กอด ไม่เป็นที่ต้อนรับจากคนดูเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับหนังที่ออกฉายในสัปดาห์เดียวกัน ซึ่งต้องนับว่าน่าเสียดายเหลือเกิน เพราะหากพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่คนทำหนังค่อนข้างพิถีพิถันและรัดกุม - หนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่า “หนังที่ไม่ประสบความสำเร็จ” อีกเรื่องหนึ่งมากทีเดียว
นี่เป็นผลงานชิ้นที่ 3 ของ คุณคงเดช จาตุรันต์รัศมี (เฉิ่ม, สยิว) ที่พยายามกรุยขอบเขตของเนื้อหาให้ไปไกลกว่าเดิม ความพิลึกพิลั่นดังกล่าวปรากฏขึ้นใน กอด ผ่านตัวละครเอกที่ชื่อ ขวาน (เกียรติกมล ล่าทา) ชายหนุ่มที่เกิดมามี 3 แขน และทำให้มีอาการน้อยเนื้อต่ำใจที่ตกเป็นเป้าสายตามาตลอด 20 กว่าปีนี้
ขวานตัดสินใจเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อผ่าแขนข้างที่เกินออก ก่อนที่จะพบว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องนัก ซึ่งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว เขากลายเป็นคน 2 แขนเหมือนคนธรรมดาๆ ทั่วไป แต่กิจวัตรประจำวันเล็กๆ ก็ไม่เหมือนเดิมอีก ที่สำคัญไปกว่านั้น ขวานยังไม่สามารถทำให้ผู้คนรอบข้างหยุดจ้องมองและเขมือบตัวเขาให้ตกเป็นเหยื่อของการนินทาว่าร้ายได้
กอด ถูกวางโครงสร้างให้เป็นหนัง Road Movie – หนังที่ตัวละครต้องเดินทางจากจุดหนึ่ง ไปยังจุดหนึ่ง และระหว่างทางนั้นก็ได้เรียนรู้ชีวิตไปโดยทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ขวานพบเพื่อนร่วมทางที่น่ารักบนถนนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เธอคนนั้นชื่อ นา (ศุภักษร ไชยมงคล) เธอบอกว่า “ฉันจะไปหาผัวที่กรุงเทพฯ”
ทั้งตัวละครนาและขวาน ถูกวางเป็นถ่านไฟฉาย 2 ก้อนที่สลับขั้วเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา แน่นอน เราเห็นได้ชัดเจนว่า ท่ามกลางข้อถกเถียงของทั้งคู่ – มันแฝงเร้นความสัมพันธ์อันงดงามที่ค่อยๆ งอกเงย
ในทางกลับกัน ขวานและนา ต่างเป็นตัวประหลาด้วยกันทั้งคู่ (ขวาน = มี 3 แขน, นาง = หน้าอกโต) ส่วนเกินกลับกลายเป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน
ตามขนบธรรมเนียมของหนังแนวนี้ ตัวละครเอกอาจจะรู้สึกว่าตนเองเข้ากันได้ดีในตอนแรก ก่อนจะมีปากเสียงเพื่อแยกทางกัน และได้มาพบกันอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายถูกพัฒนาขึ้นไปในอีกขั้นหนึ่ง
ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ดูหนังจากประเทศอินโดนีเซียเรื่อง 3 Days to Forever (ริริ ริซ่า กำกับ) มันเป็นหนัง Road Movie ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและบทสรุปลงท้ายที่เจ็บปวด ถึงแม้จังหวะของหนังจะถ่ายทอดออกมาไม่สม่ำเสมอ แต่นี่เป็นงานที่กล้าหาญและน่าสนใจมาก สำหรับภาพยนตร์อินโดนีเซีย
น่าภูมิใจที่ กอด ลงตัวกว่าหลายเท่า หนังพาตัวละครไปได้ไกลกว่า และสามารถเลือกประเด็นที่ท้าทายมาเสนอแก่คนดู รวมถึงลักษณะเด่นในหนังของคุณคงเดช อย่างสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและอารมณ์ขันอยู่ในที่ที่ไม่ควรอยู่ยังดำรงอยู่อย่างแข็งแรง
ข้อด้อยเพียงประการเดียวของ กอด คือบรรยากาศหวานซึ้ง – อย่างที่หนังรักควรจะมี – มีอยู่น้อยเกินไป อันที่จริง ฉากที่ว่านี้ก็มีอยู่พอสมควร แต่มันไม่ถูกนำเสนออย่างอยู่มือเท่าที่ควร กล่าวคือ บางช่วงบางตอนถูกทำลายด้วยการเล่าเรื่องที่ยืดเยื้อเกินไป หรือไม่ก็จากบทสนทนาที่ทื่อตรงไปสักหน่อย (เช่นบทพูดของนาตอนหนึ่ง “มีใครจะสนใจอย่างอื่นของฉันไหม นอกจากนม”)
แต่ถ้ามองข้ามข้อด้อยที่พอจะนับนิ้วได้ กอด ยังคงส่องประกายแห่งความหวังให้แก่คนดูผู้ยึดมั่นในแง่งามของชีวิต รวมถึงสาดสว่างมายังอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในนาทีนี้ด้วย
...
My Blueberry Nights เป็นหนังเรื่องใหม่ของ หว่องกาไว ผู้กำกับชาวฮ่องกงที่มีแฟนอยู่ในบ้านเราไม่น้อยเลย และนี่เป็นการทำหนังพูดภาษาอังกฤษครั้งแรกของเขา โดยมีดาราดังอย่าง จู๊ด ลอว์, นาตาลี พอร์ตแมน มาร่วมแสดง รวมถึงนักร้องสาว นอร่าห์ โจนส์ – ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้หว่องกาไวทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา
เสียงตอบรับหลังจากไปเปิดฉายที่เทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อต้นปีก่อนออกมาไม่ดีนัก สำหรับแฟนๆ ที่คาดหวังอะไรใหม่ๆ จากเขา (หลังจากทิ้งทวนยุคแรกไปอย่างอลังการกับ 2046) อาจรู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนองที่เต็มอิ่มนัก สิ่งที่โดดเด่นชวนหลงใหลกลับตกอยู่กับงานถ่ายภาพของ ดาริอุส คอนด์จิ และออกแบบฉากกับงานลำดับภาพ โดย วิลเลี่ยม จางซู่ผิง เสียมากกว่า
ข้อสะดุดหลักๆ ที่คนดูหลายคนอาจเห็นพ้องคือ ประโยคประเภทหมัดฮุคของความโรแมนติคหลายท่อน ที่ไม่กลมกลืนไปกับสำเนียงของภาษาอังกฤษ หรืออีกนัยหนึ่ง ประโยคเท่ๆ เหล่านั้น (“ถึงแม้คุณจะมีกุญแจถูกดอก ไม่ได้หมายความว่าประตูบานนั้นจะเปิด”) กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่น่าขันไปในทันที
ศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ เอลิซาเบธ/ (นอร่าห์ โจนส์) หญิงสาวที่เพิ่งถูกแฟนหนุ่มบอกเลิก เธอแวะเข้ามาในคาเฟ่แห่งหนึ่งเพื่อฝากกุญแจห้องคืนไว้ให้คนรักเก่า ที่นี่เธอได้พบกับ เจอเรมี (จู๊ด ลอว์) เจ้าของคาเฟ่แห่งนั้น และทั้งสองคนก็สานความสัมพันธ์ยาวนานถึง 1 ปี
ตัวละครที่ผิดหวังเรื่องความรักในหนังของหว่องกาไว เป็นพวกที่จำเป็นต้องโหยหาที่ยึดเหนี่ยวอย่างรุนแรง กล่าวคือ พยายามชดเชยความสูญเสียด้วยการหมกมุ่นกับกิจวัตรบางอย่าง เอลิซาเบธ สะสางเรื่องของตัวเองด้วยการหนีไปไกลแสนไกล ในด้านหนึ่ง เอลิซาเบธช่างเป็นคนที่อ่อนแอ เธอไม่สามารถทนทานเผชิญหน้ากับปัญหาได้เลย (“คุณจะกล่าวลาคนที่คุณขาดเขาไม่ได้ได้อย่างไร ฉันจึงไม่กล่าวลา แต่เลือกจะเดินหนีไปเพียงลำพัง”)
My Blueberry Nights เป็นหนัง Road Movie แบบเดียวกับ กอด, เอลิซาเบธเดินทางเพื่อบำบัดตนเอง เธอได้พบคนหลายประเภท แต่ละคนมีบาดแผลในใจไปคนละแบบ จนท้ายที่สุด ประสบการณ์เหล่านั้น ผลักดันให้เธอเลือกที่จะหันหลังกับมาจัดการกับเรื่องของตัวเองอย่างจริงจัง
กล่าวอย่างรวบรัด หนังเรื่องนี้กำลังพูดในสิ่งที่หว่องกาไวเคยพูดมาแล้ว ปัญหาการสื่อสารระหว่างมนุษย์ 2 คน ความเปลี่ยวเหงาของคนเมือง และการไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนที่ตนรักที่สุดได้
ความรักไม่เคยมีสูตรสำเร็จของมัน เราได้เห็นคู่ของนายตำรวจ (เดวิด สแตรเธิร์น) และสาวงาม (ราเชล ไวซ์) ทั้ง 2 คนปะทุใส่กันอย่างรุนแรงเพื่อจะเลิกจากกัน ในขณะที่คู่ของเจอเรมีและคาทย่า (รับบทโดยนักร้องสาว - แคท เพาเวอร์) กลับเดินจากกันอย่างเงียบๆ ในอากาศที่หนาวเหน็บ
เทียบกับ กอด แล้ว ตัวละครใน My Blueberry Nights ซับซ้อนกว่ามาก (แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพจะด้อยไปกว่ากัน) เราไม่สามารถเข้าใจการตัดสินใจของพวกเขาได้เลยในบางกรณี
เราสามารถมั่นใจว่า ขวานและนาง คงจะต้องลงเอยกันอย่างแน่นอน นั่นคือการได้ส่วนเติมเต็มของกันและกัน
แต่ในกรณีของเอลิซาเบธและเจอเรมี – ถึงแม้ทั้งคู่จะมีกุญแจถูกดอกแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเปิดประตูบานนั้นได้