"จอห์น เมเยอร์" นักร้องหนุ่มและมือกีต้าร์ชื่อดังได้เปิดปากถึงเหตุเลิกราแฟนสาวรุ่นพี่ "เจนนิเฟอร์ อนิสตัน" โดยระบุว่าการเลิกราของทั้งคู่นั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่สุดในโลก ไม่มีการนอกใจ แค่ยังไม่ใช่เท่านั้น
จากเหตุเลิกราของคู่รักคนดังระหว่างม่ายสาว เจนนิเฟอร์ อนิสตัน และ นักร้องดัง จอห์น เมเยอร์ เผยแพร่ไปทั่ว ก็เป็นเหตุให้สื่อต่างๆเขียนข่าวกันไปถึงเหตุเลิกราต่างๆนานาจนเป็นเหตุให้ฝ่ายชายทนไม่ไหวออกมาเผยความจริงเพื่อปกป้องฝ่ายหญิงว่าแท้จริงแล้วเลิกราเพราะอะไร พร้อมบอกนักข่าวเลิกนั่งเทียนเขียนข่าวได้แล้ว
"ถ้าทุกคนกำลังมีเรื่องหลายสิ่งประดังประเดเข้ามารวมถึงเรื่องโกหกทั้งหลาย ก็ต้องมีใครคนหนึ่งลุกขึ้นเพื่อปกป้องอีกคน"
"ผมในฐานะผู้ชายที่เพิ่งจบสัมพันธ์รักลงกำลังยืนอยู่เพื่อบอกให้เขียนความจริง ให้ผมได้ปกป้องใครบางคน ซึ่งเขียนลงไปด้วยว่า เจนนิเฟอร์ อนิสตันนั้นเป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่สุด, และเป็นคนที่เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ความรู้มากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย"
"เธอเป็นคนที่น่ารักมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยพบเจอมาในชีวิต แต่ตอนนี้ผมกำลังมุ่งทำบางสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆและพวกคุณควรจะจบได้แล้ว คุณต้องยุติทุกสิ่งได้แล้วเพราะว่าพวกคุณไม่ได้รู้อะไรเลย มันแย่มาก"
"ผมต้องขอโทษด้วยที่เรื่องราวมันไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่" นักร้องหนุ่มวัย 30 ปีกล่าว "แต่มันถึงเวลาที่ใครคนนั้นต้องลุกมาปกป้องฝ่ายหญิงและผมคิดว่าเธอเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ"
เมเยอร์ได้พูดถึงเหตุร้างลาว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่สุดในโลก ไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการนอกใจ และไม่มีอะไรเลย
"คนเราแตกต่างกัน คนเรามีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ และมีชีวิตที่แตกต่างกันไป มันไม่เกี่ยวว่ากี่ปี แต่เกี่ยวกับว่าเรากำลังคบหาอยู่กับใคร เราต้องซื่อสัตย์เสมอต้นเสมอปลาย"
ดังนั้นนักข่าวจึงรุมถามว่าแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะเขานอกใจเธอใช่หรือไม่? นักร้องหนุ่มจึงกัดนักข่าวตอบว่า "ทำไมถามผมแบบนั้น? ผมซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เลย ผมเลิกเพราะไม่อยากโกหก หลอกลวงกัน ผมยุติความสัมพันธ์นี้มาอยู่เป็นโสด ก็เพราะว่าผมไม่ต้องการให้ใครคนหนึ่งมามัวเสียเวลา ถ้าหากว่ามันไม่ใช่"
ม่ายสาวนักแสดงและนักร้องหนุ่ม ออกเดตกันมาตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา และควงกันอย่างเปิดเผยพร้อมเป็นคู่ที่ตัวติดกันอยู่ตลอด ก่อนจะมีข่าวเลิกรากันไปเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน
และนับตั้งแต่เลิกรากันไป อนิสตันและเมเยอร์ต่างก็แยกกันใช้ชีวิตกันคนละฝั่งของประเทศเลยทีเดียว