ตั้งแต่เขียนรายงานคอนเสิร์ตนอกมากว่า 2 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนนึกคำที่จะใช้พาดหัวไม่ออก นึกไม่ออกว่าจะใช้คำไหนถึงจะสามารถบรรยายความยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นในการมาเยือนเมืองไทยครั้งแรกของเจ้าพ่อเยอรมันเมทัลอย่าง Helloween เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา และเมื่อดูจากจำนวนแฟนเพลงที่ไปในวันนั้นแล้ว ไม่ว่าคุณจะพลาดการแสดงครั้งนี้ด้วยเหตุผลใด (ลังเล, ติดธุระ, ไม่ทราบข่าว ฯลฯ) คุณได้พลาดการแสดงดนตรีเมทัลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายปีไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะเข้าสู่วันมาฆบูชาในบรรยากาศที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างเป็นใจ เข้ากับบรรยากาศที่สุดยอดวงเพาเวอร์ เมทัลสุดยิ่งใหญ่ของเยอรมันอย่าง Helloween จะได้มาเปิดการแสดงสดที่เมืองไทยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2008 ที่ผ่านมา ซึ่งงานในวันนั้นแม้จะมีแฟนเพลงที่หลากหลายแนวทั้งชาวหูเหล็กรุ่นเก่าใหม่ทั้งไทยเทศ แต่ที่เป็นประชากรหลักของธันเดอร์โดม เมืองทองธานีในวันนั้นล้วนแต่เป็นสาวกของวงฟักทองปีศาจกันมาอย่างยาวนานทั้งนั้น (สังเกตง่ายๆ จากหน้าตา)
หลังจากปล่อยให้เหล่าสาวกยืนฟังเพลงเช็คระบบเสียงกันอยู่กว่า 20 นาที พาหนะที่แสนภูมิใจของแดนสยามอย่างรถตุ๊กตุ๊กก็ได้นำพลพรรค Helloween มาเปิดการแสดงต่อหน้าแฟนๆ ได้ในที่สุด (ตานักร้องนำสารภาพเอง แต่จริงๆ แล้วทีมงานบอกว่าระหว่างซาวด์เช็คอากาศร้อนมากจนทางวงขอตัวไปอาบน้ำอีกรอบ) โดยเวทีในครั้งนี้จัดให้มีสองชั้นโดยมีกลองชุดอยู่ด้านบน ข้างหลังเป็นแผ่นผ้าผืนใหญ่อาร์ตเวิร์คเป็นหน้าปกของ Gambling with the Devil อัลบั้มชุดล่าสุดของวง ซึ่งเมื่อรวมกับการจัดแสงเข้าไปแล้ว ทำให้เวทีเล็กๆ แห่งนั้นกลายเป็นชัยภูมิที่เหมาะกับการแสดงคอนเสิร์ตเพลงร็อกที่ยอดเยี่ยมไปในทันที
Helloween นำทัพมาโดย แอนดี เดอริส นักร้องนำคนเก่ง ที่มาแสดงให้เห็นว่ามาตรฐานของ 'ฟรอนต์แมน' ที่สมบูรณ์แบบนั้นสูงแค่ไหน, มิคาเอล 'ไวกี้' ไวกาธ มือกีตาร์มาดเท่ของวงที่พอทำผมขึ้นเวทีแล้วดูหนุ่มขึ้นเป็นกอง, มาร์คุส กรอสคอฟ มือเบสรุ่นใหญ่อารมณ์ดี, ดานี โลเบิล มือกลองสมาชิกใหม่ของวงที่มาสร้างขุมพลังบนเวทีอยู่ด้านบนสุด
หนึ่งในผู้ที่สร้างความโดดเด่นในการแสดงครั้งนี้มากที่สุดในบรรดายอดฝีมือทั้ง 5 ในวันนั้นได้แก่ ซาชา เกิรส์ตเนอร์ มือกีตาร์แวมไพร์หนุ่มวัย 30 ที่มาพร้อมกับแจ็คสันสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่โชว์ลีลาและฝีมือการไล่นิ้วในคืนนั้นได้อย่างไร้ที่ติ เรียกเสียงเฮจากเหล่าสาวกและเสียงกริ๊ดจากสาวๆ ทั้งไทยเทศหน้าเวทีได้ตลอดทั้งงาน
ผู้เขียนซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของเวที(จากมุมคนดู)ก็ได้เห็นลีลาของนายซาชาหนุ่มเยอรมันที่ไม่ดูบอลไม่ดื่มเบียร์คนนี้ไปเต็มๆ ต้องยอมรับว่าเห็นอนาคตขอวงการเมทัลในการแสดงของเขาจริงๆ เสียอย่างเดียวที่ว่าที่ๆ เขายืนอยู่นี้มันเคยเป็นที่ของไกเซอร์แห่งวงการเมทัลของเยอรมันอย่าง ไค แฮนเซ่น เคยยืนอยู่ก่อนที่จะจากวงไปพร้อมกับความเสียดายของแฟนเพลงทั่วโลก และยังคงเป็นที่ๆ ไม่ใช่ว่าจะมีใครมาแทนที่ได้ง่ายๆ อยู่เช่นเดิม
สำหรับคนที่เป็นสาวกรุ่นเก๋าของวงที่ตามงานกันมาตั้งแต่ยุคแรกๆ แต่ไม่ได้มางานในวันนั้นเพราะเหตุผลว่าเกรงจะไม่คุ้นเคยกับงานยุคหลัง ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับผู้เขียนที่อุตสาห์เอาผลงานของวงในชุดหลังๆ มาทำการบ้านเพื่อกันพลาดเอาไว้แต่เนิ่นๆ แต่กลายเป็นว่าผลงานที่วงเอามาโชว์ในวันนั้นครึ่งหนึ่งจาก 14 เพลงคือผลงานอันลือลั่นจาก Keeper of the Seven Keys ทั้ง 2 ภาคนั่นเอง ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟน Helloween ไม่ว่าจะในระดับไหนก็สามารถตีตั๋วราคาบัตรแสนถูกแค่พันสองไปดูได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน
เริ่มต้นการแสดงเพลงแรกด้วยความเซอร์ไพรส์นิดๆ ด้วยการงัดผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเส้นทางอาชีพของวงอย่าง Halloween มหากาพย์ความยาว 13 นาทีมาโชว์เป็นเพลงแรกกันเลย ถือเป็นผลงานที่ย้อนให้นึกถึงความยิ่งใหญ่ของดนตรีเมทัลในยุค 80 ได้อย่างดี และการแสดงของไลน์อัพชุดนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถนำเพลงคลาสสิกของวงมาเล่นกันได้อย่างสมบูรณ์แบบแค่ไหน
หลังจากมันกันไปกับ Sole Survivor จาก Master of the Rings ผลงานชุบชีวิตของวง เซอร์ไพรส์ที่ 2 ของวันนั้นก็มาเยือนกับการปรากฎตัวของเพลงสุดมันและยิ่งใหญ่จาก Keeper II อย่าง March of Time ผลงานของเฮียไก่ที่แต่ก่อนจะไม่ค่อยได้โควต้าบนเวทีมากนัก เลยเรียกเสียงเฮจากแฟนไปได้อย่างดีกับเพลงที่บดขยี้ได้อย่างสะใจเพลงนี้
เป็นที่รู้กันดีในหมู่สาวกของ Helloween ว่า Gambling with the Devil ผลงานชุดใหม่ถอดด้ามของวงที่เพิ่งออกมาได้ไม่กี่เดือนนั้นสร้างความฮือฮาต่อวงการเพาเวอร์เมทัลแค่ไหน จึงน่าเสียดายเล็กน้อยที่การมาเยือนครั้งนี้เพลงเยี่ยมๆ หลายเพลงจากชุดดังกล่าวถูกตัดไปจากเซตลิสต์หลายเพลง ทั้ง Kill It, The Saints, Fallen to Pieces, Dreambound หรือ Final Fortune จะมีก็แต่เพลงที่เป็นไฟต์บังคับอย่างซิงเกิลแรกของชุดอย่าง As Long As I Fall และ The Bells of the Seven Hells ที่ถูกใช้มาเพื่อเล่นกับแฟนเพลงโดยเฉพาะ
หลังจากปลดปล่อยพลังงานกันพอหอมปากหอมคอทั้งคนเล่นและคนดูแล้ว A Tale That Wasn't Right เพลงช้าคลาสสิกของวงก็ถูกนำมาเล่น ซึ่งเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นการวอร์มเครื่องให้กับมือกลองดานีได้พักบ้าง ก่อนจะถึงช่วงโซโลกลองของเขา ซึ่งระบบเสียงในวันนั้นทำให้เมื่อเขารั่ว Bass drum กับ Floor tom ไปพร้อมๆ กันทำให้พื้นบริเวณธันเดอร์โดมสั่นสะเทือนไปในทันที
จากนั้นทั้งวงก็กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้งด้วยหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคหลังของเขาอย่างมหากาพย์ The King for a 1000 Years อันแสนยิ่งใหญ่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่พลังงานของเพลงนี้ส่งผ่านมาสู่แฟนเพลงอย่างไม่หยุดหย่อน จนไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาบรรยายให้คู่ควรกับความบรรยากาศอันเมามันของเพลงนี้
ความมันไม่ได้รับการพักหายใจเมื่อเพลงต่อมาคือ Eagle Fly Free สุดยอดเพาเวอร์เมทัลที่เปิดให้แต่ละคนในวงได้โชว์ของกันอย่างเต็มที่ ถึงตอนนี้มอชกลุ่มเล็กๆ ที่หน้าเวทีก็ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว ทำให้สาวแท้สาวเทียมที่หลงมาในงานวันนั้นกระเจิงไปตามๆ กัน เปิดทางให้เหล่าสาวกตัวจริงได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศหน้าเวทีกันอย่างสะใจยิ่งขึ้น
อีกผลงานที่ได้โควต้ามาหนึ่งเพลงได้แก่ If I Could Fly เพลงดังจาก The Dark Ride ก่อนที่เพลงที่เหล่าสาวกทั้งฮอลรอคอยก็มาถึงอย่าง Dr. Stein หนึ่งงานคลาสสิกที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแฟนเพลงเมทัลก็โดดได้มันไม่แพ้เด็กพังค์เด็กอัลเตอร์เช่นกัน
การดูคอนเสิร์ตของวงกีตาร์คู่ โดยเฉพาะของวง Helloween นั้นบางครั้งก็ให้บรรยากาศคล้ายดูเทนนิสในสนามเหมือนกัน คือคุณต้องส่ายหัวไปมาเพื่อจับการแสดงของมือกีตาร์ทั้งสองที่อยู่กันคนละขอบเวที เพื่อไม่ให้พลาดการแสดงที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชมการประสานของกีตาร์คู่นั้นนับว่าเป็นเสียงที่มีเสน่ห์ที่หาอะไรมาแทนไม่ได้
วงกลับขึ้นเวทีอีกครั้งในช่วงเมดเลย์ โดยคราวนี้แอนดี เดอริส แปลงร่างเป็นปาหี่ฝรั่งตามคอนเส็ปท์ของผลงานชุดล่าสุดเพื่อทำการแสดงเศษเสี้ยวของเพลงดังในอดีตของวงทั้ง Power, Perfect Gentleman ที่เหล่าสาวกในวันนั้นทำการบ้านร้องตามกันได้อย่างไม่มีที่ติ และเสียงดังที่สุดในเพลงสุดท้าย Keeper of the Seven Keys
และเซอร์ไพรส์สุดท้ายและสร้างความตื่นเต้นกับกับแฟนฟังทองถ้วนหน้าก็มาถึงใน 2 เพลงสุดท้าย เมื่ออดีตแกนหลักของวงที่ออกไปได้ดิบได้ดีกับ Gamma Ray มา 20 ปี อย่าง ไค แฮนเซน ที่ผู้จัดยืนยันว่าจะไม่มาอย่างที่แฟนๆ คาดหวังไว้ และสมาชิกคนอื่นๆ ของวงก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างเต็มที่ ก็ปรากฏตัวบนเวทีพร้อมกับอดีตสหายที่อุทิศโชว์สุดท้ายให้กับผลงานอันยอดเยี่ยมในอดีตของเขาโดยเฉพาะ
แฮนเซนขึ้นเวทีมาด้วยความยิ้มแย้มไม่เหลือร่องรอยของความขัดแย้งในอดีตแม้แต่น้อย แม้ว่าทางฝั่งไวกาธจะดูนิ่งๆ ไปบ้าง (เป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว) แฮนเซนขึ้นมาแจมกับรุ่นน้องอย่างหนุ่มซาชาด้วยไมตรี (แม้ไซด์จะต่างกันเหลือเกินเมื่อมายืนเทียบกัน) และร่วมกับแอนดีช่วยกันร้องเพลงเก่งอย่าง Future World และปิดท้ายการแสดงที่ยิ่งใหญ่ของคืนนั้นด้วยเพลงดังของวงอย่าง I Want Out ที่แฟนเพลงช่วยกันร้องท่อนฮุคกันอย่างกึกก้อง และกลับบ้านไปพร้อมกับความทรงจำที่ดีกันแทบทุกราย
การมาเยือนอย่างเต็มสูบของ Helloween ในครั้งนี้ ทำให้ความรู้สึกของแฟนเพลงที่มีต่อวงรุ่นน้องที่กำลังเทียบรุ่นอย่าง Dragonforce ที่มาเปิดการแสดงในบ้านเราช่วงไล่ๆ กันเมื่อปีที่แล้ว ต้องกลับไปลำดับความยิ่งใหญ่กันใหม่ ในเมื่อรุ่นพี่ดูไม่มีทีท่าจะแผ่วแรงลงเลยอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นความยอดเยี่ยมของผลงานในสตูดิโอหรือการแสดงที่ได้เห็นกันไปกับตาแล้ว และถือเป็นช่วง 5 เดือนที่แฟนเพลงเมทัลพันธุ์แท้ของเมืองไทยมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน เมื่อได้เสพการแสดงดีๆ จากทั้ง Megadeth, Dream Theater และ Helloween ในราคาย่อมเยาในยุคที่บ้านเมืองข้าวยากหมากแพงอยู่เช่นนี้
ราคาบัตร 1,200 บาทที่ผู้จัดอย่างค่ายเพลง Platinum ที่อิมพอร์ตการแสดงครั้งนี้เข้ามาเองนั้น ไม่ว่ามองมุมไหนก็ถือว่าเป็นการคืนกำไรต่อแฟนเพลงอย่างดี (ราคาเดียวกันนี้แฟนเพลงหลายท่านคงทำหายไปอย่างรวดเร็วสำหรับการเที่ยวกลางคืนในยุคนี้) หลังจากทางค่ายได้นำเสนอผลงานเพลงร็อกชั้นดีราคาถูกต่อแฟนเพลงในช่วง 5- 6 ปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ไม่สบอารมณ์อยู่อย่างก็คือการที่ผู้ชมในวันดังกล่าวดูน้อยกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก เหตุผลหนึ่งก็คือการประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่ทั่วถึง ทำให้แม้แต่สาวกบางรายที่อาจจะไม่ได้ตามสื่อพลาดโอกาสครั้งนี่ไปอย่างไม่น่าให้อภัย (ไม่นับการปิดข่าวการคืนสู่เหย้าของเฮียไก่ ที่ถือเป็นการเซอร์ไพรส์ชั้นเยี่ยม แต่พลาดโอกาสใช้เป็นเครื่องมือโปรโมทชั้นยอดไปอย่างน่าเสียดาย)
อย่างไรก็ดี ทางผู้จัดกำลังซุ่มนำเสนอการแสดงครั้งใหม่เพื่อแฟนๆ ในเร็วๆ นี้ ซึ่งคราวนี้Xความยิ่งใหญ่อาจจะสร้างกระแสJในวงกว้าง จนแทบไม่Aต้องพึ่งการโปรโมทกันเลยก็ได้ เพียงแต่Pจะเป็นจริงแค่ไหนAแฟนๆ คงต้องรอลุ้นกันNด้วยใจระทึก
เซตลิสต์ Helloween :Hellish Rock 2008 in Bangkok
1.Halloween
2.Sole Survivor
3.March of Time
4.As Long As I Fall
5.A Tale That Wasn't Right
6.Drum Solo
7.The King for a 1000 Years
8.Eagle Fly Free
9.The Bells of the Seven Hells
10.If I Could Fly
11.Dr. Stein
12.Medley
13.Future World
14.I Want Out
Dragonforce Live in Bangkok : คอนเสิร์ตศึกมังกรถล่มวังพญานาค ภาคโหด/มัน/ฮา
Megadeth Live in Bangkok : อมตะเมทัลนิรันดร์กาล
Dream Theater Live in Bangkok: ปาฏิหาริย์แห่งดนตรี ณ สวนลุมพินี
I Want Out