แม้ว่าผลงานละครเพลงที่โด่งดังมากมาย จะทำให้เขามีสินทรัพย์ถึง 750 ล้านปอนด์ (ประมาณ 45,000 ล้านบาท) แต่ลูกๆ ของ "แอนดรูว์ ลอยด์ เวบเบอร์" นักแต่งเพลงชั้นบรรดาศักดิ์ของอังกฤษยังไม่สามารถการันตีการเป็นอภิมหาเศรษฐีเหมือนกับบิดาของพวกเขาได้ เนื่องจากการเปิดใจต่อทางหนังสือพิมพ์ Mirror ที่เขาเผยว่าความตายของเขาจะไม่ทำให้ลูกๆ ทั้ง 5 กลายเป็นคนร่ำรวยแต่อย่างใด เพราะเงินทั้งหมดที่เขาหามาได้จากวงการเพลงจะนำกลับไปบำรุงวงการที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งการประกาศการกลับมาของภาค 2 ของละครเพลงสุดยิ่งใหญ่อย่าง Phantom of the Opera
ลอร์ดเวบเบอร์ที่ปัจจุบันเริ่มหันไปเอาดีในวงการโทรทัศน์ในวัย 60 ปีกล่าวถึงอุดมการณ์ครั้งนี้ของเขาว่า "พวกลูกๆ ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องของจิตสำนึกในการทำงาน ซึ่งผมไม่เชื่อในเงินที่ได้รับจากมรดกแม้แต่น้อย"
"ผมไม่ชอบที่อยู่ๆ เด็กๆ ก็มีเงินล้านวางอยู่ตรงหน้า เพราะสิ่งนั้นจะบั่นทอนแรงจูงใจในการทำงาน ดังนั้นสิ่งที่ผมทำคือช่วยส่งเสริมพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาจะไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ Really Useful Group อย่างแน่นอน"
Really Useful Group คือบริษัทที่ผลิตผลงานที่เกี่ยวกับละครเพลงและธุรกิจด้านอื่นๆ ที่ลอร์ดเวบเบอร์ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1977 ซึ่งอยู่เบื้องหลังผลงานที่ประสบความสำเร็จมากมายของเขาทั้ง Evita, Cats และ Phantom of the Opera และยังเป็นเจ้าของโรงละครมากมายในแถบเวสต์เอนด์ของกรุงลอนดอน รวมไปถึงงานด้านการจัดละครเพลงทั่วโลก
ซึ่งลอร์ดเวบเบอร์มุ่งหมายว่าจะใช้ Really Useful Group เป็นสื่อในการช่วยเหลือบรรดานักแต่งเพลงและนักร้องรุ่นใหม่หลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาเฉลิมฉลองอายุครบ 60 ปีเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
"มันเป็นเรื่องที่คุณเริ่มจะคิดเมื่ออายุเท่านี้" ลอร์ดเวบเบอร์กล่าวขณะที่กำลังจิบชาในสวนรอบๆ บริษัทของเขา "ผมไม่คิดว่าการตายของผมจะตามมาด้วยลูกๆ หลานๆ ที่จะกลายเป็นเศรษฐี ผมคิดว่าเงินเหล่านั้นควรจะนำไปใช้เพื่อเกื้อหนุนวงการศิลปะมากกว่า"
แล้วจะจัดการกับเงินจำนวนมหาศาลนั้นอย่างไร?
"มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแน่นอนว่าภรรยาของผมน่าจะอายุยืนกว่าผม มันจึงเป็นปัญหาที่เธอต้องไปจัดการเอาเอง แต่เราสองคนคิดตรงกันว่าบริษัทควรจะดำเนินกิจการหลายๆ อย่างต่อไป มันดูแปลกสำหรับการเป็นบริษัทของครอบครัว คำถามที่ตามมาก็คือใครจะเป็นคนคุมกิจการต่อไป ซึ่งผมไม่ต้องการให้มันเป็นคนของครอบครัว ถึงแม้ว่าครอบครัวจะมีสายสัมพันธ์กับบริษัท แต่มันควรเป็นการคืนบางสิ่งบางอย่างกลับไปให้กับวงการละครเพลง"
"ผมรู้ดีว่าเราทั้งคู่ต่างอยากเห็นสิ่งเหล่านี้เผยแพร่ออกไป เราสามารถใช้ค่าลิขสิทธิ์ที่ได้รับเพื่อช่วยเหลือในงานต่างๆ ตั้งแต่เงินทุนเพื่อการศึกษาเพื่อศิลปินรุ่นเยาว์หรือนักแต่งเพลงรุ่นใหม่ ผมรู้สึกเป็นหนี้ต่อความสำเร็จที่ได้รับไม่เพียงแต่ในเกาะอังกฤษ แต่จากทุกๆ แห่งในโลก ดังนั้นผมจึงไม่มีวันละเลยประเทศอย่างสหรัฐฯ หรือแม้แต่ประเทศจีนอย่างแน่นอน"
ลอร์ดเวบเบอร์มีทายาทด้วยกันทั้งหมด 5 คน อีโมเจน วัย 31 และ นิโคลัส วัย 29 ที่เกิดจากภรรยาคนแรก และกับภรรยาคนปัจจุบันอย่างๆ อลัสแตร์ วัย 16, วิลเลียม วัย 15 และ อิซาเบลลา วัย 12
ซึ่งรายของอลัสแตร์ดูเหมือนจะมีวงจรชีวิตที่กำลังจะทาบตามผู้เป็นบิดาของเขา เมื่อนักแต่งเพลงหนุ่มคนนี้ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่ผ่านมาในการไปฝึกงานกับค่ายเพลง Island Records แถมยังได้เพื่อนสาวเป็นหนึ่งในคนที่เคยผ่านงานกับพ่อของเขาแล้วด้วย
"ผมเพิ่งมารู้ว่าเขาได้ร่วมงานกับหนึ่งในแนนซีของผมเข้า" ลอร์ดเวเบอร์กล่าวทั้งเสียงหัวเราะเมื่อรู้ว่าลูกชายของเขากำลังร่วมงานกับหนึ่งในผู้ที่ผ่านรอบสุดท้ายของรายการโชว์ I’d Do Anything ของเขา
"เขาได้จองห้องอัดเสียงเป็นที่เรียบร้อย พวกเขากำลังทำเพลงด้วยกันอยู่ ซึ่งผมไม่รู้เรื่องนี้เลยจนกระทั้งเพื่อนโทรมาบอก ตอนนั้นอยู่ในช่วงฝึกงานและเขาเพิ่งจะกลับเข้าโรงเรียนในวันพรุ่งนี้"
"ผมภูมิใจในตัวเขามากๆ เพลงแรกของผมก็ถูกแต่งขึ้นมาตอนอายุ 16 เช่นกัน เขาเหมือนผมตรงที่แต่งเนื้อเพลงเองไม่ได้ จากนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าเขาจะหานักแต่งเนื้อเพลงได้ดีแค่ไหน"
แม้จะออกตัวว่าแต่งเนื้อเพลงไม่เป็น แต่แค่ดนตรีของเขาอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วกับความสำเร็จอันยอดเยี่ยมในฐานะนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ ที่จะถ่ายทอดออกมาในผลงานซีดีเพลงรวดฮิต 3 แผ่นชุดใหม่ที่จะรวบรวม 60 เพลงรักอันยอดเยี่ยมของเขา
"ผมคิดว่าคงมีนักแต่งเพลงไม่กี่คนที่ผลงานถูกนำไปถ่ายทอดโดยศิลปินตั้งแต่ เอลวิส เพรสลีย์จนถึง Boyzone จากมาดอนนาจนถึงอนาสตาเซีย ผมโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการในชีวิตอย่างใจหวัง ซึ่งผมไม่เคยมานั่งคิดว่าเพลงเหล่านั้นจะฮิตหรือไม่"
"ตลอด 40 ที่ผมพลักดันให้ผลงานของตัวเองได้ถูกนำแสดง มันมีทั้งช่วงเวลาที่สูงสุดและตกต่ำ แต่ผมถือว่าโชคดีแล้วที่ผลงานของผมไปถึงผู้ฟังในที่สุด"
เขาอาจจะครองความยิ่งใหญ่ในโลกละครเพลงมากว่า 40 ปี แต่ไม่มีใครจะประหลาดใจไปกว่าตัวเขาเองที่จะคิดว่านักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มีอาชีพใหม่ในรายการโชว์คืนวันเสาร์ทางโทรทัศน์ ซึ่งเป็นรายการประเภทค้นหานักร้องล่าฝันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น I’d Do Anything, Any Dream Will Do หรือ How Do You Solve A Problem Like Maria?
"มันไม่ได้หมายความว่าผมจะหาอาชีพที่สองหรอกน่ะ ทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากการจับพลัดจับพลูไปเท่านั่นเอง"
"ที่ผมกำลังทำอยู่คือทำงานที่อยู่ในวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างขี้เล่นและชอบเสียงหัวเราะ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าสนุกที่จะทำอะไรที่เป็นการส่งเสริมเยาวชนผ่านรายการทีวี ที่ไม่ทำให้มันออกมาเหมือนกับรายการอย่าง X Factor หรือ American Idol พวกรายการเหล่านั้นขาดอารมณ์ขัน ดีแต่ล้อเลียนศิลปินที่เชิญมาออกรายการ แต่แรกที่ผมมาทำหน้าที่ในรายการก็กังวลใจเหมือนกัน จนกระทั้งได้ถ่ายทำตอนแรกกับ Maria ผมก็รู้สึกสนุกกับมัน ผมอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าผมทำได้ตั้งแต่ตอนแรก ผมมักจะเขินที่ต้องพบกับคนที่ผมไม่รู้จักในครั้งแรก แต่ผมชอบรายการสดทางทีวี มันเหมือนกับละครเวทีที่ผสมกับเรื่องชวนหัว"
แม้ว่าจะย่างเข้าสู่วัย 60 ปีแล้ว ลอร์ดเวบเบอร์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยตัวให้ร่วงโรยไปตามอายุ ทั้งโปรเจ็คท์รายการทีวีที่เข้ามาสู่ออฟฟิศของเขาทุกๆ วัน ซึ่งเขาจะเปิดตัวโครงการใหม่ในปีหน้า แต่ไม่ใช่รายการประกวดทางทีวีอีกต่อไป นอกจากจะเป็นการกลับมาของละครเพลงสุดยิ่งใหญ่อย่าง Phantom of the Opera ที่จะกลับมาในภาคที่ 2 หลังจากภาคปฐมบทกวาดเงินจากการแสดงรอบโลกไปแล้วถึง 1.8 พันล้านปอนด์ ซึ่งในชื่อตอนที่ตั้งเอาไว้ว่า Phantom – Once Upon Another Time (หรือ Phantom: Love Never Dies) จะเป็นเรื่องราวของตัวละครที่มาอยู่ที่นิวยอร์กใน 10 ปีต่อมา
"แฟนท่อมถูกพามาด้วยเวทมนตร์จนมาถึงเกาะโคนีย์ และหนึ่งในเรื่องราวประหลาดทั้งหลาย เขาได้สร้างสวนสนุกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกไม่เคยได้พบเห็น ผมคิดว่าโชว์น่าจะเปิดตัวในเดือนต.ค.ปีหน้านี้"
จากโชว์อันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า แน่นอนว่าจะเพิ่มความร่ำรวยให้กับนักแต่งเพลงคนดังนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเป็นเงินที่เหล่าลูกๆ ของเขาได้แต่มองดูเท่านั้น
คำถามก็คือลอร์ดเวบเบอร์ใช้เงินส่วนตัวนับล้านไปกับอะไรบ้าง?
ก่อนหน้านี้ลอร์ดเวบเบอร์เคยกล่าวเอาไว้ว่าเขาจะแต่งเพลงออกมาเพื่อที่จะนำเงินไปสนับสนุนงานสะสมผลงานศิลปะของเขาโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นผู้ที่หลงใหลในศิลปะยุควิคตอเรีย และงานสะสมมูลค่า 300 ล้านปอนด์สามารถนำไปจัดแสดงในหอศิลป์ของสถาบัน Royal Academy ที่กรุงลอนดอนได้หลายห้องเลยทีเดียว
ผลงานที่แพงระยับที่สุดจากคอลเล็กชั่นของเขาได้แก่ Angel Fernandez de Soto งานเขียนของยอดศิลปิน ปิกัสโซ ที่สนนราคากว่า 18 ล้านปอนด์
แต่ความพยายามในการขายผลงานชิ้นดังกล่าวเพื่อนำเงินไปมอบแก่การกุศลเมื่อปี 2006 ต้องล้มเหลว จากข่าวลือว่าเป็นผลงานที่พรรคนาซีปล้นมาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ลอร์ดเวบเบอร์และภรรยาอาศัยอยู่ในปราสาทซิดมอนตัน คอร์ท เมืองเบิร์กไชร์ พื้นที่ 1,000 เอเคอร์ มูลค่ากว่า 22 ล้านปอนด์ รวมทั้งมีแฟลตที่นิวยอร์กราคากว่า 15 ล้านปอนด์ รวมทั้งฟาร์มและที่ดินในเกาะมายอร์กาและประเทศฝรั่งเศส
นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของโรงละคร 7 แห่งในลอนดอน ทั้ง Theatre Royal, London Palladium, Adelphi และ Gielgud