ก่อนจะเป็น Linkin Park วงร็อกอันดับหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกขณะนี้ หลายคนที่เพิ่งติดตามผลงานในช่วงหลังอาจยังไม่ทราบประวัติความเป็นมาของพวกเขาทั้ง 6 คน งานนี้เรามาทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นก่อนเจอตัวจริงกันเลยดีกว่า
Linkin Park เริ่มต้นงานในวงการดนตรี ณ บริเวณโซนตะวันตกของย่าน San Fernando Valley ทางใต้ของแคลิฟอร์เนีย Mike Shinoda, Brad Delson และ Rob Bourdon เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมที่โรงเรียน Agoura Hills หลังเรียนจบ Joseph Hahn และ Phoenix ก็ได้เข้าร่วมวง และตั้งชื่อวงว่า Xero ซึ่งต่อมาเมื่อทำอัลบั้ม Hybrid Theory ก็ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกวง1คน และในท้ายที่สุด Chester Bennington ก็ได้เข้ามาเป็นนักร้องนำและก็เปลี่ยนชื่อวงเป็น Linkin Park ที่ทุกคนรู้จักกันในตอนนี้ นอกจากนั้นชื่อวงยังเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อเหน็บแนมสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเมือง Santa Monica รัฐ California อีกด้วย
หลังจากการเซ็นสัญญากับ Warner Bros. Records พวกเขาได้ออกอัลบั้ม Hybrid Theory ในเดือนตุลาคม 2545 อัลบั้มนี้พูดถึงความผิดหวัง ความโกรธ ความกลัวและความสับสนของคนหนุ่มสาว อัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Rolling Stone ว่า "เป็นอัลบั้มเพลง 12 เพลงในแนวผสมผสานระหว่างอัลเทอร์เนทีฟ เมธัล ฮิปฮอป และศิลปะแหวกแนว" เพลงของอัลบั้มนี้ติดอันดับเพลงฮิต 3 เพลง หนึ่งในนั้นคือเพลง In The End นอกจากนั้นพวกเขายังได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Hard Rock Performance สำหรับเพลง Crawling ในปี 2545 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสาขา Best Rock Album และสาขา Best New Artist อีกด้วย
หลังจากออกอัลบั้มที่ 2 Reanimation ซึ่งเป็นอัลบั้มรีมิกซ์ที่พวกเขาได้ร่วมงานกับศิลปินมากมายอย่าง Black Thought, Jonathan Davis และคนอื่นๆนั้น อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จติดอันดับ 2 บนชาร์ต 200 ของ Billboard
Linkin Park ต้องใช้ความพยายามเพื่อผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากในช่วงทำอัลบั้มที่ 3 Meteora ซึ่งวางแผงในเดือนมีนาคม 2546 อัลบั้มนี้มีแนวดนตรีที่หลากหลายมากกว่าอัลบั้มก่อนๆของพวกเขา มันเป็นแนวเพลงหลากหลายทั้งที่เน้นเสียงกีตาร์ อย่างเพลง Somewhere I Belong จนกระทั่งแนวสตริงผสมผสานกับเปียโน อย่างเพลง Breaking The Habit ไปจนกระทั่งเพลงที่มีจังหวะซับซ้อน อย่างเพลง Easier To Run ซึ่งต้องขอยกความดีความชอบให้กับพลังเสียงของ Bennington และ Shinoda
และช่วงปลายปี 2547 อัลบั้ม Collision Course ก็ได้ออกวางแผงซึ่งยังคงเป็นอัลบั้มที่มีการร่วมงานกับศิลปินอื่นๆอีกครั้งหนึ่ง ภายในอัลบั้มมีเพลงของวง 7 เพลงและเพลงของ Jay-Z อีก 6 เพลง อัลบั้มนี้ได้รับรางวัล Grammy ในเพลง Numb/Encore ด้วย
Linkin Park ออก DVDบันทึกภาพงาน Frat Party at the Pankake Festival ในเดือน พฤศจิกายน 2546 และหลังจากนั้นทางวงก็ออก DVD การแสดง Linkin Park Live In Texas ซึ่งถูกบันทึกภาพระหว่างการทัวร์คอนเสิร์ตกับวง Metallica และหลังจากนั้นก็มี DVD ออกมาอีกรวมทั้ง Breaking the Habit, Collision Course และ Live 8 นอกจากจัดทัวร์คอนเสิร์ต Project Revolution ร่วมกับศิลปินอื่นๆเช่น Korn และ Snoop Dogg (โดยคอนเสิร์ตนี้กลายเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่บัตรขายดีที่สุดในปี 2547) แล้วนั้นวง Linkin Park ยังก่อตั้งองค์กรการกุศล Music for Relief ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ชึ่งองค์กรของพวกเขาได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในประเทศไทยเมื่อปี 2547ด้วย
ปี 2548 Mike Shinoda ได้ออกอัลบั้มฮิปฮอปที่เป็นไซด์โปรเจ็กต์ของเขาเองภายใต้ชื่อว่า Fort Minor (ฟอร์ท ไมเนอร์) เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2005 กับค่าย แมชชีน ช็อป เรคคอร์ดดิงส์ (Machine Shop Recordings) / วอนเนอร์ บราเทอร์ เรค คอร์ด (Warner Bros. Records) ที่ Linkin Park เป็นเจ้าของ
อัลบั้มนี้ชื่อว่า The Rising Tied (เดอะ ไรซิง ไทด์) อำนวยการผลิตโดย Jay-Z (เจย์ ซี) และมีนักร้องรับเชิญจากศิลปินชื่อดังอีกหลายคน เช่น แบล็ค ตอทท์ (Black Thought) ดีเจ โจ ฮาน (Joe Hahn) จาก Linkin Park และศิลปินในค่ายแมชชีน ช็อป อย่าง Styles of Beyond และ Holly Brook โดย Mike เป็นโปรดิวเซอร์เองซึ่งไม่เพียงแต่เขียนเพลงเองทุกเพลงเท่านั้น แต่ยังเล่นดนตรีเองเกือบทุกชิ้นอีกด้วย และเดือนกุมภาพันธ์ 2549 Fort Minor เดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตในประเทศไทยพร้อมกับศิลปินแร็พชื่อดัง 50 Cent
ปี 2550 หลังจากปล่อยให้แฟนเพลงต้องรอคอยถึง 4 ปี ในที่สุด Linkin Park ออกอัลบั้มชุดที่ 4 Minutes To Midnight (มีนิทส์ ทู มิดไนท์) โปรดิวซ์โดยตำนานอย่าง Rick Rubin และนักร้องนำของวง Mike Shinoda ซึ่งใช้เวลาถึง 14 เดือนในการเขียนเพลงและบันทึกเสียง ขั้นตอนการทำงานที่ละเอียดถี่ถ้วนนี้ทำให้มีการอัดเพลงแบบคราวๆมากกว่า 100 เพลง single แรกของอัลบั้ม What I’ve Done สามารถเปิดตัวได้ในอันดับ 1 ในชาร์ทเพลง Alternative และอันดับ 3 ในชาร์ท Active
ชื่ออัลบั้มนี้ได้มาจาก ซึ่งเป็นนาฬิกาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยเหล่านักวิทยาศาสตร์จาก ในมหาวิทยาลัย การสร้างนาฬิกานี้มีจุดประสงค์เพื่อถ่ายทอดให้เห็นภาพว่าโลกของเราใกล้แค่ไหน (โดยใช้ “นาที” ในจินตนาการเป็นหน่วยวัด) กับการจะถูกทำลายโดยนิวเคลียร์ ทำลายล้าง (แทนด้วยช่วงเวลาเที่ยงคืน) ตอนแรกเข็มของนาฬิกาถูกตั้งไว้ที่อีก 7 นาทีเที่ยงคืน (11.53) ในช่วงเริ่มต้นสงครามเย็นในปี 2490 และหลังจากนั้นเข็มนาฬิกาถูกเลื่อนไปข้างหน้าอีกหลายครั้ง ตอนนี้เข็มนาฬิกาถูกเลื่อนไปอยู่ที่ 5 นาทีก่อนเที่ยงคืน (11.55) นอกจากเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ ยังได้พูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่ออัลบั้มว่า “อย่าดูเพียงความหมายที่คุณเห็น ความหมายของมันมีหลายชั้น ส่วนใหญ่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบ... มันอาจจะหมายถึง การอุปมาเปรียบเทียบความตายและการเกิดใหม่ แต่มันอาจจะใช้กับธุรกิจดนตรีก็ได้ ถ้าเปรียบเปรยแบบเล่นๆ”
อัลบั้ม Minutes to Midnight ได้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาอันมีค่ามากขึ้นในอัลบั้มนี้ ดังจะเห็นได้จากเพลง Given Up ซึ่งรวมกีตาร์พั้งค์ เข้ากับเสียงคนปรบมือ และซาวนด์เอฟเฟ็กต์มากมาย เช่น คีย์ จิงกลิง หรือในเพลง In Pieces ซึ่งเปิดเพลงด้วยเสียงลูปของบีทและคีย์บอร์ด ตามติดด้วยกีตาร์สแต็คคาโต และปิดท้ายด้วยกีตาร์โซโลบลิซเทอริง ส่วนเพลง Shadow of the Day อันโศกเศร้า ก็นำเสนอความรู้สึกของคนที่เผชิญกับความระทมทุกข์ด้วยเสียงกีตาร์อันธรรมดาแต่ค่อยๆดังขึ้นทีละนิด และสุดท้าย เพลง Leave Out All the Rest เล่าถึงการวิงวอนเพื่อนหรืออาจจะเป็นคนรักให้เก็บเราไว้ในความทรงจำเมื่อเขาต้องจากเราไป เพลงนี้ได้เสียงร้องนำของ Chester Bennington อันหวานซึ้งมาขับกล่อมด้วย
และเนื่องจาก Linkin Park กลัวว่าแฟนเพลงจะคิดไปว่าอารมณ์ของเพลงในอัลบั้มนี้จะหนักไปทั้งหมด Linkin Park ก็เลยใส่ความมีชีวิตชีวา และสีสันอันเต็มเปี่ยมลงไปในเพลงอย่าง Bleed It Out โดยได้พลังของกีตาร์และเบสที่มีกลิ่นอายเพลงร็อค, เปียโนบลูส์, โรดเฮ้าส์, กลองสไตล์โมทาวน์ และ ท่อนแร็พหยาบกร้านเข้าไปผสมเพิ่มความลงตัวด้วย