"คิดว่าก็คงจะเซอร์ไพรส์พอสมควรนะ ทั้งผมเองแล้วก็แฟนเพลงบางส่วน..."
"หรั่ง เทวฤทธิ์ ศรีสุข" มือเบสของหนึ่งในวงร็อกที่เชื่อถือได้ในฝีไม้ลายมือของบ้านเราอย่าง "ซิลลี่ ฟูล" บอกถึงความรู้สึกต่อการย้ายเข้าสู่สังกัด "Pirate Record" (ไพเรท เรคคอร์อด) บริษัทในเครือของอาร์เอสฯ
หลังออกงานภาคภาษาอังกฤษในงาน "มินิ" เว้นมาถึงวันนี้ 1 ปีพอดีที่พวกเขากำลังจะมีงานชุดใหม่ในภาคภาษาไทย "The one" (เดอะ วัน) ที่จะออกมาให้ได้ฟังกันในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้กับสังกัดใหม่ ในขณะที่สมาชิกเดิมยังคงอยู่กันพร้อมเพรียง ทั้ง ต้น จักรินทร์ จูประเสริฐ (กีต้าร์), ต่อ ต่อตระกูล ใบเงิน (กลอง) และหนุ่ม "เบน เบนจามิน ทัฟเนล" นักร้องนำที่เข้ามาแทนที่ โต ณัฐพล พุทธภาวนา
แม้การย้ายมาอยู่กับอาร์เอสฯ จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ ทว่าเมื่อดูในรายละเอียดที่มือเบสซิลลี่ ฟูล บอกกล่าวให้ฟังก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากในการตัดสินใจสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับการที่พวกเขาได้นั่งแท่นอยู่ในฐานะของผู้บริหารค่ายไพเรท เรคคอร์อดแห่งนี้ด้วย
"มาอยู่ได้ไงต้องบอกว่ายังงงๆ อยู่ คือก่อนหน้านี้บทสรุปของวงเรานั้นเราจะไม่ยอมขายเพลงให้กับใครหรือบริษัทไหน เราจะไม่ขายลิขสิทธิ์เพลงอีกแล้ว ซึ่งที่เดิม(แกรมมี่)เขาไม่ยอม ถ้างั้นเขาไม่มีสื่อให้ ไม่มีโฆษณาให้ มันก็เป็นบทสรุปที่รับไม่ได้ ตอนนั้นเราก็กะว่าจะทำกันเองแล้วก็ขายเอง บินไปอัดเมืองนอก เสร็จแล้วกลับมาขายเอง"
"ทีนี้จับพลัดจับผลูได้มาคุยกับคนของอาร์เอส เขาบอกทางนี้ไม่ซื้อเพลง มันก็โอเค งั้นมาดูรายละเอียดอื่นๆ มีอะไรดีมั่ง ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่ห่วงเท่าไหร่ ก็มาดูว่าเอาเปรียบเรามั้ย สัดส่วนต่อม้วนเท่าไหร่ ก็เจรจากัน ทางนี้ก็โอเคหมดทุกอย่าง ให้เยอะด้วย(หัวเราะ) แทบจะไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยนะ แฟร์จนน่ากลัว แต่ว่าโอเค ดีกว่าที่ไม่มีอะไรเลย"
"จริงๆ เรื่องซื้อขายเพลงกัน เอาลิขสิทธิ์ไปเลยเนี่ย เมืองนอกเขาเลิกไปนานแล้วนะ แล้วเป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้ เพราะเขาจะเอาของเราไปปู้ยี่ปู้ยำอะไรก็ได้ จะรวมฮิต รวมนั่นรวมนี่อย่างไรก็ได้ ศิลปินไม่มีสิทธิ ไม่ได้อะไรเลย ก็บอกน้องๆ ว่าเราต้องช่วยกันเรื่องนี้ เพราะตรงนี้นายทุนมีแต่ได้ แต่ศิลปินไม่ได้อะไรเลย"
ออกปากยอมรับรู้สึกหนักใจเหมือนกันกับภาพของความเป็นค่ายอาร์เอสฯ ในความรู้สึกของคนฟังเพลงส่วนใหญ่ ทว่าด้วยแนวทางที่เป็นตัวของตัวเองไม่เปลี่ยน หรั่งเชื่อว่าการตอบรับก็น่าจะดีอย่างแน่นอน
"ผมว่านะ ถ้างานเรายังออกมาดีมันก็ไม่ใช่ปัญหาว่าเราจะอยู่ที่บริษัทไหน อีกอย่างเราก็อยากจะทำด้านร็อกของอาร์เอสฯ ให้มันแน่น ให้มันเปลี่ยนไปบ้าง คือบอกตรงๆ นะครับว่าทิศทางของร็อกที่นี่มันก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบสักเท่าไหร่(หัวเราะ) ก็กลัวนะ แต่เขาก็อยากทำงานร็อกแบบใหม่ ก็มาหาทาร์เก็ตร่วมกัน ทำการตลาดด้วยกัน"
"คือผมก็ไม่รู้แฟนเพลงของอาร์เอสถ้าต้องผ่านด่านวงร็อกอื่นๆ ของค่ายหลายๆ วงเขาจะทะลุมาถึงซิลลี่ ฟูลหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าทางนี้เขาน่าจะใช้เราเป็นโจทย์เป็นการบ้าน เอาพวกผมเป็นตัวต้นแบบไปเลย เพราะถ้าจะไปลองกับวงใหม่ๆ ก็คงยาก ถ้าไม่ดีผมว่าทางเขาจะเสียนะ เพราะพวกผมอย่างน้อยๆ ก็ชัดเจนว่าซิลลี่ ฟูลเป็นอย่างนี้ แนวนี้ แฟนเพลงอาจจะไม่กว้างขึ้นแต่ก็อาจจะไม่ได้ลดลงไป"
"อย่างที่บอกว่าที่นี่ไม่มีกรอบอะไรเลย อิสระเลย ถ้ามีก็คือเราแทบจะไปเปลี่ยนเขาล้างเขาใหม่เลยนะ หรืออย่างการใช้สื่อเราอาจจะได้แค่เสนอเพราะบางจุดพวกผมอาจจะไม่เก่ง แต่เราก็เหมือนนักรบ พอรู้สนามว่าตรงนี้น่าไปรบ กิจกรรมแบบนี้น่าทำ ช่วยๆ หาไอเดีย ส่วนเพลง คอนเซ็ปต์งานเขาไม่เกี่ยวเลย ไม่กล้ายุ่งเลย"
ถามถึงเรื่องระยะเวลาในการทำงานหรั่งบอกว่า The One ที่มีเพลงออกมาให้ฟังกันแล้วหนึ่งเพลงชื่อ "เราเป็นคนเลือกเอง" ใช้เวลาทำทั้งหมดประมาณ 1 ปี โดยยังคงบินไปอัดเสียงที่ประเทศแคนาดาเหมือนเดิม พร้อมกันนี้เจ้าตัวยังการันตีด้วยว่า หากซิลลี่ ฟูล ไม่มีงานชิ้นใหม่ออกมา โดยตัวของเขาแล้ว อัลบั้มชุดนี้น่าจะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของวงนับตั้งแต่ทำงานมาเลยก็ว่าได้
"ที่เอาเพลงนี้(เราเป็นคนเลือกเอง)ออกมาก่อนเพราะมันเสร็จก่อน แต่ยังไม่ใช่เพลงเด็ดนะ เพลงโดยรวมก็ยังเป็นแนวทางที่เราถนัด ซาวนด์จะแน่นขึ้นมากๆ การมิกซ์ชุดนี้ดีกว่า ซาวนด์ดีกว่าชุดมนินิ เราได้เครื่องมือที่ทันสมัยขึ้น ส่วนเนื้อหาก็ยังคงเหมือนเดิม อย่างเพลงที่ออกไปก็พูดถึงการให้กำลังใจ เราเป็นคนเลือกเองให้กำลังใจตัวเอง เพลงรักก็ยังรักแบบที่เป็นชีวิตจริงของมนุษย์ เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จับต้องได้ สัมผัสได้ อย่างทุกวันนี้คนที่จะแทงใคร จะเหยียบหัวใครเพื่อขึ้นไปเป็นใหญ่มันก็มีเยอะ ก็มีเนื้อหาประเภทนี้ด้วยบวกกับดนตรีที่แรง ก็น่าฟัง"
"ชุดนี้สำหรับผมเอง ถ้าแต่งชุดหน้าไม่ได้ ผมว่าชุดนี้เข้มสุด 10 เพลงถ้าไม่ดีไม่ให้ผ่าน เน้นมากๆ แบบว่าแฟนเพลงของซิลลี่ ฟูลไม่น่าจะผิดหวังนะ"
ส่วนกรณีของนักร้องนำของวงอย่างหนุ่มเบนที่ใครหลายคนมองว่าอาจจะเป็นจุดอ่อนโดยเฉพาะในการร้องภาษาไทยนั้น หรั่งบอกว่าหากใครได้เห็นการทำงานของนักร้องนำคนนี้แล้วจะต้องยอมรับในความทุ่มเทอย่างแน่นอน ก่อนจะยืนยันด้วยว่าเนื้อร้องของหนุ่มเบนคนนี้แหละที่เจ้าตัวมองหามานาน
"ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะมองว่าเราจะเปลี่ยนนักร้องเพราะว่าตอนที่ทำอัลบั้มมินินั้นมันอาจจะเป็นช่วงการโปรโมต ทำให้คนรู้สึกว่าเบนเป็นคนมาออดิชั่น แต่ตอนที่เอาเข้ามาเรารอเล็งไว้แล้ว ไม่เปลี่ยนใคร ไม่เปลี่ยนแล้ว คือถ้าร้องไทยไม่ได้ก็ต้องรอกันไปเลยแหละ แต่เราก็มั่นใจว่าเขาทำได้"
"คิดว่าให้เวลาอีกนิดนะ เบนจะเป็นนักร้องที่เหมาะกับวงมาก ผมชอบโทนร้องอย่างนี้ เสียงใหญ่ๆ ออกสากลเยอะๆ ซึ่งนักร้องเมืองนอกส่วนใหญ่ก็จะไปทางนี้อยู่แล้ว...(ตอนคัดมีนักร้องคนเก่าเป็นโจทย์ร่วมด้วยมั้ย?)...ผมตัดไปเลย ไม่ยึดติด ไม่เอาคนที่ร้องเหมือนโต หรือร้องดีกว่าโต ไม่เอา เอาที่ต่างไปเลย"
"จริงๆ เสียงโตก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบนะ ผมไม่ชอบเสียงสูง แหลม อย่างเสียงของปีเตอร์(ปีเตอร์ คอร์ปฯ)เนี่ยผมชอบ คือความใหญ่ใช่เลย เสียงหนา ซึ่งหานักร้องคนไทยได้ยากมาก แล้วเสียงแบบนี้นะจะร้องเพลงช้าฟังแล้วอบอุ่น ผู้หญิงฟังแล้วจะรู้สึกดี(หัวเราะ)"
ปิดท้ายด้วยการพูดถึงแนวทางของค่าย "ไพเรท เรคคอร์อด" เจ้าตัวบอกว่าไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพลงร็อกเท่านั้น หากยินดีจะรับทุกแนวเพลงแต่ขอให้เกิดจากฝีมือและมันสมองของตัวศิลปินเอง
"เอาหมดครับ ขอให้มันดี จะเป็นแร็ป ร็อก เป็นฮิปฮอป หรือจะเป็นเพื่อชีวิตแต่ถ้าแบบออกแนวเซาเทิร์น ร็อก เท่ห์ๆ แบบนี้ก็เอาครับ ขอให้มีการสร้างสรรค์ทางด้านดนตรี คือค่ายนี้มีโจทย์ที่ว่า ทุกคนที่เข้ามาต้องผลิตงานเอง ถ้าจะเข้ามาให้ผมแต่งให้ไม่เอา แต่ถ้ามาช่วยๆ กัน ได้ หรือถ้าเก่งๆ แต่ยังเดินไม่ถูกก็ช่วยกันชี้แนะ คือมีของมาแล้วมาช่วยกันปรุง"