xs
xsm
sm
md
lg

“บุ๋ม” เจอดีโดนด่าใส่หน้า รับใช้ทรราช! เผยความจริงวันนี้ฝั่ง NBT

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“บุ๋ม ปนัดดา” เผย โดนด่าใส่หน้ารับใช้ทรราช แต่ยังยืนหยัดข้างเอ็นบีที ยืนยันรายงานข่าวอย่างเป็นกลาง แก้ต่างกรณีบิดเบือนข่าว “กิตติ” ยันคนของเอ็นบีทีช่วย ไม่ใช่พันธมิตรฯ จวกนักศึกษาหยุดเรียนไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น

เป็นหนึ่งในผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที หรือช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ที่ก่อนหน้านี้ก็เคยออกมาประกาศถึงความเป็นกลาง จนกระทั่งวันที่เอ็นบีทีโดนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกด้วยข้อหานำเสนอข่าวไม่เป็นกลาง และเป็นเครื่องมือให้รัฐบาล

อย่างไรก็ตาม “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” ก็ยังยืนยันว่า เอ็นบีทีรายงานตามความเป็นจริง และแก้คำครหาที่ว่าผู้ประกาศข่าวเอ็นบีทีรายงานข่าวบิดเบือนกรณีที่บอกว่า “กิตติ สิงหาปัด” ถูกพันธมิตรฯตีหัวแตก ทั้ง กิตติ เองก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่า เป็นการเข้าใจผิด ไม่มีการทำร้ายร่างกาย และการ์ดพันธมิตรฯเป็นผู้กันตัวออกมาจากเอ็นบีที

ซึ่งเรื่องนี้ บุ๋ม กล่าวว่า ความจริงผู้ที่พาตัว กิตติ ออกมา คือ พนักงานเอ็นบีทีที่ใส่เหลืองปลอมตัวเข้ามาช่วย และนี่คือ ความจริงวันนี้ฝั่งเอ็นบีทีในทัศนะของบุ๋ม

“หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทุกคนจะถามหมดเลยว่า ลอดช่องแอร์ออกมาเหรอ จริงๆ มันคือช่องลมที่เป็นหน้าต่างใช้ดันออกเฉยๆ ไม่ใช่ช่องแอร์เหมือนในหนัง แต่ก็สูงอยู่เหมือนกันประมาณ 2 เมตร พี่สร้อยฟ้า (สร้อยฟ้า โอสุคนธ์ทิพย์) กับพี่จิรายุ (จิรายุ ห่วงทรัพย์)) บอกให้โดดออกมาทางนั้น แต่ พี่ตวงพร เขาอยู่ด้านนอกอยู่คนละส่วนกันก็เลยออกมาทางนี้ไม่ได้”

“ความรู้สึกตอนนั้นก็ตื่นเต้นดี แต่ว่าตกใจมากกว่า เราไม่เคยคิดว่าจะเห็นภาพที่รุนแรงเกิดขึ้นในเมืองไทย ไม่อยากเห็นแบบนั้น พอเช้าวันรุ่งขึ้น บุ๋มก็ไปอ่านข่าวเหมือนเดิม ไปอ่านที่สถานที่ราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งเราแอบเอารถโอบีเข้าไปถ่ายทอด”

“ถามว่า กลัวไหมก็กลัวนะ แต่เราเป็นคนทำงานในหน้าที่ของสื่อ เราพยายามเป็นกลางให้ได้มากที่สุด แต่ ณ จุดนี้ถ้าใครจะเห็นว่าเราอยู่ฝ่ายไหนมันช่วยไม่ได้ เพราะคนก็ระแวงกันไปหมดแล้ว แต่ บุ๋ม ก็ยังยืนยันว่า จะทำหน้าที่สื่อและพยายามนำเสนอทั้งสองฝ่าย”

“ส่วนกรณี พี่กิตติ พี่เขาโดนต่อยเข้าที่ปลายคางเฉียดๆ ซึ่งเป็นความชุลมุนกันมากกว่า ตอนนั้นมันเป็นความเข้าใจผิดกันหมดเลยว่าใครฝ่ายไหนพวกไหน แล้วคนที่หิ้วพี่กิตติออกมาที่ใส่เสื้อเหลืองจริงๆ แล้วเป็นพนักงานเอ็นบีทีอยู่ในฝ่ายคอนโทรล แต่เป็นพนักงานเอ็นบีทีที่รู้แกวใส่เสื้อเหลือง เพื่อที่จะเดินเข้าไปในเอ็นบีทีได้ และก็ดึง พี่กิตติ ออกมา แต่พันธมิตรฯก็บอกว่าเป็นคนของเขา แต่ไม่เป็นไรคนไหนก็คนไทยเหมือนกัน”

“ตอนนั้นมันชุลมุน การที่มีการรายงานว่าพี่กิตติโดนทุบหัวแตก มันคงเป็นรายงานที่ผสมๆ หลายๆ อย่าง ตอนนั้นข่าวอะไรเข้ามาเขาก็ต้องเอาให้เร็วที่สุด แต่ ณ วันนี้ก็คงจะเห็นจากภาพข่าวกันแล้วว่า พี่กิตติ ไม่ได้เจ็บถึงขนาดนั้น”

“พอหลังจากการเหตุการณ์ก็มีฟีดแบกมาบ้าง คนก็จะแบบเป็นผู้ประกาศข่าวเต็มตัวแล้วนะ ทุกคนรู้จักว่าเราอ่านข่าวมากขึ้นจากเหตุการณ์ในวันนั้น นอกจากนั้นแล้ว ก็ฟีดแบกเรื่องการนำเสนอข่าวว่ามีความเป็นกลางบ้างหรือเปล่า ทำให้ถูกจับตามองตรงนี้มากขึ้น แต่โดยส่วนตัวบุ๋มเราเป็นกลางนะ บุ๋มค่อนข้างมั่นใจในการนำเสนอข่าวของตัวเองมากว่า ไม่มีอะไรรุนแรง เราจะระวังตรงนี้มาก เพราะถ้าพูดอะไรออกไปเขาก็สามารถฟ้องร้องได้ ทุกอย่างมันได้มาจากเนื้อข่าวมันมีหลักฐานอ้างอิง”

ถึงแม้จะยืนยันว่า การรายงานข่าวในส่วนของตนค่อนข้างเป็นกลาง ไม่ใส่ความเห็นส่วนตัว แต่ในเมื่อนั่งอยู่ในเอ็นบีที ก็ย่อมจะถูกมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้

“ตรงนี้คงต้องใช้เวลาพิสูจน์ ครอบครัวของบุ๋มก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ทุกวันนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลที่เอ็นบีทีอยู่ ก็ต้องขอขอบคุณพี่ๆ ตำรวจที่เขาใส่ใจ แต่ถ้าเกิดจะให้เราทำหน้าที่แล้วต้องหยุดไป เพราะความกลัวสำหรับบุ๋มคงจะไม่ บุ๋ม เชื่อว่า สักวันหนึ่งประเทศไทยมันคงต้องสงบ เราก็ทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวของสื่อต่อไปบางทีมันก็มีเสี่ยงตายกันบ้างก็เป็นประสบการณ์ที่ดี”

ไม่หวั่นจะโดนต่อต้านเหมือน “ศรราม เทพพิทักษ์”

“ไม่กลัวเพราะบุ๋มนำเสนอทั้งสองฝ่าย และบุ๋มก็มีเพื่อนทั้งสองฝ่าย แต่ก็เคยโดนฟีดแบกบ้างเหมือนกันมาพูดต่อหน้าเลย เดินๆ อยู่ดีๆ ก็มีคนแบบ อ้าว....นักข่าวเอ็นบีทีพวกรับใช้ทรราชนี่หว่า บุ๋ม ก็ตอบไปว่า ไม่หรอกพี่ เราแค่ทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือเปล่าแต่เราก็ตอบไปแค่นั้น สีหน้าคำพูดก็น่ากลัวอยู่ (หัวเราะ) แต่ทำยังไงได้ล่ะก็ในเมื่อเราอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

“บุ๋ม คิดว่า คนดูน่าจะเข้าใจนะ สไตล์การนำเสนอข่าวของบุ๋มก็ไม่ได้รุนแรง การใช้ภาษาของบุ๋มไม่มีการเติมความคิด หรือย่อยข่าว เป็นการอ่านตามข่าวไม่ได้แสดงความคิดเห็นเหมือนอย่างพี่ๆ เขา กรณีของ บุ๋ม นี่ยังถือว่าไม่เยอะนะ แต่ของพี่ๆ คนอื่นๆ จะโดนเอารูปแปะข้างฝาเลย อย่าง พี่ตวงพร เขาจะโดนเอารูปแปะข้างรถโอบีและเขียนคำค่อนข้างหยาบคาย”

เมื่อก่อนเป็นดารา มีแต่คำชื่นชม แต่พออยู่เอ็นบีทีโดนด่าว่า “รับใช้ทรราช” เจ้าตัวยอมรับว่าเสียใจ
“มันก็เสียใจนะ ไม่ว่าจะว่าเราเป็นอะไรก็ตาม มันก็คือความแตกแยกการพูดไม่ดีใส่กัน มันไม่ควรเกิดขึ้น เราก็แค่ทำงาน เราก็เหมือนดาราทุกๆ คน อย่างพี่หนุ่ม (ศรราม เทพพิทักษ์) ก็คงจะตั้งใจทำงานเหมือนกัน เขาก็แสดงความคิดเห็นในฐานะคนหนึ่งของสังคม เพียงแต่ว่ามันค่อนข้างเซนซิทีฟในเรื่องของการเมือง คนที่เห็นด้วยก็ชื่นชม คนที่ไม่เห็นด้วยก็ด่าเรา มันก็เท่านั้น”

“ก็อยากจะบอกกับทุกคน ว่า บุ๋มเองก็มีเพื่อนอยู่พันธมิตรฯ เรามีความเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่พอเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง มันไม่จำเป็นต้องแตกแยกเด่นชัดขนาดนั้น เราก็ยังรู้สึกดีๆ ต่อๆ กันได้ เพียงแต่ว่าพอเป็นการแสดงความคิดเห็นทางเรื่องการเมืองคุณก็ไปในกลุ่มของคุณ ฉันก็ในกลุ่มของฉัน หรือว่ากลุ่มเป็นกลางของฉัน”

“ไม่อยากให้เกิดความแตกแยก บุ๋มเองก็เป็นแม่ลูกอ่อน มีน้องอันดามัน ก็อยากให้น้องเติบโตมาในสังคมที่สงบสุข ไม่อยากเห็นการแตกแยก ไม่อยากเห็นนี่คือสีเขียว นี่คือสีแดง นี่คือสีเทา ไม่อยากเห็นสีอะไรทั้งสิ้น อยากเห็นแค่สีของคนไทยเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่บุ๋มอยากเห็นจริงๆ”

เผยผู้ประกาศเอ็นบีทีค่อนข้างเครียด บางคนถึงขั้นลางานไปพักผ่อน
“ตอนนี้ก็มีการระวังตัวกันมากขึ้น เวลานำเสนอจะต้องมีการนำเสนอแง่มุมไหนมีใครบ้าง ก็จะมีการประชุมและวางแผนกันมากขึ้น ระวังตัวกันเยอะมากขึ้น พี่ๆ บางคนเขาก็เครียดนะ เขาก็แค่ทำหน้าที่สื่อ แต่พอเจอสถานการณ์แบบนี้เขาก็เครียด ลาไปพักร้อนก็มีเหมือนกัน”

“มันก็คงจะเครียดกันไปหมด มีด่าเข้ามาในเน็ตบ้าง พี่จิรายุ ก็เครียด แต่จริงๆ แล้วในการนำเสนอพี่เขาก็คงไม่ได้ตั้งใจไปทำร้ายใคร สำหรับบุ๋มเองก็ต้องระวังตัวมากขึ้นเหมือนกัน ไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวจะมีเลขาฯ ไปด้วยตลอด เพราะว่าไม่ใช่พันธมิตรฯอย่างเดียว พวกโรคจิตก็มีเข้ามาเยอะมาก”

ขอเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายไหน แต่ไม่วายตำหนินักศึกษาที่ออกมาประท้วงด้วยการไม่ไปเรียนหนังสือ
“วันนี้ บุ๋ม ขอเป็นกลาง บุ๋มไม่สนหรอกว่าใครจะเรืองอำนาจ ใครจะอยู่ใครจะไปแล้ว ณ ตอนนี้เศรษฐกิจมันแย่มาก ภาพลักษณ์ของประเทศไทยมันก็แย่มาก ณ วันนี้อะไรก็ได้ แต่ขอให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญถูกต้องตามกฎหมาย เพราะว่าคนจะอยู่ร่วมกันได้ทุกคนต้องเคารพกฎหมายร่วมกัน ดังนั้น ขอให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง”

“สถานการณ์ตอนนี้มันเป็นกลไกของประชาธิปไตย กว่าประเทศอื่นจะได้ประชาธิปไตยมันก็มีการฝ่าฟัน มีการตีกัน มีการทะเลาะกันอย่างนี้เหมือนกัน เพียงแต่เราจะให้มันมีจุดจบยังไงมากกว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ ในเรื่องนิสิตนักศึกษา บุ๋ม อยากจะให้มองว่า การแสดงออกทางด้านการเมือง การแสดงกิจกรรมต่างๆ เป็นสิทธิส่วนบุคคลแต่อย่าขาดเรียน เพราะหน้าที่ของคุณคือการเรียน”

บุ๋มไม่เห็นด้วยกับการหยุดเรียน เพราะการหยุดเรียนคุณเสียผลประโยชน์ ถ้าเกิดฝ่ายคุณแพ้ หรือฝ่ายคุณชนะขึ้นมา แต่กลายเป็นว่าคุณขาดเรียนมันคุ้มหรือเปล่า คนที่เรืองอำนาจคนที่ได้ผลประโยชน์ก็ไม่ใช่คุณอยู่ดี การแสดงออกมันมีได้หลายวิธี การใช้ความสงบการลงชื่อร่วมกันแล้วส่งตัวแทนไป หรือทำอื่นๆ รัฐสภาย่อย รัฐสภาเยาวชนก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องหยุดเรียน”

“ถ้าเกิดว่ามันเป็น 14 ตุลาฯ รวมตัวกันทั้งประเทศก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อันนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นด้วยทั้งมหาวิทยาลัยกลับมาเรียนเหอะ อย่าขาดเรียนแล้วกัน เพราะหน้าที่หลักของคุณก็คืออย่าขาดเรียน ไม่งั้นก็ไม่มีใครเคารพในความคิดเห็นของคุณ เพราะคุณทำตัวไม่เป็นผู้ใหญ่พอ”

“วันนี้ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะจบลงแบบไหน แต่บุ๋มว่าอาจจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง แต่จะเป็นความรุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ต้องคอยดูกัน วันนี้ท่าทางก็คงจะเห็นกันแล้วแหละ แต่พันธมิตรฯยังคงจะยืนกรานหรือไม่ เพราะถ้าพลังประชาชนจะยังคงอยู่ตรงนี้พันธมิตรฯก็คงจะอยู่ต่อสู้ต่อไปคนละฟาก”

“บุ๋มว่าทางออกต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่คิดว่าจบอย่างนี้ดีที่สุด ไม่อยากให้มีการปฏิวัติ ณ ตอนนี้ทหารเองก็ยังไม่มีท่าทีปฏิวัติ บุ๋มเองก็ไม่อยากให้ปฏิวัติไม่งั้นประเทศจะถอยหลังอีก 10 ปี มีบางกลุ่มอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็เลยมีการลือเกิดขึ้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น