เตียงหักอีกคู่ “นุก” ยันเลิก “ป้อ” มือที่สามไม่ใช่ประเด็นหลัก โต้ข่าวโดนซ้อมจนอยู่ร่วมบ้านไม่ได้ บอกสาเหตุที่ไม่สามารถครองรักต่อได้ เพราะทัศนคติชีวิตคู่ไม่ตรงกัน แต่ยังไม่หย่า เผยฝ่ายชายเคยท้าเลิกจนทนไม่ไหว ส่วนลูกสองคนหากฝ่ายชายคิดถึงก็ไม่คิดกีดกัน ส่วนโอกาสรีเทิร์นเจ้าตัวแจงทนมา 5 ปี จะดีกันคงต้องใช้เวลา
หลังจากมีข่าวเตียงหักรักร้าวมาหลายครั้ง สำหรับแม่หน้าเด็ก นักร้องสาวตาโต “นุก สุทธิดา ธรรมโรจน์พินิจ” หลังจากแต่งงานกับหนุ่ม “ป้อ บุญสิทธิ์ ธรรมโรจน์พินิจ” หรือลูกชาย “เสี่ยปอ ประตูน้ำ” และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนมีลูกชาย 2 คน คือ น้อง “ปิ๊บโป้” และ น้อง “ปาแปง” แต่ก็ยังไม่สามารถครองรักครั้งนี้ได้ โดยในวันนี้ (10 มิ.ย.) นักข่าวหลายสำนัก ตามไปสัมภาษณ์อดีตนักร้องสาวชื่อดัง ถึงสตูดิโอโพลีพลัส กลางรายการ “ราตรีสโมสร” ซึ่ง สาวนุก ออกเปิดใจในรายการเป็นครั้งแรก
โดยมีแม่ และลูกชายทั้งสอง มาให้กำลังใจกลางรายการด้วย ในการถ่ายทำรายการคุณแม่ลูกสองถึงขั้นหลั่งน้ำตาถึงการเตียงหัก โดยเจ้าตัวเปิดเผยถึงสาเหตุการเลิกราครั้งนี้ ว่า ตนได้เจอปัญหาครอบครัวหลายอย่าง โต้ข่าวมือที่สามไม่ใช่ปัญหาหลัก พร้อมยันข่าวโดนซ้อมไม่เป็นความจริง ยันเป็นเรื่องทัศนคติของชีวิตคู่ที่เข้ากันไม่ได้เท่านั้น
“การใช้ชีวิตก็ยังก็เหมือนเดิมค่ะตอนนี้ เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีอะไร ยังคงดูแลลูกและอยู่กับลูกเท่าเดิม ไม่ได้รู้สึกว่าขาดการดูแลหรืออะไร ส่วนเรื่องปัญหาคงไม่ใช่ปัญหาเดียว มันต้องมีหลายๆ ปัญหาที่ทำให้เราไม่อยู่ด้วยกัน สำหรับนุกคิดว่ามันไม่มีปัญหาอะไรที่เจอมา นุกผ่านมาจนครบแล้ว เรียกว่าเป็นปัญหาที่แบบว่าผ่านมาหมดแล้ว แต่อาจจะมีอีกปัญหาหนึ่งคือปัญหาครอบครัว ความไม่ดีของความเป็นครอบครัว มันคือปัญหาของเราทั้งสองคนเอง”
“เรื่องโดนซ้อม ก็ไม่เป็นความจริง มันคือเรื่องของชีวิตคู่ ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากันได้ คงจะเป็นเรื่องของการคุยให้ชัดเจน ต่างฝ่ายต่างยอมรับก็คงไม่ใช่เอากฎหมายมาตัดสิน เพราะมันไม่เอื้อกับน้อง ก็คงจะคุยกันให้ชัดเจน ให้เข้าใจต่างฝ่ายยอมรับให้ดีที่สุด เพื่อที่ลูกจะได้โตมามีทั้งพ่อและแม่”
“ตอนนี้ก็ยังคุยกันค่ะ มือที่สามก็ ไม่ใช่ประเด็นหลัก อย่างที่บอกว่าทุกปัญหาในชีวิตคู่นุกน่าจะเจอมาครบ มั่นใจว่า ไม่ได้มีอะไรที่ไม่ได้ทำ หรือยังขาด ตามนิสัย ตามความเป็นตัวเองเราก็ทำครบแล้ว อย่างเรื่องมือที่สามก็ถ้าเป็นแฟนกันก็คือเรื่องใหญ่ สำหรับคู่อื่นนุกไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะ แต่สำหรับนุกมัน0.5เปอร์เซ็นต์น่ะค่ะ ขึ้นต้นคำว่าปัญหามันก็คือปัญหา มันเป็นเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบครอบครัวเป็นหลักมากกว่า”
เผยหอบลูกเต้าเข้ามาอยู่บ้านแม่ตนเองตั้งแต่ต้นปี แต่ในทางกฎหมายยังไม่ได้หย่ากับอดีตสามีแต่อย่างใด แต่โดยพฤตินัยห่างจากกันแล้ว แม้ฝ่ายชายเคยโทรมาง้อแต่ตนก็ไม่ได้รับสาย อีกทั้งเคยทะเลาะกันหลายครั้งจนฝ่ายชายท้าหย่ามาแล้ว
“นุกแยกออกมาตั้งแต่ต้นปี ก็น้องก็ไปอยู่ด้วย ถ้าพ่อคิดถึงก็มาบางที อาม่าอากงคิดถึงก็ไปส่งให้ ก็ตอนนี้ก็ยังพอใจอยู่ มีความสุขค่ะไม่มีอะไรต้องกังวล ก็เหนื่อยเท่าเดิม แต่ว่าความกังวลความเครียดไม่มี ”
“ทะเลาะกันบ่อย รุนแรงที่สุดก็คือ ทะเลาะจนคนใช้ลาออก แล้วเขาก็ท้าขอเลิกกับเรา แต่จริงๆ เขาเป็นคนดีนะ เพียงแต่วิธีการพูดของเขามันแรงไป เราก็บอกพูดบ่อยๆ ไม่ดี จนความอดทนหมด นุกก็ไปอยู่กับแม่เลย ที่จริง เราคุยกันดีๆ ได้ แต่ตั้งแต่นุกย้ายไปอยู่บ้านแม่เขาโทรมานุกก็ไม่รับ พอลูกเล่าเรื่องให้แม่ฟัง แม่ร้องไห้ ถึงขั้นท้องอืด นอนไม่หลับเพราะเครียดแทน นุกเลยไม่ค่อยอยากเล่า
“แต่ว่าก็ยังไม่เด็ดขาด ยังมีเรื่องที่ต้องตกลงกัน ยังไม่ได้เคลียร์กันก็มีค่ะ แยกกันอยู่ทางพฤตินัย คือตอนนี้เราเป็นฝ่ายเดินออกมา เราก็อยากจะยุติให้ชัดเจน แต่ว่าด้วยตัวเราเองน่ะ อยู่และทำใจมานาน อาจไม่ได้ทำด้วยความตั้งใจ แต่เราก็ทำใจมาโดยตลอด โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว พอวันหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องตั้งตัวก็ต้องใช้เวลาด้วย มันก็มีปัญหาเราก็พยายามจะแก้ แต่มันก็แก้ไม่ได้ เมื่อมันไม่ไหวจริงๆ ก็เดินออกมาเฉยๆ นุกก็รู้จักตัวเองดีพอ เนิ่นนานก็คิดว่าเมื่อไม่ไหวจริงๆ ก็แยกกันอยู่ระหว่างที่มีปัญหา ก็รู้จักตัวเองดีพอ ถ้ายังทำไม่ได้ก็ยังไม่อยากพูด”
ยันสาเหตุที่ยังไม่ได้หย่ากันนั้นไม่เกี่ยวการแบ่งสินสมรส รับก่อนคิดว่าจะตกลงแยกทางเครียดถึงขั้นพบจิตแพทย์
“เราจดทะเบียนกันนะ สินสมรสก็ระหว่างแต่งงานก็ไม่มีอะไร เราก็ใช้เงินที่เราเก็บทำงานมาเลี้ยงลูกไป มันคือการดีไซน์ชีวิตของนุกเองที่เลือกจะไม่ทำงาน เราดีไซน์แล้วว่าเราจะเลี้ยงลูกแบบนี้ เราสามารถทำงานและดูแลลูกได้”
“ก่อนจะคิดหย่าเครียดมาก ถึงขั้นต้องปรึกษาจิตแพทย์เลยนะ ห่วงลูกไม่รู้จะพูดกับลูกยังไง เขาจะเข้าใจมั้ย ไม่อยากให้ลูกมีปมด้อย แต่นุกไม่ปรึกษาใครตัดสินใจเลย”
ต่อข้อถามที่ว่า ทั้งคู่จะมีโอกาสกลับมาคืนดีกันหรือไม่นั้น สาวนุก บอกทนมา 5 ปี จะให้ดีภายใน 5 วันก็คงไม่ได้
“เราอยู่กันมามีปัญหาถึง 5 ปี จะมาเปลี่ยนแค่ 5 วันหรือ 5 เดือนมันก็ไม่ได้ ต้องใช้เวลานะ อย่างที่บอกแหละค่ะ มันคือเรื่องทัศนคติในการใช้ชีวิตคู่”
ด้านนาง “แสงดาว เกษมสันต์ ณ อยุธยา” แม่ของนักร้องสาวลูกสอง เผยว่าปัญหาทุกอย่างเกินจะแก้ไขแล้ว และไม่เชื่อทั้งคู่ยังรักกันจริงหรือไม่ เผยไม่อยากให้ลูกสาวเป็นทุกข์กับการทนอยู่ร่วมกันอีกหากหมดความอดทน
“แม่ก็ให้คำปรึกษาก็จะบอกให้เขาอดทนค่ะ เราต้องอดทนกับปัญหาว่าเราจะดำเนินการกับชีวิตเรายังไง เท่าที่คุณแม่เห็นคิดว่าปัญหามันไม่น่าจะจบลงด้วยดี เพราะปัญหามันเหมือนปัญหาที่สะสมมานานค่ะ สรุปได้ว่ามันคืออะไรมันคือหลายสิ่งหลายอย่างมารวมกัน
“เราไม่รู้ว่าเขารักกันจริงรึเปล่า สิ่งที่แม่พูดแม่คิดนะ เรื่องหย่าก็คุยตั้งแต่วันแรกแล้วว่าให้หย่ากันเถอะ คือถ้าถามจริงๆ แล้วควรจะมีความอดทน ยิ่งแต่งงานแล้วถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไม่น่าอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ ถ้าเป็นลูกถ้าไม่มีความอดทนอยู่ไม่ได้ก็ไม่อยู่ เราก็มาเริ่มต้นของเราดีกว่า แม้ลูกเราจะหย่าเราก็บอกไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติ อยู่แล้วทุกข์จะอยู่ทำไม”