xs
xsm
sm
md
lg

เปิดหัวใจช้ำ "บุ๋ม" ย้ำไม่ได้แรงอย่างที่คิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถึงแม้ว่าจะออกมาประกาศลั่นว่าเลิกราแยกเตียงกับอดีตสามีสุดที่รัก "วี-วีรพงศ์ พิพิธสุขสันต์" ไปแล้วพักใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องข่าวคาวเตียงหักรักร้าวของสาวมั่น “บุ๋ม ปนัดดา วงค์ผู้ดี” นั้นจะยังไม่จบคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เพราะจนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ยังไม่พูดอย่างเต็มปากซักทีว่า อะไรที่เป็นสาเหตุที่ให้ครอบครัวที่น่ารักของบุ๋มต้องมีอันปิดฉากลง
 
ท่ามกลางกระแสข่าวมากมาย ครอบครัวฝ่ายชายรับไม่ได้ที่บุ๋มถ่ายภาพเซ็กซี่รับงานหวือหวา บ้างก็ว่าบุ๋มบ้างานขาดความเป็นแม่บ้าน เลือกงานมากกว่าเรื่องครอบครัว บ้างก็ว่าบุ๋มแรงชอบสวมบทบาทผู้นำจนสามีทนไม่ได้ วันนี้บุ๋มยินดีเปิดหมดใจถึงเบื้องลึกรักร้าว ย้ำไม่ได้แรงอย่างที่ใครๆ คิด

“ยอมรับตามตรงว่าเรื่องเหงามันก็มีบ้างเวลากลับไปที่บ้านแล้วไม่เจอเขา แต่ว่าเรายังดีมีลูกมีงานเข้ามามันเลยผ่านพ้นไปได้ คุยกับคุณวีเหมือนกันหวังว่าจะให้กลับมาเหมือนเดิม แต่ยิ่งเวลาผ่านไปการที่เราแยกกันอยู่มันยิ่งทำให้เราห่าง มันเหมือนกับเราสามารถอยู่คนเดียวได้แล้ว จะให้กลับมาอยู่ด้วยกันมันจะรู้สึกแปลกๆ ถ้าจะให้บุ๋มกลับไปก็คงไม่เหมือนเดิมแล้ว เราจะกลับไปเจอกับปัญหาเดิมๆ อีกจะดีเหรอ”

“บุ๋มแต่งงานอยู่กินกับคุณวีมา 3 ปีก็มีความสุขดี แต่ว่าถ้าจะให้มีความสุขที่สุดมันต้องเป็นสะใภ้ที่พร้อมที่จะอยู่ที่บ้านทำกับข้าวรอครอบครัวเขากลับมารวมตัวกันตอนเย็น ต้องมาคอยถามว่าวันนี้ป๋าจะกลับมากินข้าวมั้ยน้องชายจะกลับมากินข้าวที่บ้านหรือเปล่า”

“ซึ่งจริงๆ แล้วบุ๋มนี่แหละเป็นคนทำให้ครอบครัวเขาหันหน้ามาคุยกัน เพราะปกติแล้วครอบครัวเขาจะต่างคนต่างทำงานมันเลยเกิดความเครียดกับครอบครัวเขา แต่ไปๆมาๆ มันเลยกลายเป็นความเคยชินที่เราต้องมานั่งทำกับข้าวให้เขา”

ขอยืนยันว่าเรื่องความเป็นแม่บ้านของบุ๋มไม่ได้บกพร่อง แต่บางครั้งจะมาคาดหวังอะไรกับบุ๋มมากมันก็ไม่ใช่ เพราะบางวันบุ๋มก็กลับบ้านดึก บางทีโทรมาว่ารอให้บุ๋มทำกับข้าวให้ทานนะ เราต้องเหยียบรถมาจากพัทยาตั้งเท่าไหร่เพื่อมาทำกับข้าวให้บ้านเขา พอมานั่งคิดอีกทีคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว บุ๋มยอมรับว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่เพอร์เฟ็คขนาดนั้น เราอยากมีเวลาให้ครอบครัวแบบที่เขาต้องการ แต่ว่ามันก็เหมาะกับคนที่ทำงานออฟฟิตเข้าแปดโมงเลิกห้าโมงมากกว่า”

“บุ๋มคบกับวี มาประมาณหนึ่งปีก่อนที่จะแต่งงานเรารู้ว่า เขาเป็นยังไงรู้จักพ่อ แม่ และน้องชายเขา แต่ไม่เคยรู้ว่าญาติพี่น้องปู่ ย่า ตา ยาย เขาจะเยอะขนาดนี้มารู้ตอนวันแต่งนี่ล่ะโอ้โห่เยอะแฮ่ะ(หัวเราะ) บุ๋มเองเป็นคนค่อนข้างโลกส่วนตัวสูง เราอยู่ด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนที่เมืองนอกจนมาทำงานเป็นอาจาร์ยสอนหนังสือก็อยู่หอ แต่บุ๋มเป็นคนที่ตรงมีอะไรจะพูดตรงๆ เปิดเผยใครจะเข้ามารู้จักเราก็ได้ เพียงแต่ว่าตอนที่บุ๋มอยู่บ้านนี่ขอเหอะขอแค่พื้นที่ส่วนตัวเล็กๆในห้อง แต่นี่มันไม่มี เขาสามารถเข้ามาได้ตลอดเราก็ไม่ไหวนะ”

“เรื่องบางเรื่องก็เปลี่ยนกันยากเขาเข้าใจเราในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้เข้าใจทุกอย่างคงยาก ถ้าตราบใดสะใภ้คนอื่นเขาเรียบร้อยอยู่มันมีข้อเปรียบเทียบบุ๋มยอมรับนะว่างานมันมีผลจะมาให้นั่งบอกว่าเขายอมรับได้ว่ามีสะใภ้เป็นดาราคงไม่ใช่”

“งานบางงานที่เรารับอย่างถ่ายแบบชุดว่ายน้ำฮือฮามาก แต่ตอนที่ถ่ายบุ๋มจะให้คุณวีเขามาดูตลอดเลยให้เขารับรู้นี่คือการทำงานของบุ๋ม จะให้บุ๋มไปเปลี่ยนแปลงตัวเองก็ไม่ใช่ เพราะนี่คือรายได้ที่บุ๋มสามารถจะหาได้และบุ๋มก็สร้างมาตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงาน คุณบอกว่าคุณรับได้ขอแต่งงานมันก็โอเค”

“แต่มันกลายเป็นว่า ตัวคุณวี รับได้ ส่วนครอบครัวเขารับไม่ได้ ซึ่งบุ๋มบอกได้เลยว่าปัญหาของครอบครัวส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนในครอบครัวกันเองบางทีไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แต่มีคนนอกมาพูดว่าทำไมเลี้ยงดูสะใภ้ให้อดๆยากๆ หรือไงถึงต้องไปแก้ผ้าถ่ายรูป แล้วเขาก็ดันไปแคร์เสียงคนนอกมากกว่าเราก็เลยเกิดปัญหา แต่เรื่องนี้บุ๋มไม่อยากพูดมาก อยากให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี”

ภาพลักษณ์สาวบ้างาน ขาลุย พูดจาโผงผางตรงไปตรงมาของ “บุ๋ม” ทำให้หลายคนมองว่า บุ๋มน่าจะเป็นฝ่ายที่คุมสามีไว้อยู่หมัดชนิดไม่กล้าหือ แต่ใครจะรู้ความจริงว่า บุ๋มที่แสนห้าวและมั่นใจเวลาอยู่กับแฟนกับเป็นฝ่ายยอมตลอด

“สมัยก่อนถ้าคบกับใครเป็นแฟน ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ใช่ปุ๊บขอเลิกเลย แต่สำหรับวีมันไม่ใช่ เราต้องมาอธิบายให้เขาเข้าใจให้เข้ายอมรับในตัวตนละความคิดของเรา ต้องมานั่งคิดว่าคุณวีค่ะเดี๋ยวจะไปทางไหนดี ไม่ใช่คำถาม ไม่ใช่คำสั่ง เหมือนสมัยก่อนที่เคยทำกับคนอื่น อย่างกับเลขาเนี่ยถ้าจะซ้ายต้องซ้ายทุกอย่างต้องเป๊ะ”

“แต่กับเขาเราทำไม่ได้ เราต้องมานั่งคิดว่า จะซ้ายหรือขวา เพราะถ้าไปใช้คำสั่งเขาไม่ชอบ พูดไปอย่างนี้เขาก็ไม่ชอบ ถามก็ไม่ได้ รู้มั้ยว่าไม่มีใครดูภาพบุ๋มออกเลยนะว่าบุ๋มกลัวเขา บางทีโครตวิตกจริตเลยเราจะพูดยังไงดีใช้คำพูดไหนดี”

“แต่เขาก็รักเรามากนะ ผู้ชายคนนี้ดูนิ่มๆ แต่จริงๆ เขาเป็นคนที่แข็งมากเราต้องหาวิธีกับเขาดีๆ แค่บอกร้านอาหารอยู่ข้างหน้าทำไมขับรถเร็ว บุ๋มโดนด่าประมาณสองชั่วโมงได้มั้ง พอโดนอย่างนี้เราร้องไห้อย่างเดียวเลย แต่ก่อนไม่รู้นะว่าเขาเป็นแบบนี้ เขายอมเราตลอดขนาดวีนแตกยังบอกว่าน่ารักครับผม เราก็เออชอบเว้ย(หัวเราะ)ยอมเรา”

“แต่หลังจากแต่งแล้วเราเป็นฝ่ายยอมตลอด เสียงแข็งนี่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ตั้งแต่แต่งงานกันมา 3 ปี บางทีเรายังไม่อะไรเลยนะเพียงแค่จะถามว่า ทำไมอย่างนี้ล่ะไม่ได้ด่านะ แต่เป็นคำถามที่เสียงจะแข็งๆ แค่นั้นล่ะโดนเลยบ่น บุ๋มต้องปรับตัวเองมาก ขนาดรับโทรศัพท์เรื่องงานเสียงเข้มอยู่ดีๆ พอมาเป็นคุณวีปุ๊บจะเป็นฮัลโหลดาลิ่งจ๊ะจ๋า จนแม่บุ๋มได้ยินบอกว่าเหมือนเด็กปัญญาอ่อนเลย แม่ไม่ชอบมากๆ แต่มันก็คือเพื่อความสบายใจเราคุยกับเขาแบบนี้เขาจะได้ไม่คิดว่าเราเครียดหรือโกรธเขาเรื่องอะไร แต่บางทีมันก็หลุดไง เพราะมันไม่ใช่ตัวตนเราแล้วพอมันสะสมมากๆ มันก็ระเบิดกันตูม”

“แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรบุ๋มก็ไม่เสียใจที่แต่งงานกับเขา สิ่งเดียวที่ทำให้บุ๋มทนทุกอย่างได้ ตอบได้คำเดียวเลยว่ารักคุณวี และรู้สึกว่าคุณวีก็รักเราด้วย ตราบใดที่ยังมีผู้ชายคนนี้เป็นพวกเราบุ๋มพูดได้เลยว่า ผู้หญิงทุกคนสามารถผ่านพ้นไปได้ ผู้หญิงเป็นเพศที่โครตอดทนเสียสละตัวเองเพื่อความรัก”

“ถ้าผู้ชายคนนั้นยังเป็นพวกเราต่อให้คนในบ้านมีเป็นร้อยๆ คน แต่ผู้ชายยังมีการดูแลเราบอกให้เราอดทนเดี๋ยวจะช่วยพูดให้เรา แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นบอกว่าคุณทำใจเถอะเขาก็เป็นของเขาแบบนั้นถ้าให้เราทำใจอย่างเดียวไม่ไหว ผู้หญิงจะถอยและรู้สึกแย่ในทันที วันนั้นบุ๋มมีความรู้สึกแบบนั้น”

“มาตอนนี้รู้สึกสบายใจเราได้มานั่งคิดและมีสมาธิกับมันมากขึ้น บุ๋มเองกำลังจะดูบ้านที่จะเอาคุณพ่อคุณแม่มาอยู่ด้วย บุ๋มอยากใช้เวลาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ให้เต็มที่ เพราะที่ผ่านมาเราค่อนข้างให้เวลากับท่านน้อยแล้วท่านเองก็ไม่ได้แข็งแรงมากเหมือนสมัยก่อนเริ่มเป็นห่วงเดี๋ยวเจ็บไข้ใครจะพาไปหาหมอ อีกอย่างบุ๋มเป็นลูกคนเดียวด้วย เลยอยากที่จะหาบ้านอยู่ที่ใกล้ๆ กับที่ทำงานเราด้วย ตายายจะได้อยู่กับหลานด้วยอยู่กันเป็นครอบครัว”

“สิ่งที่บุ๋มจะทำต่อไปนี้ก็คือพยายามทำงานหาเงินให้เต็มที่เพื่อเก็บไว้เป็นค่าเทอมลูก เพราะเราเป็นคนดูแล ส่วนทางด้านคุณวีบุ๋มแล้วแต่ว่าคุณวีจะให้ไม่ได้เรียกร้องหรือให้กฎหมายมานั่งบังคับว่าต้องได้เท่าไหร่ ถ้าเกิดเขามีครอบครัวใหม่เราก็คงต้องให้เขาดูแลครอบครัวใหม่เขาไป เพียงแต่ว่าเราต้องทำสัญญาว่าจะดูแลอันดามันไปสัก20 ปี มันเป็นสายสัมพันธ์ที่อยากให้มีระหว่างพ่อลูก เป็นสิ่งที่เราอยากผูกมัดไว้แค่นั้นเอง จะให้เดือนละ200 บาทก็เอา เพียงแค่สัญญาว่าจะมาเจอลูกบ้าง”

“นอกจากนั้นแล้วตอนนี้บุ๋มก็ยังจะทำธุรกิจเครื่องสำอางค์ด้วย พอดีบุ๋มรู้จักกับทางบีเอสซีมานานตั้งแต่ตอนที่เป็นสปอนเซอร์ประกวดนางสาวไทยแล้วก็มาทำงานเป็นพรีเซ้นเตอร์ให้กับบีเอสซีด้วย บุ๋มเลยเข้าไปคุยกับผู้บริหารเลยว่า อยากทำขนตาปลอม เพราะบุ๋มเป็นคนที่ติดขนตาปลอมตลอด มันสะดวกไม่ต้องมาปัดมาสคาร่าทุกวัน พอติดมาหลายๆ ครั้งก็เริ่มติดใจและเกิดไอเดียว่าถ้าเราทำเองมันคงดี“

“ซึ่งในตอนแรกว่า จะทำแค่ ขนตาปลอม ,กาว และอุปกรณ์ในการใส่ขนตาปลอม มาถึงตรงนี้ไม่ใช่แค่นั้นแล้วยังมีลิปสติกมีอะไรอีกหลายอย่างภายใต้ยี่ห้อของปนัดดา โดยมีบีเอสซีเป็นพาสเนอร์ผลิตและจัดจำหน่าย ซึ่งกว่าทุกอย่างจะเป็นรูปเป็นร่างทุกอย่างผ่านมือบุ๋มหมด แม้กระทั่งโรงงานที่ผลิตเวลาเทสเรายังต้องเทสเองเลย มันเหมือนกับตั้งท้องลูกเลย พอเห็นลูกคลอดออกมาเห็นคำว่า ปนัดดาอยู่บนกล่องเรารู้สึกภูมิใจกับมันมาก”

“จุดเด่นของขนตาปลอมของปนัดดาจะไม่แข็งเหมือนกับของที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป แน่นอนเรื่องราคาเราสู้เขาไม่ได้ แต่เรื่องคุณภาพบอกได้เลยว่า ของเราจะไม่แข็งติดแล้วมันจะไม่กระเดิดออก แต่ถ้าเป็นตามที่ขายทั่วไปมันจะแข็งเวลาติดจะไม่เนียนเหมือนขนตาจริง และเราจะมีวิธีสาธิตการดึงออกไม่ได้ขี้โกงเหมือนบางยี่ห้อว่าใช้แล้วควรที่จะทิ้งเลยของเราใช้ได้หลายครั้งใช้ได้ถึง 5-6 ครั้งด้วยซ้ำ ฉะนั้นถ้าเทียบราคาและคุณภาพเฉลี่ยแล้วของเราไม่แพงไปกว่ายี่ห้ออื่นเลย”

“ตอนนี้สินค้าเริ่มวางแผงแล้วตามเค้าเตอร์บีเอสซีทุกสาขา มีขนตากับกาวออกมาก่อน แต่เรายังไม่เริ่มโปรโมทจะเห็นกันแบบเต็มๆ ครบเซ็ตน่าจะเป็นประมาณต้นปีเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนั้นแล้วเราก็ยังวางแผนจะตีตลาดนอกด้วย ช่วงนี้ก็มีติดต่อทางสถานทูตบางประเทศไว้แล้วเริ่มจากที่ประเทศใกล้ๆก่อน”


กำลังโหลดความคิดเห็น