ต้นเดือนมีนาคม 2001 ที่เมืองโรเธนบวร์กซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเยอรมนี อาร์มิน เมเวส ช่างเทคนิคด้านคอมพิวเตอร์วัย 40 ปี ลงประกาศหา ‘ชายหนุ่ม อายุ 18 – 30 รูปร่างดี และยินดีพลีร่างให้เป็นอาหาร’ ในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง
ในช่วงเวลาเดียวกัน เบิร์นด์ เจอร์เกน แบรนเดส วิศวกรวัย 43 ปี เป็น 1 ใน 200 คนที่ตอบรับโฆษณาดังกล่าว แม้อายุจะเกินกว่าที่ระบุไว้ในประกาศเยอะ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้แบรนเดสเหนือกว่าคู่แข่งอีก 199 คนก็คือ เขาพูดจริง ทำจริง และตั้งใจจริง
9 มีนาคม แบรนเดสเดินทางจากเบอร์ลินมาพบเมเวสตามนัด
ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา แบรนเดสกรอกยานอนหลับ 20 เม็ดใส่ปาก ตามด้วยเครื่องดื่มซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกครึ่งขวด เพื่อกล่อมตัวเองให้อยู่ในสภาพจวนเจียนจะหมดสติ
ทันทีที่ยาและเครื่องดื่มออกฤทธิ์ เมเวสก็เริ่มกรรมวิธีการปรุงดินเนอร์เนื้อมนุษย์ตามแผนที่ทั้งคู่ร่วมกันวางไว้ เขาตัดอวัยวะเพศของแบรนเดสออก นำมาปรุงและเสิร์ฟให้ตัวเองกับแบรนเดสรับประทานร่วมกัน
ดินเนอร์จบลง แบรนเดสเสียเลือดมาก แต่ยังไม่ตาย เมเวสจึงนำร่างของเขาไปแช่ในอ่างอาบน้ำ ส่วนตัวเองหันไปอ่านหนังสือ สตาร์ เทรก
เช้ามืดวันถัดมา เมเวสเดินกลับมาที่อ่างอาบน้ำ อุ้มร่างแบรนเดสขึ้น พาไปไว้ในห้องพิเศษซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับการณ์นี้โดยเฉพาะ...จูบลา แล้วกระหน่ำแทงจนแบรนเดสตายสนิท
หลังจากนั้น เมเวสก็ลงมือชำแหละร่างของแบรนเดสเป็นชิ้นๆ นำส่วนที่เป็นเนื้อแช่ไว้ในตู้เย็น ส่วนกระดูกจัดการนำไปฝังไว้ในสวน
ตลอดหลายสัปดาห์ถัดมา อาหารหลักที่เมเวสรับประทาน ล้วนปรุงขึ้นจากเนื้อของแบรนเดส
ธันวาคม 2002 เมเวสถูกตำรวจบุกเข้าจับถึงบ้านพัก หลังจากชายหนุ่มคนหนึ่งอ่านพบประกาศหา ‘อาสาสมัคร’ ในลักษณะเดิมของเขาทางอินเตอร์เนต แล้วตัดสินใจแจ้งให้ตำรวจทราบเพราะรู้สึกว่า รายละเอียดหลายอย่างที่เมเวสแจ้งไว้นั้น ‘ไม่ธรรมดา’
ธันวาคมปีถัดมา การไต่สวนคดีของเมเวสเริ่มต้นขึ้น หลักฐานสำคัญนอกจากชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากร่างของแบรนเดสที่พบในที่เกิดเหตุแล้ว ยังมีวิดีโอเทปที่เมเวสบันทึกกรรมวิธีการเตรียมและรับประทานดินเนอร์มื้อนั้นอย่างละเอียดทุกขั้นตอน
หลังการไต่สวนสิ้นสุดลง ศาลตัดสินว่าเมเวสมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (manslaughter) โทษคือจำคุก 8 ปีครึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างวิจารณ์คดีดังกล่าวกันหลากหลาย
ประเด็นแรกสุดคือ แท้ที่จริงกฎหมายสามารถเอาผิดเมเวสได้หรือไม่ ในเมื่อแบรนเดสยินยอมที่จะถูกฆ่าโดยสมัครใจ และถัดมา หลายคนเพิ่งจะทราบเอาตอนนั้นว่า การรับประทานเนื้อมนุษย์ (cannibalism) ไม่ถือว่าผิดกฎหมายในประเทศเยอรมนี
เมษายน 2005 อัยการยื่นคำร้องขอให้มีการไต่สวนคดีใหม่ เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า เมเวสควรจะถูกลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา (murder) มากกว่าและน่าจะได้รับโทษที่หนักกว่านั้น
พฤษภาคม 2006 การพิจารณาคดีสิ้นสุดลง ศาลตัดสินว่าเมเวสมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เขาถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
ทุกวันนี้ อาร์มิน เมเวส เป็นที่รู้จักในนาม ‘นักกินคนแห่งโรเธนบวร์ก’
Grimm Love เป็นผลงานชิ้นแรกของ มาร์ติน ไวซ์ ผู้กำกับชาวเยอรมันที่มาดังในฝั่งอเมริกาจากงานโฆษณาและมิวสิก วิดีโอ หนังได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเมเวสและแบรนเดส แต่เปลี่ยนชื่อและรายละเอียดบางส่วนของตัวละครเสียใหม่ เมเวสกลายเป็น โอลิเวอร์ ฮาร์ตวิน และแบรนเดสเป็น ไซมอน กรอมเบ็ก
เนื้อหาของหนังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน หนึ่งคือเรื่องซึ่งแต่งเติมขึ้นใหม่ ว่าด้วยเรื่องของ เคที นักศึกษาปริญญาโทสาขาจิตวิทยาซึ่งเลือกคดี ‘ฮาร์ตวิน-กรอมเบ็ก’ อันอื้อฉาวเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเธอ อีกส่วนคือเรื่องราวของฮาร์ตวินและกรอมเบ็กตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเกิดเหตุ ซึ่งเคทีได้รับทราบในระหว่างการหาข้อมูลเพื่อทำวิทยานิพนธ์ฉบับนั้น
หนังเปิดเรื่องได้น่าสนใจ – กล้องแทนสายตาเคทีกวาดมองไปรอบห้อง เสียงบรรยายของเธอบอกผู้ชมว่า ขณะนี้เธอกำลังฝัน “...ฝันที่เงียบสงบ ไม่มีเรื่องให้ต้องทุกข์ร้อนกังวล ทุกสิ่งในห้องล้วนอยู่ในที่ซึ่งมันควรจะอยู่...” เคทียังบอกอีกว่า ในฝัน เธอมักรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องนั้นพร้อมกันกับเธอ “ฉันไม่เคยเห็นหน้าชัดๆ รู้เพียงแต่ว่าใครคนนั้นอยู่ใกล้ๆ…อยู่ในห้องนั้น และมันทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ...ฉันเชื่อว่าเราต่างก็ฝันว่าจะพบใครสักคนที่จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจและอบอุ่นอย่างเดียวกันนี้ด้วยกันทั้งนั้น...”
มาร์ติน ไวซ์ ผู้กำกับ ใช้ถ้อยคำข้างต้นสะท้อนความสัมพันธ์ของฮาร์ตวินและกรอมเบ็กในแบบที่เขาตีความ กล่าวคือ มันเป็นเรื่องของคน 2 คนที่ต่างคนต่างมีชีวิตอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา เศร้าโดยไม่อาจอธิบาย มีความต้องการที่จำต้องปกปิดไว้ และต่างฝ่ายต่างก็แสวงหาใครสักคนที่สามารถสนองตอบความต้องการเบื้องลึกนั้น
ในกรณีของฮาร์ตวิน เขาปรารถนาจะได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อมนุษย์ ส่วนกรอมเบ็ก หวังจะได้พบใครสักคนที่ยินดีกัดกินเนื้อหนังของเขาจนแทบไม่มีชิ้นส่วนใดเหลือรอดให้รกโลก
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว หนังพาผู้ชมไปค้นหาคำอธิบายว่าอะไรทำให้ทั้งคู่มีความต้องการที่วิปริตบิดเบี้ยวเช่นนั้น
ฮาร์ตวินเป็นผลผลิตจากครอบครัวที่ล่มสลาย เขาถูกพ่อทิ้งให้อยู่กับแม่จอมบงการตั้งแต่เด็ก บุคลิกแปลกๆ และเสื้อผ้าเฉิ่มๆ ของเขาทำให้ไม่มีใครอยากคบ เขาชดเชยความเปลี่ยวเหงาด้วยการสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้น เป็นเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น
เวลาผ่านไป ฮาร์ตวินเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มทว่ายังคงเก็บเนื้อเก็บตัว ในช่วงเวลาเดียวกัน แม่แก่ตัวและล้มป่วย มีสัญญาณบ่งชี้ว่าแม่จะอยู่กับเขาได้ไม่นาน และหากแม่จากไป นั่นก็หมายความว่าชีวิตของเขาจะไม่เหลือใครอีก
ความหวาดกลัวว่าจะต้องถูกทิ้งให้อยู่ลำพังบนโลก ทำให้ฮาร์ตวินต้องการใครสักคนที่จะอยู่ร่วมกับเขาชั่วชีวิต...จะเป็นใคร เขายังไม่รู้ สิ่งที่เขารู้ก็คือ วิธีเดียวที่จะมั่นใจได้ว่าใครคนนั้นจะไม่หนีหายไปไหนก็คือ การรับประทานเนื้อหนังของอีกฝ่าย กลืนกินร่างของใครคนนั้นเพื่อให้มันหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตน
ฝ่ายกรอมเบ็ก หนังเล่าว่าเขารักใคร่เพศเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก และครั้งหนึ่ง ขณะกำลังจับต้องลูบคลำเรือนร่างของเด็กชายวัยเดียวกัน แม่ก็บังเอิญมาเห็นเข้า ส่งผลให้แม่หัวใจสลายจนถึงกับฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา
กรอมเบ็กโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องตาย ปรารถนาจะทำลายล้างตนเองเพื่อชดใช้ความผิด เกลียดชังทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อวัยวะบ่งชี้ความเป็นชาย ซึ่งสำหรับเขา มันแทบไม่ต่างอะไรกับอาวุธที่เขาใช้สังหารแม่แท้ๆ ให้ตายลงกับมือ
ความต้องการที่แตกต่างทว่าเติมกันได้เต็ม ชักนำฮาร์ตวินและกรอมเบ็กมาพบกันในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง และท้ายที่สุดก็พาทั้งคู่ไปสู่จุดจบอย่างที่ทราบกัน
พื้นเพปูมหลังของฮาร์ตวินและกรอมเบ็กที่หนังนำเสนอ และมุมมองต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้น จำเป็นและน่าสนใจ หากทำเฉไฉมองข้ามบทสรุปที่สุดแสนจะวิปลาสเหลือเกินไป มันก็คือ การแสวงหา ‘คนที่ใช่’ และได้พบในที่สุด เป็นเรื่องของคนสองคนซึ่งเกิดมาเพื่อกันและกัน จะเรียกว่าเป็น ‘โซลเมต’ ก็ไม่ผิดอะไรนัก
นอกจากนั้นหนังยังทำให้แง่มุมดังกล่าวแข็งแรงขึ้นอีกด้วยการนำมันไปเทียบเคียงกับ จาคอบ และ วิลเฮล์ม กริมม์ คู่พี่น้องชาวเยอรมันที่โด่งดังคับโลกในฐานะผู้เขียนเทพนิยายไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง
‘กริมม์’ นอกจากจะถูกนำมาใช้ในชื่อเรื่องแล้ว ตอนหนึ่งของหนังยังให้ตัวละครคนหนึ่งพูดชัดถ้อยชัดคำทำนองว่า “ก็เหมือนที่คนอื่นมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นเพียงท้องฟ้ากับป่าทึบ ขณะที่พี่น้องกริมม์ทอดสายตาไปยังจุดเดียวกันแล้วเห็นเจ้าหญิง เจ้าชาย เห็นนางฟ้า เห็นเทวดา...”
คำพูดดังกล่าวมีนัยเปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮาร์ตวินกับกรอมเบ็กในแง่ที่ว่า ขณะที่คนอื่นมองพวกเขาแล้วเห็นเพียงมนุษย์เพศชายที่ไม่ต่างจากผู้ชายเป็นร้อยเป็นล้านในโลก ทว่าเมื่อทั้งคู่มองกันและกัน พวกเขาเห็นคุณค่าบางประการของฝ่ายตรงข้ามอย่างที่คนอื่นไม่อาจเห็น และพวกเขาเข้าใจความปรารถนาเบื้องลึกที่ต่างฝ่ายต่างซุกซ่อนไว้ในแบบที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม Grimm Love ก็ไม่ใช่หนังจิตวิเคราะห์ที่ดีจนถึงขั้นไร้ข้อตำหนิ จุดอ่อนของหนังอยู่ที่ตัวละครของเคที
ทั้งที่เธอเป็นตัวเดินเรื่องและ –ควรจะต้อง- เป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดในเรื่อง (เพราะเป็นทั้งตัวเปิดเรื่อง บอกประเด็นเรื่อง และเป็นผู้นำคนดูไปพบเรื่องราวของฮาร์ตวิน-กรอมเบ็ก) แต่หนังกลับปฏิบัติต่อเธออย่างทิ้งขว้าง ตลอดชั่วโมงเศษของหนัง เราได้เห็นภาพของเธอในฐานะของนักศึกษาสาวผู้หมกมุ่นอยู่กับวิทยานิพนธ์เพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่แทบไม่ได้รับรู้แง่มุมอื่นๆ ของเธอเลย
ยิ่งกว่านั้น เงื่อนปมในใจของเธอ (ความเปลี่ยวเหงาและความต้องการใครสักคนมาเติมเต็มชีวิต) ที่หนังเปิดไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้รับการคลี่คลายแต่อย่างใด (ตามความเข้าใจของดิฉัน หนังควรจะพาเรื่องไปพบบทสรุปลงเอยว่า เรื่องของฮาร์ตวิน-กรอมเบ็กส่งผลต่อเคทีอย่างไรบ้าง)
ความบางและเบาของเคทีนั้นถึงขั้นที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า ความน่าสนใจของหนังลดฮวบทุกครั้งที่ตัดมาสู่เรื่องของเธอ นอกจากนั้น หลังดูหนังจบ ดิฉันมานึกๆ ดู แล้วอดจะคิดไม่ได้ว่า หนังอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ หากตัดตัวละครตัวนี้ทิ้งไปเสีย แล้วหันมาอุทิศเวลาให้เรื่องของฮาร์ตวินกับกรอมเบ็กอย่างเต็มๆ
อีกประการที่ไม่ถือเป็นข้อด้อย ทว่าควรจะต้องบอกคุณไว้เสียตั้งแต่ตรงนี้ก็คือ หนังมีฉากอ้วกแตกเล็กน้อยในช่วงท้าย ไม่มีการถ่ายภาพใกล้ของอวัยวะให้เห็นจะแจ้งหรอกนะคะ ก็แค่ชาย 2 คนนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน ฝ่ายหนึ่งเลือดโชกที่หว่างขา จิ้มเนื้อในจานใส่ปาก เคี้ยวอย่างอ่อนแรง และบ่นว่า “เหนียวจัง” เท่านั้น!
ถึงตรงนี้ดิฉันก็ยังไม่ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า Grimm Love เป็นหนังที่ดิฉันอยากแนะนำให้คุณดูหรือไม่
เอาเป็นว่า ถ้าคุณอยากดูหนังโรแมนติกที่แปลก ประหลาด และวิปลาสเกินจินตนาการ หนังเรื่องนี้ก็นับว่าเหมาะสม
แต่ถ้าอยากดูหนังเพื่อหวังจะได้รับความรื่นรมย์ ดิฉันขออนุญาตแนะนำด้วยความปรารถนาดีว่า มองข้าม Grimm Love ไปเลยดีกว่า...