xs
xsm
sm
md
lg

สุดท้าย รักนั้นคืออะไร?/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

"ตอนแรกก็ว่าจะไปดูอยู่ แต่พอรู้อย่างนี้ ไม่ดูดีกว่า..."

เสียงจากเพื่อนๆ ของผมรวมถึงคนรู้จักที่มีจำนวนหลายคนพอสมควรเลยครับได้เอ่ยประโยคซึ่งอาจจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวตามที่ยกขึ้นมากล่าวอ้าง หากแต่ความหมายล้วนแล้วแต่เป็นไปในลักษณะเดียวกันในความรู้สึกของผู้พูดที่เกิดขึ้นต่อหนังไทยเรื่อง "รักแห่งสยาม"

"แต่ก็น่าจะลองไปดูก่อนนะ มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นมั้ง"

ผมพูดออกไปด้วยความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ โดยมีเหตุผลรองรับที่ไม่ใช่การชักชวนเพราะไปดูมาแล้ว แต่เป็นเพราะหนังเรื่องนี้มีผู้กำกับที่ชื่อ "มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" หนึ่งในผู้กำกับรุ่นใหม่ที่นักวิจารณ์หลายคนกล้าเขียนการันตีในฝีมือ ขณะที่ผลงานของเขาที่ผ่านมาอย่าง "คนผีปีศาจ" และ "13 เกมสยอง" (และอีกหลายชิ้นที่เป็นทั้งหนังสั้น, หนังสารคดี) ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้ดูแล้วเอ่ยปากชม(รวมถึง "รักแห่งสยาม")ต่างก็ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึง "เอกลักษณ์" ที่น่าสนใจไม่น้อยต่อมุมมองความคิด และแนวทางการทำงานของผู้กำกับหนุ่มคนนี้

"รู้ แต่..."

คู่สนทนาบอกถึงความคิดของตนเองที่ทำให้ผมสนใจไม่น้อย เพราะโดยปกติเขาคนนี้เป็นคนที่ชอบหนังรักหนังโรแมนติกในระดับที่มากพอสมควรเมื่อเทียบกับภาพยนตร์แนวอื่น (ต่างไปจากผมซึ่งไม่ได้กระตือรือร้นที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นด้วยรสนิยมส่วนตัวที่ไม่นิยมชื่นชอบหนังประเภทรักโรแมนติกสักเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเป็นแนวชีวิตรันทดประเภทน่าสงสาร กินใจ น่าประทับใจกันจนน้ำตาไหลพรากๆ นี่ยิ่งพยายามหลีกเลี่ยง)

"ผู้ชายจูบปากผู้ชาย ยังไงก็รับไม่ได้ว่ะ"
...
"ภาวนาให้ใจที่เจ็บจงเข้มแข็ง แม้มันจะไร้เรี่ยวแรง จงฝืนลุกยืนให้ไหว คนๆ เดียวมันไม่สิทธิ์ขนาดนั้น ไม่ทำให้ช้ำถึงตายยังไงต้องรับให้ได้ ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย แค่วันนี้หัวใจสลาย...ฯ"

นอกจากความคิดของเพื่อนที่มีต่อหนัง "รักแห่งสยาม" แล้ว ก็มีเนื้อหาจากเพลง "อกหัก" ในงานชุดใหม่ "Save My Life" ของ "Bodyslam" ท่อนนี้แหละครับที่ทำให้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่องที่พยายามเลี่ยงมาตลอด(เพราะรู้สึกทรมานกับความผิดกับความไม่ดีของตัวเองทุกครั้งที่คิดถึง)

อ้อ...ยังมีเรื่องที่เกี่ยวโยงไปกับ "อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล" ทั้งหนังสือของอาจารย์ที่ชื่อ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" รวมถึงเรื่องที่อาจารย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่กับภรรยาและลูกๆ ทั้งสองในรูปซึ่งหลายคนและสังคมมองว่าเป็น "ครอบครัว" ด้วย

"ความรัก"...แม้นัยของมันจะให้อารมณ์ถึงการเป็นสัญลักษณ์ของความสวยงาม แต่เรื่องจริงต่างมีคนจำนวนไม่น้อยที่เกิดริ้วรอย บาดแผลซึ่งเล็กใหญ่แตกต่างกันออกไปจากการที่ได้เข้ามาสัมผัสกับคำๆ นี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่พยายามจะนิยาม จำกัด คาดหวัง หรือโยงใยให้รักไปผูกพันยึดโยงกับความหมายของคำอื่นๆ โอกาสที่ริ้วรอย บาดแผลที่ว่าจะเกิดย่อมง่ายขึ้น

ที่ทำให้ผมเกิดความลังเลกับชีวิต นอกจากข้อครุ่นคิดที่ว่ามนุษย์เกิดมาทำไมแล้ว? ก็มีเรื่องของความรักนี่แหละครับ

จริงหรือที่ว่า คำๆ นี้มันสำคัญจริงๆ จนจำเป็นที่จะต้องเก็บเอาไว้เอ่ยเฉพาะกับคนบางคน หรือเวลาบางเวลาที่เราคิดว่าพิเศษและสำคัญเท่านั้น?

จริงหรือที่ว่าคนส่วนใหญ่ที่ชอบออกปากใช้คำว่ารักอย่างพร่ำเพรื่อเป็นไปได้สูงเหลือเกินที่ว่าคนๆ นั้นจะไม่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงของมัน?

รักคืออะไร? เกิดมาลืมตาดูโลก 30 กว่าปี ผมรับรู้ความหมายของคำว่ารักทั้งที่คนอื่นเล่าให้ฟัง และที่ตนเองเข้าใจเอาเองมากมาย

ตามพจนานุกรมฉบับมติชน 2547 หน้า 732 ระบุความหมายของคำว่า "รัก" ตามการทำหน้าที่คำกริยาไว้เพียง 3 ความหมายเท่านั้น คือ ชอบ ใคร่ และ มีใจผูกพัน แต่ถ้าถามคนร้อยคนผมว่าโอกาสที่จะได้ 100 ความหมายก็มีความเป็นไปได้

ที่เป็นที่นิยมก็อย่างเช่น รักคือการเสียสละ รักคือการให้ รักคือความเข้าใจ แต่ถ้าเป็นคนที่ดื่มเนสกาแฟก็ต้องร้องเป็นเพลง "คำๆ" นี้ของออโต้บาห์น ว่า..."รัก" คือคำๆ นี้ รักคือการอดทนทุกอย่าง จริงใจให้กัน ดั่งดวงตะวัน ที่ยังยั่งยืนคู่ฟ้า ความรักจึงบังเกิดมา ให้เป็นภาษาทางใจ...ให้ไว้เพื่อช่วยนำทาง...."รัก" คือความเข้าใจ รักคือการอภัยทุกอย่าง อภัยให้กัน ... "รัก" คือเธอและฉัน รักคือความผูกพันยิ่งใหญ่ และอีกมากมายสารพัดรัก

แต่ที่โดนใจมากสุดเป็นคำของวัยรุ่นที่ชอบพูดกันเมื่อ 10 กว่าปีก่อนพูดกัน (ก็ยุคผมนั่นแหละ) นั่นคือ "รักกินไม่ได้แต่เท่ห์" (ดัดแปลงมาจากคำโฆษณาสรรพคุณโรลออนยี่ห้อหนึ่ง)

โดยเฉพาะสมัยที่บ้านเรามีมิวสิกวิดีโอที่เป็นเพลงรักออกมามากมายกองพะเนินท่วมหัวเช่นนี้ ลองสังเกตดูเถอะ ไม่ว่าจะเป็นรักที่ผิดหวัง รักที่สมหวัง ยิ่งดูเราก็จะยิ่งรู้สึกว่าทำไมพระเอก - นางเอก เค้าถึงได้เท่ห์เอาเสียเหลือเกิน แต่ละช็อตแต่ละซีนที่ออกมานี่มันโดนใจจนอยากจะเข้าไปเป็นคนๆ นั้นเอาซะจริงๆ

จริงอยู่ที่ว่าความรักอาจจะเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย แต่ผมว่าเราน่าจะรู้สึกได้

ใครหลายคนเจอะเจอหน้าคนที่ถูกใจเพียงครั้งแรกก็คิดแล้วว่านั่นแหละคือความรู้สึกที่เรียกว่ารัก, ใครหลายคนอาจจะรู้จักกับความรู้สึกที่ว่าระหว่างที่ได้ลองคบกับใครสักคนหนึ่ง, ใครต่อใครอีกหลายคนได้รู้จักกับความรู้สึกนี้หลังเลิกกับแฟน, ใครต่อใครอีกหลายคนอาจจะย้อนกลับไปเกิดความรู้สึกที่ว่าหลังผ่านมันมานานแล้วหลายสิบปี

ใครหลายคนมักจะเอาประสบการณ์ที่คิดว่าเป็นความรักของตนเองไปตีความให้กับคนอื่น, ใครหลายคนก็ยอมโกหกตัวเองเพียงเพื่อให้รู้สึกว่าคนอื่นกำลังเกิดความรู้สึกรักตนเอง, ใครหลายคนเอาเหตุผลมาเป็นที่ตั้งในการพัฒนาอารมณ์ไปสู่ความรู้สึกที่ตนเองเรียกว่าความรัก ในขณะที่มีคนไม่น้อยทีเดียวที่ขอเอาอารมณ์และความรู้สึกมาอยู่เหนือเหตุผลเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตนเองเรียกว่ารัก ฯลฯ

แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะอย่างไร ทว่าในความงดงามอย่างหนึ่งของความรักตามทรรศนะของผมก็คือ โดยตัวของมันเองไม่เคยจะมีคำว่า "ผิด" ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครและสถานะใดก็ตาม

หากแต่การ "จัดการ" อย่างไรต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นนั่นแหละที่อาจจะมีความผิดตามมาทั้งในแง่ของศีลธรรม หรือแม้กระทั่งกฏหมาย เนื่องจากเอาเข้าจริงๆ เราไม่อาจจะคาดเดาได้เลยว่า เมื่อเรารู้สึกว่าได้เกิดมันขึ้นมาแล้วบทสรุปของมันจะลงเอยอย่างไร?

ตัวอย่างนี้ผมขอยกจากเหตุผลที่ทำให้ผมชื่นชอบเพลง "อกหัก" ของ "Bodyslam" ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นพัฒนาการต่อเนื่องที่เป็นคำตอบจากคำถามที่ถูกถามไว้ในท่อนหนึ่งของเพลง "ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ" อีกหนึ่งเพลงในอัลบั้มใหม่ของพวกเขานั่นเอง(เสียความรู้สึกนิดนึงก็ที่ตรงที่เพลงนี้ไปอยู่หลังเพลง "อกหัก" นั่นแหละ)

"สุดท้าย รักนั้นคืออะไรยิ่งฉันเรียนรู้มันมากแค่ไหน ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ..."

ท้ายที่สุด ผมว่าไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกครับ แม้ตัวเราเองอาจจะไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำๆ นี้

เรียนและรู้ที่จะอยู่กับมัน แล้วก็อย่าฝืนหากใจถ้าเราจะเกิดความรู้สึกที่ว่า

เหนื่อสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้ารู้สึกดีขึ้นมากับคำๆ นี้แล้ว จงอย่าพยายามพร่ำให้อีกฝ่ายฟัง แต่จงพยายามทำให้อีกฝ่ายได้รู้สึก(ดี)เช่นเดียวกับที่เรารู้สึกกับมันดีกว่า
...
หมายเหตุ :
ส่วนใหญ่ของข้อเขียนในวันนี้ดึงมาจากหัวข้อ "รักแท้มีได้หลายครั้ง?" ที่เขียนไว้ใน weblog ของเมเนเจอร์ ออนไลน์ (ใช้ชื่อว่า kainarak) ซึ่งผมเองไม่ได้เข้าไปเขียนมานานปีกว่าแล้วครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น