หนังประเภทหนึ่งซึ่งถ้าเลี่ยงได้ ดิฉันเป็นต้องเลี่ยง ถ้าเลือกได้ เป็นต้องเลือกไม่ดู – ก็คือ หนังที่มีคนแก่เป็นตัวเอก
เหตุผลตื้นเขินของดิฉันก็คือ ‘หนังคนแก่’ ในการรับรู้ของดิฉันนั้น ไม่ว่าท้ายที่สุดจะมีบทสรุปลงเอยที่งดงามประทับใจเท่าใด ทว่าระหว่างทางมักเป็นที่คาดหมายได้ว่าจะต้องมีเรื่องราวหดหู่ ชวนสะเทือนใจ จำพวก ถูกลูกหลานละเลย โรคร้ายรุมเร้า พลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และอีกสารพัดสารพัน
จริงอยู่ เหตุการณ์พรรค์นี้ ไม่ว่าเกิดกับคนวัยใดก็ล้วนแต่ชวนให้สะเทือนใจตามทั้งนั้น แต่เมื่อเกิดกับคนแก่ สำหรับดิฉัน พบว่ามันยิ่งสะเทือนใจหนัก
คนเรากว่าจะเดินทางถึงวัยดังกล่าว ต้องผ่านและพบช่วงลุ่มดอนขรุขระมาแล้วคนละไม่น้อย บนเส้นทางหลังโค้งสุดท้ายก่อนรถจอดแน่นิ่งเทียบป้าย จึงไม่น่าที่ใครจะต้องเผชิญวิบากกรรมชีวิตใดๆ กันอีกต่อไป แต่มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตได้สัมผัสความรื่นรมย์เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อจะอำลาจากกันไปพร้อมความสุขและรอยยิ้ม
ดิฉันได้ดีวีดี The Straight Story มาแล้วพักใหญ่ แต่ที่หลบเลี่ยงและรีรอจนกระทั่งป่านนี้ ก็ด้วยเหตุผลอย่างที่ว่าไป
หนังสร้างจากเรื่องจริงของ อัลวิน สเตรท ชายชราวัย 73 ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวที่มีความผิดปรกติทางบุคลิกภาพบางประการ ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในไอโอวา
สุขภาพของอัลวินไม่สู้จะดีนัก ในฉากเปิดเรื่อง เขาล้มตึงภายในบ้านพักและไม่สามารถลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ ต้องนอนรออยู่กับพื้นเป็นเวลานับชั่วโมงจนกระทั่งเพื่อนกับลูกสาวมาพบเข้าจึงช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นด้วยความลำบากลำบน
ในเวลาต่อมา ผู้ชมได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า สภาพร่างกายของอัลวินนั้น แท้จริงแล้วเสื่อมทรุดเสียยิ่งกว่าภาพที่เห็น สะโพกของเขาไม่ดี ส่งผลให้ไม่สามารถยืนนิ่งเป็นเวลานานได้ หรือหากจะเดินเหิน ก็ต้องใช้ไม้เท้าถึง 2 อันค้ำยันรับน้ำหนักแทน นอกจากนั้นปอดของอัลวินก็ยังไม่แข็งแรงเหมือนเดิม หมอเตือนให้เขาเลิกสูบซิการ์ แต่ตาเฒ่าหัวดื้ออย่างอัลวินก็ไม่อินังขังขอบต่อคำเตือนดังกล่าวนัก ส่วนสายตายิ่งไม่ต้องพูดถึง อัลวินไม่สามารถมองโลกได้กระจ่างชัดมาแล้วตั้งนานนม และนับวัน ดวงตาคู่นั้นก็ยิ่งย่ำแย่ฝ้าฟางมากขึ้นทุกที
เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในวันหนึ่งเมื่ออัลวินได้รับข่าวว่า ไลล์ พี่ชายของเขาซึ่งอาศัยอยู่ในเขตเมาน์ท ไซออน ห่างออกไป 300 กว่าไมล์ ล้มป่วยขนาดหนัก
พี่น้องคู่นี้มีปากเสียงถึงขั้นไม่ยอมพูดจาและพบหน้ากันมานานกว่า 10 ปี แต่วันนั้นหลังจากรู้ข่าว อัลวินกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่า เขาจะเดินทางไปหาพี่ชาย
แน่นอน ผู้ชมรู้ ตัวอัลวินเองก็รู้ ว่านั่นอาจเป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย
ปัญหาก็คือ อัลวินจะเดินทางไปถึงเมาน์ท ไซออน ได้อย่างไร
ดวงตาที่ฝ้าฟางขนาดหนักทำให้อัลวินไม่สามารถทำใบอนุญาตขับขี่ได้ ครั้นจะพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ก็ใช่ว่าจะสะดวกง่ายดาย ที่สำคัญ อัลวินเองก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจจะทำเช่นนั้นเท่าใดนัก
หลังจากคิดอ่านอย่างรอบคอบ อัลวินจึงตัดสินใจเดินทางด้วยวิธีการเหนือความคาดฝันของทุกคน
เขาดัดแปลงรถตัดหญ้าชำรุดทรุดโทรมให้เป็นรถเทรเลอร์ นำวัสดุอุปกรณ์สารพัดมาต่อเติมทำเป็นตู้เพื่อสามารถเก็บของและใช้เป็นที่นอน ติดล้อให้มันเสีย แล้วจัดแจงนำมันเชื่อมเข้ากับรถตัดหญ้าเก่าคร่ำคันนั้น
แน่นอน ไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดบ้าระห่ำของอัลวิน
ร่างกายชำรุดปานนั้น พาหนะทรุดโทรมปานนั้น หนทางยาวไกลต้องผ่านทั้งถนนใหญ่และเล็ก ระหกระเหินขึ้นและลงเขาอย่างนั้น สำหรับทุกคน นี่มันแทบไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลยสักนิด
อัลวินน้อมรับคำตักเตือนและแนะนำของทุกคนด้วยความขอบคุณ แต่ยังยืนกรานที่จะทำตามที่คิดไว้
บางคนอาจมองว่ามันเป็นเพียงอาการดื้อดึงของตาเฒ่าหัวรั้นเอาแต่ใจ
ทว่าอัลวินเท่านั้นที่รู้ว่า การเดินทางครั้งนี้มีเหตุผลเบื้องหลังและมีความหมายยิ่งกว่านั้นมากมายนัก...
The Straight Story เป็นผลงานกำกับของ เดวิด ลินช์ ออกฉายเมื่อปี 1999 เสียงส่วนใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่า มันเป็นหนังซึ่ง ‘ไม่เป็นเดวิด ลินช์ มากที่สุด’
เหตุเพราะหนังเด่นๆ โดยมากของเดวิด ลินช์ (Blue Velvet, Lost Highway, Twin Peaks: Fire Walk with Me, Mulholland Drive) ล้วนแล้วแต่มีบรรยากาศลึกลับ มืดหม่น หลอนประสาท คาดเดาไม่ได้ ตัวละครในหนังมักพบตัวเองอยู่ในโลกประหลาด กึ่งจริง-กึ่งฝัน และพวกเขา –รวมทั้งผู้ชม- ก็แยกแยะแทบไม่ได้ว่าอันไหนคือจริงและสิ่งไหนเป็นฝันกันแน่ (เหตุการณ์ประเภท ตัวละครหลุดไปอยู่ในห้องหับพิลึกพิกลอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หรือจู่ๆ ก็มีคนแคระโผล่ออกมาทำอะไรพิลึกๆ หรือไม่เช่นนั้นก็มีผู้ชายหน้าขาววอก ดูน่ากลัวปนน่าตลก เดี๋ยวผลุบไป เดี๋ยวโผล่มาอย่างลึกลับ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้เสมอในหนังของลินช์)
กล่าวอย่างรวบรัดก็คือ หนังของเดวิด ลินช์ ส่วนใหญ่ เป็นหนังซึ่งผู้ชมดูแล้วรู้สึก ‘พิศวง’ และ ‘งงงวย’ เป็นยิ่งนัก
แต่ The Straight Story กลับไม่มีลักษณะทั้งหมดที่ว่ามาอยู่เลย
ลินช์เลือกที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยวิธีการที่เรียบง่ายแสนธรรมดา (อดีตของอัลวินได้รับการบอกเล่าผ่านบทสนทนาระหว่างเขากับผู้คนที่พบเจอระหว่างทาง) เรียงตามลำดับเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ใช้ลีลายอกย้อน ไม่มีลูกเล่นฉึบฉับหวือหวา ทั้งยังไม่มีสัญลักษณ์ชวนพิศวงหรือมนุษย์ประหลาดใดๆ มาเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ชม
ตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมง สิ่งเดียวที่หนังให้ความสำคัญ ก็คือ เรื่องของตาเฒ่าอัลวิน กับการเดินทางครั้งนั้นเท่านั้น
ระหว่างดูหนัง ดิฉันเกิดความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน
แรกสุด ดิฉันพบว่ามีเรื่องให้ต้องลุ้นอยู่หลายอย่าง เป็นต้นว่า รถตัดหญ้าบุโรทั่งคันนั้น –ซึ่งดิฉันไปพบข้อมูลว่า คันที่อัลวิน สเตรท ตัวจริงใช้ในการเดินทางนั้น วิ่งได้เพียง 5 ไมล์ต่อชั่วโมง- จะตายลงเสียกลางทางหรือไม่? อัลวินที่หนังบอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าสุขภาพย่ำแย่เหลือเกิน จะประคองตัวรอดจนกระทั่งถึงที่หมายหรือเปล่า? เขาจะถูกสารพัดรถที่วิ่งกันขวักไขว่บนถนนชนเสียก่อนไหม? หรือหากอัลวินสามารถรอดพ้นจากสารพันอันตรายระหว่างทางไปได้ พี่ชายของเขาจะยังมีชีวิตอยู่ให้เขาได้พบหรือไม่?
ถัดมา ทั้งที่หนังไม่บีบคั้นหรือฟูมฟายเลยแม้แต่น้อย ดิฉันกลับพบว่ามันมีอารมณ์เศร้าสร้อยคุกรุ่นอยู่ลึกล้ำโดยตลอดทั้งเรื่อง
แน่นอน เนื้อเรื่องที่พูดถึงชายชราคนหนึ่งซึ่งมุ่งมั่นจะทำบางสิ่งทั้งที่รู้ว่ามันเกินตัว ชวนให้รู้สึกเช่นนั้นอยู่แล้วเป็นทุน แต่ขณะเดียวกัน ดิฉันเชื่อว่าปัจจัยเสริมสำคัญยังอยู่ที่ดนตรีประกอบของ อันเจโล บาดาลาเมนติ ที่เมื่อประกอบกับภาพชายชราบนรถตัดหญ้าวิ่งเอื่อยๆ กลางถนนทอดยาว มีทุ่งหญ้าเวิ้งว้างประกอบสองข้างทางแล้ว ให้ความรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
และหนังแทบไม่ต้องย้ำให้มากความ ทุกสิ่งทุกอย่างบอกให้ผู้ชมทราบตรงกันว่า ไม่ว่าท้ายที่สุดอัลวินจะทำสำเร็จหรือไม่ นี่จะเป็นการเดินทางไกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา
ประการสุดท้ายและเป็นประการสำคัญ ดิฉันพบว่า The Straight Story เป็นหนังที่มองโลกและชีวิตแบบคนที่เข้าใจอย่างยิ่ง
มีคำพูดของอัลวินหลายตอน ที่แม้จะไม่กรีดลึกจนถึงกับต้องยกให้เป็น ‘คำคม’ ทว่าก็ลึกซึ้งและน่าประทับใจ เช่น ตอนหนึ่ง เขาบอกเด็กสาวที่มีปัญหากับครอบครัวจนตัดสินใจหนีเตลิดออกจากบ้านมาร่อนเร่ตามท้องถนนว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร การได้นอนในห้องอุ่นๆ บนเตียงนุ่มๆ มีหลังคาบังแดดบังฝน มีคนที่ได้ชื่อว่าครอบครัวอยู่ใกล้ๆ ก็ยังดีกว่ามานั่งหนาวกับตาเฒ่าขาเป๋อย่างฉันไม่ใช่หรือ? ”
หรืออีกตอน เมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งถามอัลวินว่า สิ่งที่แย่ที่สุดในวัยชราคืออะไร? อัลวินตอบว่า “คือการที่ยังจำได้ว่า ชีวิตมันดีแค่ไหนเมื่ออยู่ในวัยอย่างเธอไงเล่า”
ผู้เฒ่าอย่างอัลวิน ผ่านบททดสอบชีวิตมาแล้วแทบจะทุกข้อ ทั้งความสุขที่ไม่ยั่งยืน ความทุกข์ที่บางขณะโถมเข้าใส่อย่างไม่หยุดหย่อน ความสูญเสีย การพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก เขาเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น ทว่าในบั้นปลายก็ยังพบว่า มีบทเรียนอย่างน้อยข้อหนึ่งซึ่งชีวิตจำต้องเรียนรู้ นั่นก็คือ ท้ายที่สุด จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้อยู่เคียงข้างกับผู้เป็นที่รัก...ณ วันที่ยังมีโอกาส
หนังไม่เคยบอกว่าอัลวินกับพี่ชายทะเลาะกันด้วยเรื่องใด ทั้งตัวอัลวินเองพูดแต่เพียงว่า “โทสะและความยะโส บวกเข้ากับฤทธิ์เหล้า ก็ทำให้พี่น้องคู่หนึ่งไม่แม้แต่จะมองหน้ากันเป็นเวลาถึง 10 ปี”
ชนวนเหตุในครั้งนั้นอาจใหญ่โต หรืออาจเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว ทว่าในระหว่างการเดินทางครั้งนั้น ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
และก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดอีกแล้วว่าใครเป็นฝ่ายผิด
รอยร้าวของพี่กับน้องได้รับการสมานนับตั้งแต่วันแรกที่อัลวินคิดจะออกเดินทาง
และบทเรียนชีวิตอีกข้อที่แม้อัลวินจะไม่เคยพูดออกมา แต่การกระทำทั้งหมดของเขาก็บอกให้ผู้ชมรู้
นั่นก็คือ ที่สุดแล้ว ชีวิตยังมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่และควรค่าแก่การใส่ใจมากกว่าอารมณ์วูบไหวส่วนตัว...