“แซม” บอกขอบคุณการปฏิวัติที่ทำให้มีโอกาสกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง เผยห่างไปเกือบ 4 ปี กลับมาครั้งนี้ทำเต็มที่ ทั้งร้องเพลง-เล่นละคร ยันถึงอย่างไรก็จะไม่ทิ้งงานการเมืองแน่นอน พร้อมวอนขอโอกาสประชาชนอย่าเห็นดาราเป็นแค่ไม้ประดับในสภา
หลังจากที่หันหลังให้กับวงการบันเทิงแล้วมุ่งหน้าตามรอยพ่อเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเต็มตัวสำหรับ “แซม-ยุรนันท์ ภมรมนตรี” ล่าสุด ก็ได้กลับเข้ามารับเล่นละครอีกครั้งหลังจากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น ทำให้นักการเมืองตกงานกันเป็นแถว ในละครเรื่อง “ตราบสิ้นดินฟ้า” ของค่าย “เอ็กแซ็กท์”
ล่าสุด พอมีโอกาสเจอหน้าหนุ่มแซมเลยยอมเปิดใจถึงการกลับมารับเล่นละครในครั้งนี้ พร้อมเผยถึงเส้นทางการเมืองในอีก 4 ปีข้างหน้าว่า
“กับการกลับมาเข้าสู้วงการบันเทิงในครั้งนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้นนะ เพราะผมหายไปประมาณเกือบ 4 ปีได้ เพราะเราก็ไม่ได้เล่นมานานและบทบาทกับเรื่องนี้ที่ได้รับก็ค่อนข้างยาก มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างห่างตัวเรามาก สิ่งเดียวที่ใกล้ตัวคือการได้ร้องเพลงและนี่คือเหตุผลหลักเลยที่ผมกลับมาเล่นละครทั้งทีก็เลยต้องทำในสิ่งที่เรารักทั้ง 2 อย่างทั้งเล่นละคร ทั้งร้องเพลงด้วยกันเลย”
“อีกเหตุผลหนึ่งคือว่าเราได้รับปากกับทางเอ็กแซ็กท์ ตั้งแต่เล่นเรื่องสุดท้ายแล้วว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาเล่นให้อีก ซึ่งทางเอ็กแซ็กท์ก็ได้ติดต่อไปอยู่เรื่อยๆ พอดีมีการปฏิวัติทำให้เราตกงานเราก็เลยว่างงานแล้ว ทางเอ็กแซ็กท์ติดต่อเข้ามาพอดี กับวันแรกที่เข้ามาเล่นเรากังวลมากเลย เพราะเรากลัวว่าจะทำให้คนอื่นช้า กลัวว่า ผู้กำกับ “ตั้ว-ศรัณยู” จากที่เคยเล่นละครด้วยกัน วันนี้เราก็ไม่รู้ว่ามุมมองการเป็นผู้กำกับว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เราจะทำให้เขาเสียเวลาไหม มันค่อนข้างกังวลมากช่วงแรก”
“แต่มันก็ถือว่าโชคดีที่ได้เล่นกับนักแสดงคุณภาพอย่างน้องแหม่ม (คัทลียา), กิ๊ก-มยุริญ, รวมทั้งผู้กำกับอย่าง ตั้ว-ศรัณยู ที่ทุ่มเทฉากนึงถ่าย 3-4 ครั้ง เปลี่ยนมุมกล้องหลายมุมมาก แต่พอมาดูภาพ เราก็จะเห็นถึงความทุ่มเทของเขา ทำให้ทุกครั้งที่ต้องย้ายมุมกล้องขนาดไหน เราก็จะทำให้ออกมาเต็มที่”
ต่อข้อถามที่ว่า ถ้าหากว่าประเทศไทยไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น แฟนละครก็คงจะไม่ได้เห็น “แซม-ยุรนันท์” กลับมาแสดงละคร นักแสดงหนุ่มเผยว่าอยากรับเล่นแต่ติดเรื่องเวลา
“ใจจริงก็อยากเล่นนะ แต่ที่สำคัญ มันติดเรื่องของเวลาด้วยที่ทำให้ค่อนข้างลำบาก อย่างตอนทำพิธีกร พอเวลาชนกับการเมือง สุดท้ายทุกคนก็ต้องมาหยุดเสียเวลา เพราะเราคนเดียว ทำให้รู้เลยว่าถ้าเราจะทำบันเทิงแล้วทุกคนต้องเสียเวลาเพราะเรา เราก็ไม่ควรเห็นแก่ตัว ก็เลยหยุดไปตอนนั้น”
“เพราะเรากลัวว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดกับการรับเล่นละคร เพราะอย่างการเมืองเขารอเวลาเราอย่างละครไม่ได้ งานการเมืองต้องเดี๋ยวนี้ แล้วคนอื่นต้องมารับภาระกับผมด้วย ซึ่งผมว่ามันคงไม่แฟร์เท่าไหร่ ตรงนี้กับการมารับเล่นละครเราก็ต้องขอขอบคุณด้วยที่มีปฏิวัติ ..(หัวเราะ)”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า ที่ผ่านมา สอบตกจากการเป็น ส.ส.แล้ว อีก 4 ปีข้างหน้าคิดจะกลับไปสมัครชิงตำแหน่งอีกหรือไม่ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เปิดใจว่า มีการลงสมัครอีกอย่างแน่นอนในสมัยหน้า
“คงจะลงอีกเพราะที่ผ่านมาผมเป็น ส.ส.ในระยะเวลาที่สั้นมากเพียงไม่กี่เดือนเองแล้วก็มาเกิดการปฏิวัติ จริงๆ แล้วผมเข้ามาทำการเมืองไม่ได้หมายความว่าผมต้องการจะดำรงตำแหน่งอะไร ส.ส.ก็เป็นการทำงานทางการเมืองอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าได้ ส.ส.หรือไม่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมกังวล แต่การได้ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองมากกว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
“การที่เราไม่ได้เป็น ส.ส.มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นการล้มเหลวทางด้านการเมืองอะไรเลย เพราะตอนที่เป็น ส.ส.เสียอีกที่ถูกมองว่าทำงานน้อย ออกงานซะเยอะ ทั้งงานศพ งานแต่งงาน งานบวช งานในพื้นที่ค่อนข้างเยอะ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการไปด้วยใจมากกว่า จนบางครั้งไม่ไปก็ถือว่าผิด”
หลายคนก็เคยถามผมว่าเล่นการเมืองแล้วเราก็เจ็บตัวทำไมถึงยังคงเล่นอยู่ อดีต ส.ส.ชื่อดังเผยว่า...
“ถูกต้อง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะจากที่เล่นละครมาก็มีแต่คนรัก ถ้าไม่รักก็ไม่ถึงกับไม่ชอบ ก็จะเฉยๆ มากกว่า แต่พอมาเล่นการเมือง คนรักก็รักจริงๆ คนเกลียดก็เกลียดจริง โดยที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ แรกๆ ก็ทำใจไม่ค่อยได้ แต่ของผมก็ถือว่ายังน้อยอยู่ เพราะไม่ใช่นักการเมืองที่รุนแรงอะไรมาก เราเข้ามาการเมืองก็ไม่ได้มีศัตรูอะไร ไม่ได้ต้องการทำลายล้างใคร เราก็เลยมีปัญหาน้อยหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่น”
“กับการที่ผมอาสาเข้ามาทำงานการเมืองนั้นเป็นเพราะว่าผมอยากจะไปให้ถึงจุดหมายที่เราวางไว้ แต่บางทีที่เราเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ก็เคยรู้สึกเหมือนกันว่าไม่เอาดีกว่า เพราะช่วงแรกๆ เราก็รู้สึกท้อ คิดตลอดว่าทำไมเราถึงต้องทิ้งในสิ่งที่เรารักแล้วมาเป็น ส.ส.ด้วย เพราะจริงๆ แล้วเงินเดือน ส.ส.ทั้งเดือนเท่ากับการเป็นพิธีกรแค่ครั้งเดียวของผมเองนะ ตลอดทั้งปีเท่ากับเล่นละครเอ็กแซ็กท์แค่เรื่องเดียวเอง เพราะฉะนั้นจะเปรียบเทียบให้ฟังว่ามันเข้าไปทำด้วยความตั้งใจมากกว่าผลตอบแทน”
เผยรู้สึกไม่ชอบกับการที่ถูกเปรียบว่า “เอาดารามาเป็นไม้ประดับในสภา” ย้ำทุกวันนี้ดาราก็มีอะไรดีไม่แพ้ ส.ส.ทั่วไป...
“แรกๆ จะเจอบ่อยมาก แต่มันก็ยิ่งทำให้รู้เลยว่าเราจะเป็นอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า เราจะต้องทำคูณสอง ทำให้คนเขาเห็นว่าคนที่ทำอาชีพอะไรล่ะถึงสามารถเป็นนักการเมืองได้ อย่างผมก็กำลังทำให้เห็นอยู่ว่าผมก็กำลังศึกษาด้านนี้เหมือนกัน ถ้าถามว่านักแสดงทำอะไรเป็นพออยู่ในสภา ก็ต้องลองให้นักแสดงลองทำดูสักครั้ง ต้องเปิดโอกาสสักครั้ง อย่าปิดกั้นว่าบันเทิงทำแค่เล่นๆ ผมอยากบอกว่าเราสามารถทำได้แน่นอน แต่ถ้าได้เข้าไปจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ที่นักการเมืองหน้าตาดีและทำงานได้ (หัวเราะ)”
“ผมว่าการเมืองก็เหมือนกับการเล่นกีฬา ถ้าเรารู้กติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย เอาข้อผิดพลาดให้มันเป็นบทเรียน พัฒนาให้เป็นชัยชนะในวันข้างหน้าต่อไปก็น่าจะดี แต่ถึงผมจะไม่ได้เป็น ส.ส. แต่ทุกวันนี้ผมก็เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่ เราจะให้คำปรึกษาในเรื่องของเยาวชน ตั้งแต่เด็กอนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยเลย ส่วนตัวสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้รับมอบหมายให้ทำในส่วนตรงนี้ เพราะตั้งแต่เขียนใบสมัครการเมืองตั้งแต่แรกแล้วว่าอาสาสนใจเรื่องสังคมอยู่แล้ว เรื่องเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผมทำเรื่องนี้มาโดยตลอด”
“คือ ในฐานะที่เป็นพ่อคน ผมก็พยายามนะ ภายในปีนี้ผมพยายามจะจบดอกเตอร์ให้ได้ เพราะคิดว่าเรื่องการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ จึงคิดว่าทำอย่างไรให้การเรียนสนุก มีความสุขในการเรียน ครูเองก็มีความสุขในการสอน เด็กสนุก ความรู้เป็นเพียงส่วนหนึ่งแต่ทำอย่างไรให้เด็กสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ อย่างช่วงปิดเทอม กระทรวงศึกษาจะทำอย่างไรให้เด็กมีรายได้พิเศษ รวมทั้งการทำแคมป์ให้เด็กให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”