนเองรวมถึงคนรอบข้างดูบ้าง

บางทีอาจจะช่วยให้คำตอบของปัญหามีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยๆ ก็จะได้ไม่ต้องถูกมองว่าเป็นคนไร้หัวใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น