ถ้าจะนับว่า ปีเตอร์ แจ็คสัน ได้ทำให้เรื่องราวของ The Lord of the Rings เป็นที่โด่งดังในหมู่ผู้คนที่อยู่นอกเหนือโลกของวรรณกรรมให้ได้สัมผัสกับความยอดเยี่ยม มันก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชุบชีวิต Beowulf โคลงมหากาพย์ยุคโบราณให้กลับมาเป็นที่สนใจในโลกวรรณกรรมอีกครั้งหนึ่ง จากผลงานการศึกษาของเขาในบทความเรื่อง Beowulf: The Monsters and the Critics เมื่อปี 1936 ที่โต้แย้งแนวคิดที่ว่าเรื่องราวของ Beowulf มีคุณค่าแค่เพียงเรื่องราวของวีรบุรุษต่อสู้กับสัตว์ร้ายเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของงานวรรณกรรมของชาวแองโกล-แซกซ์ซอนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากงานของชาวกรีกและโรมันอย่างชัดเจน รวมไปถึงการลงลึกถึงบุคลิกของตัวละครเอกที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจมากกว่าภาพลักษณ์ของเทพเจ้า
Beowulf ถูกประพันธ์ขึ้นมาในประมาณช่วงศตวรรษที่ 7-10 เรื่องราววีรกรรมของ เบวูล์ฟ นักรบผู้ยิ่งใหญ่จากดินแดน กีทแลนด์ (ตอนใต้ของสวีเดนในปัจจุบัน) กับการต่อสู้อันเป็นตำนานของเขา 3 ครั้งกับ เกรนเดล ปีศาจร้ายที่ออกเข่นฆ่าชาวบ้านของเดนมาร์ค, มารดาของเกรนเดล (ไม่ปรากฏชื่อ) ที่ออกตามล้างแค้นเบวูล์ฟ และสงครามครั้งสุดท้ายของเขาที่บ้านเกิดกับ เจ้ามังกรยักษ์ (ไม่ปรากฏชื่อ)
ในฐานะตัวแทนของผลงานชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลือมาจากยุคสมัยแองโกล-แซกซ์ซอน (ชื่อเผ่าพันธุ์และภาษาอังกฤษโบราณ ใช้ในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 5-12 ก่อนจะรับเอาภาษาอังกฤษยุคกลางมาใช้ช่วงศตวรรษที่ 10-15 หลังจากรุกรานของพวกนอร์แมนจากฝรั่งเศสตอนเหนือ และเข้าสู่ภาษาอังกฤษยุคใหม่ศตวรรษที่ 15 นับจากยุคเพื่องฟูของผลงานของเชคสเปียร์ส) และมีชื่อเสียงในเรื่องความยาวของบทกลอนถึง 3,000 บรรทัด แต่กระนั้นสิ่งที่หลงเหลือมาจากการคัดลอกครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้มีผู้คนตีความที่มาของเรื่องราวต่างๆ ไปคนละทิศละทาง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำเรื่องราวที่แสนจะคลุมเครือที่ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อกว่าพันปีก่อนมาสร้างเป็นหนังให้คนดูยุคนี้สนใจได้ง่าย
โดยเฉพาะหลังจาก The Lord of the Rings เป็นต้นมา หนังที่มาพร้อมกับหน้าหนังการสู้รบในยุคโบราณต่างไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้อย่างที่คาดไว้ทั้งสิ้น
แต่ในการนำมาขึ้นจอใหญ่ครั้งนี้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังโปรเจ็คท์ดังกล่าวได้แก่ยอดผู้กำกับ โรเบิร์ต เซเมคิส ที่ดูเหมือนจะติดใจกับเทคนิคการนำ Live-Action ของนักแสดงจริงๆ มาผสมกับการ Performance - Capture ให้ออกมาในรูปของแอนิเมชั่น ที่สร้างชื่อให้กับเขามาแล้วจากผลงานเรื่องที่แล้วอย่าง The Polar Express เมื่อ 3 ปีก่อน
โดยผู้ที่มารับบทเป็น เบวูล์ฟ ครั้งนี้ถ้าดูจากรูปร่างหน้าตาหลายคนอาจจะนึกไปถึง ฌอน บีน นักแสดงอังกฤษที่เคยเล่นเป็นโบโรเมียร์ในเรื่องสงครามแหวนครองพิภพ แต่จริงๆ แล้วเขาคือ เรย์ วินสโตน นักแสดงร่างท้วมชาวอังกฤษ ที่แฟนๆ อาจจะคุ้นตาเขาจากบทมือขวาของ แจ๊ค นิโคลสันจากเรื่อง The Departed นั่นเอง โดยโคลงหน้าที่ได้มาเป็นแบบของเบวูล์ฟก็เป็นจิตนาการของผู้สร้างถึงตัวเขาในวัย 18 ปีนั่นเอง
ขณะที่นักแสดงชายรายอื่นๆ นั้นหลายคนที่มีชื่อเสียงและเจนจัดกับการแสดงในงานประเภทนี้ ทั้ง แอนโทนี ฮ็อพกินส์ ในบทกษัตริย์รอธการ์ผู้เต็มไปด้วยความลับ, จอห์น มัลโควิช ในบทอันเฟิร์ธ ผู้ที่จับตาดูการเคลื่อนไหวของเบวูล์ฟทุกฝีก้าว, เบรนแดน กลีสัน ในบทวิกลัฟนักรบผู้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเบวูล์ฟ และ คริสปิน โกลเวอร์ ในบทเกรนเดล อมนุษย์ในตำนาน ที่เรื่องนี้เขาสร้างความโดดเด่นให้กับตัวละครด้วยการพูดเป็นภาษาแองโกล-แซกซ์ซอนทั้งหมด
ส่วนนักแสดงหญิงในเรื่องนี้อาจจะเรียกร้องความสนใจของคนดูได้มากกว่าเสียอีก ทั้ง โรบิน ไรท์ เพนน์ ในบทราชินีผู้เลอโฉม เวลโธว์ ที่การแสดงของเธอผสานกับเทคนิค Performance - Capture ได้สร้างตัวละครราชินีที่น่าหลงใหลที่สุดในโลกภาพยนตร์ขึ้นมา เช่นเดียวกับ แองเจลินา โจลี ในบทมารดาของเกรนเดล ที่เทคนิคการสร้างของเซเมคิสเปิดโอกาสให้เราได้เห็นส่วนสัดทุกอย่างของดาราหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดในโลกบนจอภาพยนตร์ได้อย่างเต็มๆ ตา
เทคนิคที่พัฒนาขึ้นจาก The Polar Express ที่ถ่ายทอดออกมาได้เข้ากับบรรยากาศนิยายโบราณ ทำให้คนที่คิดว่าอยากจะเห็นในฉบับคนจริงๆ (ซะที) อาจจะเปลี่ยนใจแล้วหันมาชอบการทำหนังสไตล์นี้ของเซเมคิสเข้าก็ได้
แต่หัวใจสำคัญสำหรับการนำเสนอเรื่องราวครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความท้าทายในการดัดแปลงบท ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของ นีล กายแมน และ โรเจอร์ อวารี ที่พยายามเชื่อมโยงเรื่องราวต้นฉบับที่ดูจะเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป ให้มีเหตุมีผลเชื่อมโยงกันได้อย่างวิเศษ
จากเรื่องราวที่กล่าวถึงวีรกรรมในการต่อสู้ของเบวูล์ฟทั้ง 3 ครั้งที่ดูไม่มีจุดเชื่อมโยงอะไรกันมากนัก นอกจากความยอดเยี่ยมในฝีมือการรบของเบวูล์ฟในช่วงชีวิตที่แตกต่างกันในวัยหนุ่มและวัยชราของเขา ทั้งกายแมนและอวารีพยายามหาช่องอากาศของเรื่องราวเพื่อจะใส่จุดเชื่อมโยงของเหตุการณ์ต่างๆ ลงไปให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมทั้งใส่ความลึกเข้าไปในบุคลิกและเจตจำนงของตัวละครแต่ละตัวได้อย่างมีมิติ ทำให้เกิดเรื่องราวที่สดใหม่ ที่แม้จะต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเนื้อหาในต้นฉบับ แต่ก็เป็นความพยายามในการพัฒนาบทเดิมที่มีอยู่ในมือไปสู่สิ่งที่ท้าทายกว่าได้อย่างน่าสนใจ แม้การเชื่อมโยงทั้งหมดที่กระจุกอยู่ในวงแคบๆ บางครั้งอาจจะมองได้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญไม่ต่างจากละครน้ำเน่าไปบ้างก็ตาม
ทำให้จุดศูนย์กลางของเรื่องนี้ได้เปลี่ยนไปจากตัวเบวูล์ฟ(ผู้ถูกกระทำ) ไปสู่ตัวละครอย่างมารดาของเกรนเดล(ผู้กระทำ)แทน เธอถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นตัวแทนของความยั่วยวนที่ทดสอบระดับกิเลศและความโลภของมนุษย์ ซึ่งในเรื่องนี้เราจะเห็นการทดสอบนี้กับตัวละคร 3 ตัว ซึ่งผลที่ออกมาก็แตกต่างกันไป กษัตริย์รอธการ์ จบการทดสอบด้วยฝีมือของผู้อื่น ส่วน เบวูล์ฟ ที่ถลำลึกไปกับมันก่อนหน้านั้นจำเป็นต้องยุติเรื่องทั้งหมดด้วยมือของเขาเอง
อีกตัวละครที่น่าสนใจของเรื่องนี้ได้แก่ วิกลัฟ ซึ่งในฉบับดั้งเดิมนั้นเขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเบวูล์ฟกับมังกรยักษ์ แต่เรื่องนี้บทของเขาได้ถูกพัฒนาเป็นทหารเอกที่ออกรบเคียงคู่กับเบวูล์ฟมาตั้งแต่แรกเริ่มจนสงครามสุดท้ายของเขา แต่ที่ชัดเจนกว่าก็คือตลอดชีวิตอันรุ่งโรจน์ของเบวูล์ฟ เขาเป็นคนที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน และมากพอที่จะทำให้เขาคาดการณ์ได้ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเขาได้ในอนาคต เป็นการคำนวณกิเลสของตัวเองเพื่อให้รอดพ้นจากวงจรวงจรอุบาทว์ (หรือเป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาอาจไปทำข้อตกลงลับๆ กับมันไปเสียก่อนแล้ว?)
ทุกครั้งที่เอาเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้นมาเป็นร้อยๆ พันๆ ปีมาพลิกอ่าน แม้ว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละยุคสมัยจะแตกต่างกันออกไป แต่หัวใจสำคัญของตัวละครทั้งหมดต่างยังคงวนเวียนอยู่กับกิเลสและความโลภของมนุษย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
การ์ตูนของผู้ใหญ่
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเราได้เห็นหนังที่ทำออกมาให้คล้ายการ์ตูนอย่าง 300 กันไปแล้ว ซึ่งการ์ตูนที่ทำออกมาให้คล้ายคนจริงๆ เรื่องนี้ก็มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องความรุนแรงของฉากต่อสู้ ขณะที่เรื่องแรกเป็นการละเลงเลือดของการพุ่งรบในสนามกันเป็นกลุ่ม เรื่องนี้เป็นสไตล์การต่อสู้แบบฮีโร่ตัวต่อตัว (บางลีลาทำให้นึกถึงเครโตส ผู้ยิ่งใหญ่ แห่ง God of War ได้ไม่ยาก) ที่มีความรุนแรงไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะฉากสังหารหมู่ของปีศาจเกรนเดลนั้นน่ากลัวมากๆ สำหรับหนังเรท PG-13 (ขณะที่ 300 ได้เรท R)
อีกเรื่องก็คือความล่อแหลมด้านภาพที่ยั่วยุทางเพศที่มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง ทั้งร่องอกของสาวใช้ที่เน้นสุดๆ, การล่อนจ้อนของเบวูล์ฟระหว่างการต่อสู้กับเกรนเดลที่หวาดเสียวมากๆ (ใช้เทคนิคเอาไอ้โน่นไอ้นี่บังของลับเหมือนที่เคยใช้ในเรื่อง Austin Power) และที่เด่นชัดที่สุดก็คือ แองเจลินา โจลี (ที่รายละเอียดทั้งใบหน้าและรูปร่างแทบจะไม่มีข้อแตกต่างจากตัวจริงเลย) กับฉากการปรากฏตัวที่เห็นหมดทั้งเรือนร่าง(จริงๆ)
ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะเรียกได้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้เหมาะสมที่จะเป็นความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่มากกว่าจะให้เด็กๆ ได้ชื่นชมมันอย่างเหมาะสม
ประสบการณ์ 3 มิติสมบูรณ์แบบ
Beowulf เป็นเรื่องแรกสำหรับผู้เขียนที่ได้ชมภาพยนตร์แบบ 3 มิติตลอดทั้งเรื่อง หนังจากที่ก่อนหน้านี้ต้องเอาแว่น 3 มิติสวมๆ ถอนๆ ใน Superman Return เมื่อปีที่แล้ว แต่เรื่องนี้ในระบบ 3 มิติเราสามารถดูมันได้ในแบบ 3 มิติตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นประสบการณ์การดูหนังที่วิเศษมาก ภาพที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะเอื้อมมือไปสัมผัสได้จริงๆ เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่หลังจากดูไปซักพักเราก็เริ่มชินกับภาพดังกล่าว นอกจากต้องเตือนตัวเองให้นั่งตัวตรงเสมอเพื่อให้ภาพที่ออกมาสมจริง(ไม่เป็นภาพซ้อน) และอาจจะต้องถอดแว่นเป็นบางครั้งถ้ามีบทสนทนาที่ยาวๆ และสำคัญเนื่องจากตัวหนังสือที่มองเห็นจากแว่น(ซึ่งไม่ใช่ 3 มิติ)จะตัวเล็กมากๆ
จึงทำให้นึกได้ว่าการได้ดูหนัง 3 มิติจอใหญ่บางครั้งก็เหมือนกับการที่เราได้ดูจอทีวีที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งการที่เราได้ดูทีวีที่จอใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ เสมอไป นอกจากจะทำให้เราไม่สามารถกลับไปพอใจกับจอขนาดเดิมที่เราดูอย่างเคยชินได้อีกต่อไป
ซึ่งมันก็วนเวียนอยู่กับความโลภและกิเลสของคนเราอยู่นั่นเอง