ฉากแลกลิ้นกับผู้ชายใน “รักแห่งสยาม” แจ้งเกิด “พิช” หนุ่มหน้าใสวัย 18 เจ้าตัวยิ้มฟีดแบกแรงจนคนคิดว่าเป็นเกย์จริงๆ ก่อนเปิดใจนาทีที่ต้องจ๊วบปากกับหนุ่ม “มาริโอ้”
เปิดตัวด้วยรายได้ที่น่าจับตามอง และสร้างกระแสฮือฮามากเรื่องหนึ่งทีเดียวสำหรับหนังเรื่อง “รักแห่งสยาม” ของผู้กำกับหลากแนวอย่าง “มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล” ซึ่งถ้าถามถึงกระแสหนังรักตอนนี้คงต้องยกให้กับหนังเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะกระทู้ตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ หรือข้อวิพากษ์วิจารณ์ตามเว็บบอร์ดยอดฮิตของอีกหลายๆเว็บไซต์ ก็แสดงทัศนะแตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีเพลงประกอบที่กระชากใจคนดูได้ไม่น้อยทีเดียว
แม้ว่าจะโดนมองเป็นหนังเกย์ มากกว่าหนังรัก และฉากที่โดนกล่าวขวัญมากที่สุด คงหนีไม่พ้นฉากเลิฟซีนจูบปากของพระนางในเรื่องอย่าง ผู้ที่รับบทโต้ง (มาริโอ้ เมาเร่อ) หรือ มิว (วิชญ์วิสิฐ) เกย์มาดอ้อนแอ้นที่หาจุดลงตัวให้กับชีวิตแทบไม่เจอ หลังจากโดนแม่ของชายอันเป็นที่รักกีดกันความรัก แต่ไม่ว่ามุมมองหนังเรื่องนี้สำหรับผู้ชมคืออะไร แต่ในมุมมองของ “พิช วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล” กับคำถามที่หลายๆ คนใคร่รู้ เกี่ยวกับนักแสดงหน้าใหม่ตาสวยรายนี้ วันนี้ “นัดคุย” มีคำตอบ และพร้อมเปิดฉากการสนทนาด้วยการพูดถึงการเข้ามาแสดงในหนังเรื่องนี้ ด้วยการขอบคุณผู้กำกับสุดซี้ อย่าง “มะเดี่ยว” ที่เลือกตนมารับบทนี้อย่างยิ้มแย้มว่า
“ตอนนั้นก็สนิทกันกับพี่มะเดี่ยว เป็นคนที่ไว้ใจได้ ร่วมงานกับคนเป็นพี่เป็นพ่อ เป็นเพื่อน พอแกติดต่อมาเราก็สนใจดีกว่าไปเล่นอะไรของคนอื่นอย่างน้อยเล่นหนัง ทำงานของพี่มะเดี่ยวและเราก็เคยร่วมงานกันมาแล้วที่เป็นเอ็กซ์ตร้าให้กับ 13 เกมสยอง เห็นแค่แขนเราก็เห็นว่างานของเขาสนุก ทำงานกับคนที่เราไว้ใจ ตอนแรกก็แบบว่าจะเอายังไงดีแต่ หนึ่งคือเราทำงานกับพี่มะเดี่ยว คือ คำแนะนำจากเขาเราไว้ใจเขาได้ 2 คือ ดาราแม่เหล็กพวกพี่นก พี่กบ พี่พลอย โอกาสอย่างเนี้ยมันไม่มีอีกแล้ว”
“ส่วนการเตรียมใจกับบทแบบนี้เนี่ย อันนี้ผมเตรียมใจตั้งแต่ก่อนเล่นแล้วว่ามันจะต้องมีแบบนี้ พี่จะต้องถามอย่างนี้ แต่ก็คือมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็เป็นบทบาทหนึ่งเท่านั้นเอง อย่างสมมติว่า วันหนึ่งเรารับงานใหม่เราได้รับบทใหม่เราก็มีทางเลือกของเราว่าเราจะเล่นเป็นแบบไหนเราอาจจะได้กลับมาเล่นสไตล์นี้อีก คือ เรามีทางเลือกหลากหลายแต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นและก็ไม่ได้กลัวว่าเขาจะมองภาพเราเป็นยังไง”
แม้จะไม่เคยผ่านงานแสดงอย่างโชกโชน เหมือนนักแสดงคนอื่นในเรื่อง แต่หนุ่มตาสวยคนนี้บอกเรียนรู้แอ็กติ้งและตีความจากบทที่ได้รับ อีกทั้งศึกษาจากเพื่อนที่มีลักษณะเช่นนี้
“คือ ผมไม่ได้ผ่านงานมาเยอะ แต่คุยกับพี่มะเดี่ยวก่อน สมมติเวลาเราอ่าน อย่างเราอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน แต่มันก็จะมีรายละเอียดของตัวละครหรือว่าภาพของตัวละครที่ออกมาไม่เหมือนกันอยู่แล้ว พิชก็คิดไม่เหมือนพี่มะเดี่ยว เพราะว่าพิชก็ไม่เคยเจออะไรที่เหมือนกับพี่มะเดี่ยว ก็เลยต้องมาแชร์ประสบการณ์กันมาพูดคุยก็พยายามอยู่กับพี่มะเดี่ยว ไปเที่ยวไปอะไรเขาก็จะอธิบายว่าตัวมิวมันเป็นอย่างนี้ คือ เราคุยกันตลอดอยู่แล้วเล่น เอ็มคุยกันพิชก็เลยพยายามจับตัวมิวให้มันเป็นอย่างเนี้ยน่าตาเป็นอย่างนี้ ท่าทางเป็นอย่างนี้ เสียงเป็นอย่างนี้พูดอย่างนี้ให้ได้ใกล้เคียงที่สุด”
“ก็มีเพื่อนแบบนี้นะ ก็คุยกับเขาครับ เราก็ดู เราก็เหมือนกับกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งนั่นแหละ เราก็เฝ้าดูเขาแต่เราก็เติบโตไปด้วยกัน”
และทันทีที่หนังเรื่องนี้ออกสู่สายตาประชาชน “พิช” บอก เพื่อนแซวถึงแต่เรื่องฉากจูบ ส่วนตัวแล้วตนมองเป็นเรื่องดีที่คนอินในตัวละครมากกว่า แถมแม่ดูหนังเรื่องนี้แล้วกลับชอบในเรื่องราวของหนังมากกว่าสนใจบทบาทตุ้งติ้งของลูกเสียด้วยซ้ำ
“คือ ถ้าเป็นพวกเพื่อนๆ เนี่ยเขาก็จะกรี๊ดเลย เพราะส่วนใหญ่เขาก็จะไม่มองประเด็นอื่นเลยครับ ฉากนั้นอย่างเดียวเลย ..(ยิ้ม) แต่ถ้าเป็นคนอื่นๆ เป็นรุ่นพี่หรือว่าอะไรเขาก็โอเค คือ พิชดีใจนะ ที่เพื่อนโทร.มาบอกว่าพาแม่ไปดู แล้วแม่บอกว่าชอบมากมีเพื่อนคนหนึ่งสนิทกันมากเรียนอยู่นิเทศจุฬาฯเขาก็บอกว่าพาแม่ไปดู แม่บอกว่าผู้กำกับใจร้ายทำไมปล่อยให้มิวอยู่คนเดียวก็ไหนบอกว่าโต้งไม่เอาโดนัทแล้วไง”
“แม่พิชก็ดูแล้วและแม่ก็ชอบ แม่บอกว่าน้ำตาคลอเลย แล้วแม่ไม่พูดถึงฉากนั้นเลย แม่เป็นคนที่รับได้ คือ พิชไม่ได้อยู่กับพ่ออยู่แล้วแม่ก็เป็นเหมือนสิ่งเดียวเป็นทั้งแม่ทั้งพ่อทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งน้อง คือพ่อกับแม่เขาแยกกันไป ก็มีติดต่อมาบ้าง แต่ก็คือไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นพ่อ คือรู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นพี่มากกว่า”
“มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนแม่โทร.มาบอกว่าลูกเขาอยู่ประมาณประถมมัธยมเขาชอบเรามากเลย เขาจะพาเพื่อนทั้งห้องไปดูหนัง ก็จะบอกว่าใจเย็นๆ เดี๋ยวก่อน บอกแม่ว่าให้พยายามชี้แจงก่อนให้เขาเข้าใจ เดี๋ยวเขาจะช็อก เราก็จะบอกว่าเตรียมใจนิดหนึ่งนะ แต่ทุกคนก็จะบอกว่าไม่เป็นไร คือเขายังไม่ได้ดูไงครับ ..(ยิ้ม) พอไปดูเขาก็จะมาพูดอย่างในกระทู้ว่า แหม..ฉากนั้นแมนเชียวนะมึง ก็จะมีถามเรื่องนั้นเรื่องนี้เยอะ”
แสดงเก่งจนคนนอกจอคิดว่าในชีวิตจริง พิชอ้อนแอ้นเหมือนในหนังหรือไม่เจ้าตัวบอก ขอเป็นเกย์แค่ในหนังเท่านั้น แถมกลับมองในแง่ดี ว่าตนแสดงสมบทบาทคนถึงอินว่าเป็นเกย์จริงๆ
“ส่วนใหญ่ก็มีมาถามครับ ว่าเราเป็นหรือเปล่า และเราก็ต้องแยกภาพลักษณ์ของหนัง กับชีวิตจริงออกจากกัน แต่จริงๆ ลึกๆ ถ้าเรามองในแง่เนี้ย เราน่าจะดีใจนะว่าเราเล่นได้สมบทบาทจริงๆ เพราะว่าอย่างที่โรงเรียนก็มีเป็นอย่างนี้เยอะ เราได้สัมผัส เราได้เข้าใจว่าเราได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไง”
ส่วนฉากเลิฟซีนที่เล่นได้สมจริงสมจัง แบบถึงพริกถึงขิงนั้น เจ้าตัวบอกที่ทำออกมาได้ดี เพราะมุมกล้องและผู้กำกับสอน ให้ซ้อมจูบแขนตัวเองจนคล่อง บอกส่วนตัวแล้วก็รู้สึกเขินที่ต้องเลิฟซีนกับชายแปลกหน้า และไม่ใช่คนที่ตนเองรัก บอกเตรียมใจมาแล้วตั้งแต่ก่อนรับเล่น แถมบอกดูในหลายๆฉากแล้วตนอยากทำให้ดีกว่านี้อีก
“เรื่องฉากเลิฟซีนเนี่ย พี่มะเดี่ยวบอก มึงลองจูบกับแขนมึงดูซิ และพิชก็ลอง พิชก็จูบยังไงทำไงดีต้องแลกลิ้นมั้ยพี่ ส่วนใหญพี่มะเดี่ยวจะเอาฉากยากๆ ไว้หลังๆ เราจะค่อยๆ มีพัฒนาการแล้วมันจะค่อยๆ เป็นธรรมชาติไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งเราจะเหมือนเรียกตัวละครตัวนั้นเข้ามาอยู่ในตัวเราไง พอถ่ายจริงเราก็แบบมาแล้วเว้ย เอาไงดีวะคือเรานิ่งไม่ได้ไงพี่ พี่มะเดี่ยวก็เลยบอกว่า คิดว่ากำลังจูบกับแฟนแล้วกันแต่คือเราต้องหลับตาด้วยไง..(ยิ้ม)”
“คือ จะมาจูบจริง ก็ต้องทำใจประมาณหนึ่งเพราะเขาไม่ใช่คนที่เราชอบ เขาไม่ใช่คนที่เรารัก เมื่อกี๊เขายังนั่งคุยกับเราเรื่องเกมส์อยู่เลย แล้วเราก็ต้องจูบกับเขาแล้ว ก็ต้องทำใจอยู่นานเหมือนกัน ก็อย่างที่บอกเขาจะเอาฉากยากๆไปไว้ที่ท้ายเรื่องเราก็เหมือนได้ซึมซับความเป็นตัวละครตัวนั้นแล้วเราก็เข้าใจเขา คือ เชื่อว่า มาริโอก็คงจะคิดอย่างงั้นเหมือนกัน แล้วพอคุยกันก็ตื้นเต้นนะมันต้องเล่นให้รู้สึกว่ามันรักกันจังเลย”
“คือ พอดูแล้วเนี่ย รู้สึกว่าตัวเองน่าจะเล่นได้ดีกว่านี้ คิดว่าถ้ามีเวลามากกว่านี้น่าจะเล่นได้ดีกว่านี้ คือเรามาถ่ายวันแรกเล่นกลางเรื่องแล้วคนอื่นจะไม่รู้สึก แต่เราจะรู้สึกว่าอันเนี้ยเราไม่รู้เรื่อง แต่อันเนี้ยเราพอเข้าใจมันประมาณหนึ่งแล้ว คือ ตอนนั้นเรารู้จำได้เลยว่าเราต้องทำได้ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่คือเราเล่นเราต้องไม่สนใจว่าเราต้องทำหน้ายังไงรู้สึกไปตามนั้นแล้วทำไปตามนั้น”
บอกในการรับงานเรื่องนี้ฉากที่คิดว่าตนเองทำได้ดีที่สุด เป็นฉากปะทะคารมกับนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมืออย่าง “นก สินจัย” มากกว่า ฉากเลิฟซีน
“ความยากคือพี่นก คือ ฉากมันกดดันอยู่แล้ว คนดูจะสัมผัสได้อยู่แล้วว่ามันกดดันแต่คนดูจะสัมผัสได้ยังไงว่าเรากดดันกว่าอีก แล้วพี่นกก็กดดันด้วยคือเขาไม่ได้ด่าเราเลยนะ แต่เขาพูดทุกคำแล้วเราต้องเจ็บปวดแล้วเราต้องทำให้คนเชื่อว่ามิวกำลังเป็นอย่างนี้ อีกอย่างหนึ่งคือเราต้องยืนอยู่ในจุดที่พี่นกไม่กลบเรา อันนี้คิดในแง่ของพิชที่ว่าพิชจะเล่นยังไงให้พิชไม่ดร็อปลงไป ตัวละครไม่จม”
“มิวเขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเหมือนเป็นตัวประหลาด คือ จริงๆ หนังมันมีอะไรยาวกว่านั้น พี่อาจจะเห็นรูปโปรโมตที่นั่งตรงสกาล่า ฉากนั้นเป็นฉากที่มิวถามโต้งว่านี้เรามีอะไรที่ต่างกันหรือเปล่า แล้วโต้งก็ตอบว่าไม่มี ไม่เห็นมีอะไรต่างจากคนอื่นเลย มิวก็บอกว่าไม่ใช่เราไม่ได้หมายถึงภายนอกหมายถึงที่มาจากข้างในแล้วโต้งก็คิดแล้วโต้งก็เข้าใจแล้วโต้งก็บอกว่าไม่หรอกแต่ว่าฉากนี้ไม่มีในหนัง จริงๆ มีอยู่หลายฉากที่คิดว่าน่าจะยังอยู่แต่ด้วยการเล่าเรื่องมันก็ 2 ชั่วโมงครึ่งแล้ว”
“คือ ฉากกับพี่นกรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี ยังนึกไม่ออกเลยถ้าวันนี้กลับไปเล่น เราจะเล่นได้เท่าวันนั้นมั้ย ถ้าวันนั้นคือเข้าใจแล้วว่ามิวเป็นคนอย่างนี้ก็ต้องถามกลับไปทุกคำว่ามิวเป็นอย่างนี้”
“คือ พิชไม่ได้บอกว่าพิชเก่งนะครับ แต่มีคนบอกว่าพิชเป็นคนที่สื่อออกมาทางสายตาได้ดีมาก ตาเยิ้มเลย แต่เวลาเล่นก็ไม่ได้มองมาริโอ้นะครับ คือ มันแบ่งกล้องกันถ่ายใช่มั้ย อายไลน์ของพิชตอนนั้นจะไม่ใช่มาริโอ้จริงๆ อันนี้ต้องยกความดีให้ พี่ปนัดดาเป็นผู้กำกับ แกจะมาคอยเล่นหูเล่นตาอยู่ข้างๆ กล้องอยู่ตลอดเวลาเป็นคนบอกให้เรายิ้ม เขาก็จะมาแบบเล่นๆ ทำท่าน้องทราย ทำให้เรารู้สึกเขิน รู้สึกตลกแล้วสีหน้ามันก็จะออกมาเอง มันก็เป็นเทคนิค และอีกอย่างก็ต้องยกให้การตัดต่อด้วย ตัดต่อให้รู้สึกว่าโต้งกับมิวมันรักกันจริงๆ คือ ในฐานะที่พิชเป็นคนเล่น ทุกฉากพิชไปดูแล้ว พิชรู้สึกว่ามันน่าจะรักกันได้มากกว่านี้ มันน่าจะมีเหตุการณ์ที่มากกว่านี้ แต่ก็โอเคว่าหนังมันยาวแล้วมันเบื่อแค่นี้มันโอเคแล้ว”
ก่อนจะทิ้งท้ายเอ่ยถึงตัวละคร “มิว” ที่ตนได้รับบทนี้ หนุ่มพิชบอก มีทั้งส่วนที่เหมือนและแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ตนไม่เคยมีแน่นอนนั่นคือความเหงา
“ช่วงท้ายๆ ครับถึงรู้สึกว่าเป็นมิว ก็จะเป็นช่วงที่เล่นกับพี่นก พี่พลอย และก็ช่วงคอนเสิร์ตจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าคนนี้ คือ มิว มิวคือคนแบบนี้คือเข้าใจที่มิวพูด คือ บางทีเรากลับบ้านไปเรายังคิดอยู่เลยทำไม่มิวไม่ไปซ้อม ทำไมเราเศร้าอย่างนี้เป็นเรา เราจะไปเศร้ามั้ย คิดไปไกลครับ คือมันติดตัวเราไปเลย แต่พอเปิดกล้องปุ๊บผ่านไปนานๆ มันก็กลับมาเป็นเรา”
“ที่จริงมันก็มีส่วนคล้ายพิชนะมิวเนี่ย คือ เรารู้ความพอเพียงเหมือนกันจริงๆ มันก็เหมือนกันหลายอย่างนะ มันก็เล่นดนตรีเหมือนกัน ร้องเพลงเหมือนกัน เขียนเพลงเหมือนกัน ผิดกันตรงที่มิวจะเล่นเปียโนเก่งกว่าพิชแค่นั้นเอง แล้วพิชเป็นคนมีเพื่อนเยอะ พิชไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเหงา ตัวเองอยู่คนเดียว มันเลยเหมือนกลับต้องมานั่งคิดทบทวนว่าเรารู้สึกไม่มีใครตอนไหนแล้วความรู้สึกนั้น มันทรมานขนาดไหน แล้วพยายามเข้าใจกับเหตุการณ์ในวันนั้น เหตุการณ์ตรงจุดนั้นดึงเข้ามานึกถึงมันเยอะ จนมันเหงาจริงๆ คงน่าจะเป็นเรื่องความเหงามากกว่าที่เหลือก็ไม่ค่อยเหมือนกัน”
ยอมรับหนังเรื่องต่อไปทำให้ต้องเลือกมากขึ้นเนื่องจากหนังเรื่องนี้ เสียงตอบรับดี พร้อมเชื่อ “รักแห่งสยาม” น่าจะเป็นหนังรักในดวงใจของใครหลายๆ คน
“ถ้ามีหนังเข้ามาเราคงต้องเลือกหนังนิดหนึ่ง เพราะว่าหนังเรื่องนี้มันดีและทุกคนก็คงต้องหวังกับเราว่าหนังเรื่องต่อไปก็คงต้องดี และเราก็คงต้องเหนื่อยกันนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้แย่กว่าเรื่องเก่า มันต้องดีขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะมีการโปรโมตแบบไหน พิช ก็เชื่อว่า หนังเรื่องนี้ก็ต้องอยู่ในใจของคนจำนวนหนึ่งแน่นอน พิชเชื่ออย่างนั้นและมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”