xs
xsm
sm
md
lg

You Don’t Mess with the Zohan : มุกนรก + โจ๊กใต้สะดือ (เห่ยๆ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา

มองในแง่ของชื่อชั้นและความสามารถ นับได้ว่า อดัม แซนด์เลอร์ เป็นหนึ่งในดาราตลกที่ป็อปปูล่าร์มากที่สุดคนหนึ่งซึ่งมีผลงานอันน่าประทับใจมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งแสดง เขียนบท และกำกับ (และผมก็เชื่อด้วยว่า เหตุผลที่หลายๆ คนไปดูหนังเรื่องนี้ก็เพราะมี “อดัม แซนด์เลอร์” เป็นตัวเรียก) แต่ถึงตอนนี้ ผมก็ชักจะไม่แน่ใจเหมือนกันว่า จะยังมีใครกี่คนไหมที่คิดว่า หนังเรื่องล่าสุดอย่าง You Don’t Mess with the Zohan คืออีกหนึ่งผลงานที่น่าจดจำของผู้ชายคนนี้?

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับครับว่า อดัม แซนด์เลอร์ เขามีความสามารถจริงๆ ในการเรียกเสียงหัวเราะจากคนดู และที่จริงยิ่งกว่าจริงก็คือ กับหนังเรื่อง You Don’t Mess with the Zohan อดัมดูจะมีมุกอะไรๆ ให้เราขำได้แทบจะทุกฉาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงตอนนี้ ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่า ยังจะมีสักใครกี่คนหรือเปล่าที่อยากเอามุกในหนังเรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตจริงๆ บ้าง? (เหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา ซึ่งมุกตลกหลายๆ มุกในหนังของอดัม มักจะถูกวัยรุ่นโค้ดเอาไปใช้จนกลายเป็นคำฮิตติดปาก)

เหนืออื่นใด หนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่หลงเหลือความเป็น Man-Child ที่เป็นจุดขายสำคัญในผลงานที่ผ่านๆ มาของอดัม แซนด์เลอร์ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของอารมณ์ขัน หลายๆ ครั้งก็มีทิศทางคล้ายๆ กับ BORAT ของ “ซาชา บารอน โคเฮน” ที่แม้จะแพรวพราวด้วยอารมณ์ขันประชดประชันเหน็บแนมแสบๆ คันๆ แต่ขณะเดียวกันก็มี “มุกตลกสกปรก” ผสมอยู่ในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง

ไม่ว่าจะอย่างไร ถ้าดูจากเครดิตทีมงาน ปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า You Don’t Mess with the Zohan มีทีมงานที่ป๊อปๆ อยู่หลายคน อันดับแรกสุดก็คือ นี่ถือเป็นการรีเทิร์นของผู้กำกับ “เดนนิส ดูแกน” คู่หูคนเดิมของอดัม แซนด์เลอร์ ที่ร่วมกันให้กำเนิดงานดีๆ อย่าง Happy Gilmore และ Big Daddy มาแล้วในอดีต เช่นเดียวกับบทภาพยนตร์ที่นอกจากหนุ่มอดัมจะทำหน้าที่ชงเองแล้ว เขายังได้ “แนวร่วม” อีก 2 คนคือ โรเบิร์ต สมีเกล (จาก Triumph the Insult Comic Dog) และ จัดด์ อพาโทว์ (จาก Knocked Up) ทั้งหมดเหล่านี้เปรียบเสมือนขุมพลังแม่เหล็กที่ดึงดูดคนดูได้ดีอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม กับ “เนื้องาน” ทั้งหมดที่ออกมา มันกลับดู “ไม่สมศักดิ์ศรี” ของพวกเขาเหล่านี้สักเท่าไหร่??

ครับ อันที่จริง ถ้าดูจากลักษณะของตัวละครนำ ผมเห็นว่า You Don’t Mess with the Zohanนำเสนอคาแรกเตอร์ที่มีความน่าสนใจพอสมควร เพราะมันเล่าถึง “โซฮาน” ทหารฝีมือดีที่กำลังถึงจุดอิ่มตัวในอาชีพทหาร และถูกความฝันดั้งเดิมเพรียกหา แต่ด้วยภารกิจระดับชาติ (ตามที่หนังเอ่ยอ้าง) ทำให้เขาไม่สามารถวางมือได้ง่ายๆ สองสิ่งนี้คือ Conflict ที่สู้รบกันอยู่ในใจ และเรียกร้องให้ทหารหนุ่มต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ฟังๆ ดู พล็อตแบบนี้สามารถเอาไปขยายความทำเป็นหนังดราม่าดีๆ ได้เลยใช่ไหมล่ะครับ แต่จะทำไงได้ล่ะ ก็ในเมื่อ นี่มันเป็นหนังในแบบของอดัม แซนด์เลอร์ ไม่ใช่สตีเว่น สปีลเบิร์ก หรือคลินต์ อีสต์วูด จากพล็อตที่ดูเหมือนจะเอื้อเต็มที่ต่อแนวทางของดราม่า จึงออกมา “บ้าๆ บวมๆ” อย่างที่เห็น (ลำพังคิดถึงแค่ความเก่งกาจของอีตาโซฮาน ก็โอเว่อร์เหลือรับประทานแล้วล่ะครับ)

อย่างไม่ต้องคาดเดาอะไรกันให้ยาก เพราะแค่เห็นหน้าของอดัม แซนด์เลอร์ คอหนังคอมิดี้ก็คงรู้กันดีแล้วว่า จุดเด่นของหนังเรื่องนี้จะอยู่ที่อื่นไปไม่ได้ หากไม่ใช่มุกตลก ซึ่งกระหน่ำซัดอัดใส่คนดูแทบจะทุกนาที แต่ก็อย่างที่หลายๆ คนบ่นให้ฟังว่า มุกตลกเหล่านี้ บางทีก็ดูสัปดนจนเกินไป เช่นเดียวกับฉากเมคเลิฟเลือนลั่นสั่นสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวในร้านตัดผมนั้น ไม่รู้ว่าหนังจะใส่เข้ามาอะไรเยอะแยะขนาดนั้น เพราะเพียงแค่ครั้งสองครั้งก็แทบจะเอียนแล้วจริงๆ แต่เอาเถอะ ถึงยังไง ผมว่า มันก็ไม่ได้ดูอุบาทว์ลามกหนักหนามากเกินไปกว่าจะรับได้ และอย่างน้อยๆ เราก็รู้และเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่า หนังต้องการแค่ล้อเล่นประชดประชัน ไม่ใช่เพราะ...ตัณหาพาไป...

ขณะเดียวกัน ถ้าเราลองแล่สูตรแห่งการสร้างมุกตลกในหนังเรื่องนี้ออกมาดู ก็จะพบว่า มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการตอบสนอง “จินตนาการ” หรือ “ความคิดหลุดโลก” ส่วนตัวของคนทำอย่างสุดโต่ง อย่างเช่น จินตนาการว่าตัวเองเก่งกาจหลบกระสุนปืนร้อยๆ ลูกได้ หรือใช้พลังบาทาฝ่าเท้าพุ่งถีบทะลุกำแพงปูน หรืออะไรอื่นๆ ทำนองนั้น

พูดง่ายๆ ก็คือว่า การกระทำต่างๆ ที่หนังตั้งใจเอามาสร้างความขบขันให้กับคนดูนั้น ส่วนใหญ่เป็นการกระทำที่ควรได้รับอนุญาตให้มีพื้นที่อยู่แค่ใน “จินตนาการ” และบางสิ่งก็ไม่สมควรทำโดยแท้ แต่อดัม แซนด์เลอร์ ก็กระทำมันออกมาเพราะหวังผลว่าจะทำให้คนขำ

ถามว่า แล้วมันขำไหมล่ะ ก็ขำแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ขำแล้ว...อาจจะมีความสงสัยห้อยติดอยู่ในใจว่า มันทำลงไปได้ยังไงของมันฟระ?? อย่างน้อยที่สุด ผมเชื่อว่า ใครก็ตามที่ได้ดูฉากที่โซฮานสยบเด็กน้อยในร้านตัดผมสงบเงียบแล้ว ร้อยทั้งร้อย นอกจากจะขำ อาจจะหลุดคำอีกคำตามออกมา...ไอ้ hear Mang ทำไปด๊ายยย... (ไม่รู้คนอื่นจะคิดยังไง แต่ผมชอบที่จะเรียกมุกตลกแบบนี้ว่าเป็น “มุกนรก” ดูจะเหมาะสมที่สุด เพราะถึงมันจะขำ แต่ก็ชวนให้รู้สึกแย่ๆ ยังไงชอบกล เหมือน “ตลกเจ็บตัว” ของเหล่าคาเฟ่โจ๊กเกอร์ที่ต้องเอาถาดฟาดหัวกันก่อนถึงค่อยขำ ยังไงยังงั้น)

มองที่เนื้อหาเรื่องราว ผมว่า You Don’t Mess with the Zohan สตาร์ทมาได้ค่อนข้างดี แต่กลับไปเละตุ้มเป๊ะในช่วงกลางๆ เรื่องไปจนถึงตอนจบ เพราะจากพล็อตเริ่มแรกที่ดูเหมือนว่าหนังจะตั้งใจอย่างแน่วแน่เพื่อแสดงให้เห็น “ความขัดแย้งในใจ” ของทหารหนุ่ม และความเพียรพยายามที่จะไล่ตามไขว่คว้าความฝันของตัวเอง แต่เอาไปเอามา เนื้อหาก็เริ่ม “เข้าป่าเข้าดง” ไปจนกู่ไม่กลับ นั่นยังไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดอีกเยอะแยะมากมายซึ่งหนังใส่เข้ามาในแบบที่เรียกว่า “กลอนพาไป” จนส่งผลให้พล็อตหลักในตอนแรกล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และมันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนเขียนบทจับพล็อตไม่อยู่มือ จากเรื่องทหารหนุ่มเบื่อหน่ายชีวิตในกองทัพและอยากมีร้านตัดผมเป็นของตัวเอง มันกลับกลายเป็นเรื่องราวการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวอิสราเอลในอเมริกาอันน่าปวดเศียรเวียนเกล้าไปได้อีท่าไหนก็ไม่รู้ พับผ่าเถอะ!! (ส่วนใครจะยกยอปอปั้นว่ามันกระตุ้นให้ครุ่นคำนึงถึง “ความใฝ่ฝัน” ก็ไม่ว่ากันอยู่แล้ว)

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่า ผลงานชิ้นนี้ได้ตอบโจทย์หลักๆ ของตัวมันเองอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น นั่นก็คือ การเป็นหนังตลกที่มุ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดู ใครอยากหลีกหนีชีวิตเครียดๆ ไปผ่อนคลายในโรงหนังสักชั่วโมงสองชั่วโมง ก็คงไม่ผิดหวัง แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า มุกตลกในหนังมันหนักไปทางสัปดนค่อนข้างมาก ดังนั้น ถ้าคิดว่าตัวเองมีธาตุของความเป็น “ผู้ดี” ที่ยอมรับเรื่องทำนองนี้ได้ยาก ก็จงหลีกเลี่ยง จะดีกว่า...

เข้าใจนะครับว่า หน้าที่หลักๆ ของหนังตลกแต่ละเรื่องก็คือทำให้คนดูหัวเราะตามไปด้วย อย่างไรก็ดี อย่าลืมว่า นี่คือหนัง ไม่ใช่ Exhibition โชว์มุกตลก และที่สำคัญ ใช่หรือไม่ว่า ที่ผ่านมา อดัม แซนด์เลอร์ ก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นกันแล้วว่า หนังคอมิดี้ดีๆ ที่มาพร้อมกับเนื้อเรื่องดีๆ และมีชั้นเชิงการเล่าเรื่องแบบสมูธๆ นั้น เขาก็ทำได้ ใช่ว่าไม่เคยทำ (ยิ่งเมื่อเขาผนึกกำลังกับแต่กับ You Don’t Mess with the Zohan เรื่องนี้ดูจะหลุดออกไปจากมาตรฐานที่เขาเคยทำไว้ไกลสุดกู่ชนิดที่เรียกได้ว่ายืนอยู่กันคนละขั้ว

สรุปก็คือ หนังเรื่องนี้ดูแก้เครียดแบบชิลล์ๆ ก็พอได้ครับ ประมาณว่า...ดูแล้วขำ แค่นั้น จบ อย่าไปคิดอะไรกับมันมาก

อย่างไรก็ตาม ใครที่เพิ่งดูหนังของอดัมเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ไม่แปลกครับ ถ้าคุณจะรู้สึกนึกชังอีตาคนนี้ไปอีกนาน แบบเดียวกันกับที่เคยรู้สึกมาแล้วกับหนังอย่าง BORAT ของซาชา บารอน โคเฮน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น