อย่างประจวบเหมาะ ในเวลา 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้และในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เราจะได้รับชมหนังที่เกี่ยวข้องกับรักร่วมเพศอย่างน้อยๆ 3 เรื่องด้วยกัน
ภาพยนตร์เรื่อง เพื่อน...กูรักมึงว่ะ ของผู้กำกับ คุณพจน์ อานนท์ ออกฉายและได้รับเสียงตอบรับ (ไม่ว่าดีหรือเลว) น้อยกว่าที่มันควรจะเป็น นอกจากงานถ่ายภาพของ คุณทิวา เมยไธสง ซึ่งสวยงามน่าหลงใหล องค์ประกอบอื่นๆ กลับดูเพ้อเจ้อไม่เข้าที่เข้าทาง ปัญหาอันหนักหน่วงของหนังก็คือ มันไม่สามารถทำให้คนดูเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอได้
ผู้กำกับแสดงให้เห็นว่าตนเอง “คิด” มาพอสมควร รายละเอียดที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ฉากเลิฟซีนในครั้งที่ 2 ของตัวละครเอก หลังจากไม่ได้พบหน้ากันมาสักระยะ หนังปล่อยให้ฝนเทกระหน่ำลงมา หรือฉากที่ อิฐ (ชัยวัฒน์ ทองแสง) ไปรอรับ เมฆ (รัตนบัลลังก์ โตสวัสดิ์) ออกจากเรือนจำฝนก็ตกเช่นเดียวกัน ฉากสุดท้ายนั้นดูประหลาดที่สุด เมื่อมีหิมะตกลงมาด้วย โดยคนดูไม่ได้รับการบอกกล่าวอย่างแน่ชัดว่า ตัวละครอยู่ในสถานที่ใดและในเวลาใด
แม้คุณภาพโดยรวมจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับหนังเรื่อง ผู้หญิง 5 บาป แต่การซื่อสัตย์ต่อรสนิยมของตัวเอง (ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมคุณพจน์ อานนท์มาก นอกเหนือจากนั้นหนังแนวดราม่าจริงจังของเขา ก็ไม่เคยปลอบประโลมโลกในแง่ดี ทั้งเพื่อน...กูรักมึงว่ะ หรืองานเก่า 18 ฝน คนอันตราย (2540) จบลงด้วยความตายอันหดหู่
เนื้อหาหลักๆ ของเพื่อน...กูรักมึงว่ะ นอกจากจะเกี่ยวกับรักร่วมเพศแล้ว หนังยังเล่นกับประเด็นโรคเอดส์ แม่และน้องชายของตัวละครหลัก ติดเชื้อร้ายมาจากพ่อเลี้ยง และต้องทนทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยคนจิตใจคับแคบ น่าเสียดายที่ประเด็นเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างแบนราบ และทื่อมะลื่อ
The Witnesses (Les Temoins) งานชิ้นใหม่ของผู้กำกับรุ่นใหญ่ชาวฝรั่งเศส – อองเดร เตชิเน กำลังจะลงโรงฉายให้ได้ดูกันในอีกไม่กี่วันนี้ เนื้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานของคุณพจน์ อานนท์อยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาย-ชาย และโรคเอดส์
ฉากหลังของหนังเกิดขึ้นในปี 1984 ยุคที่กระแสเสรีทางเพศจากปี 60-70 เริ่มจะซาๆ ลงบ้างแล้ว แต่การไปหาความสุขตามสุมทุมพุ่มไม้ของพวกไม้ป่าเดียวกัน ยังมีให้เห็นกันอยู่
เอเดรียง (มิเชล บลัง) นายแพทย์รุ่นใหญ่ได้พบกับ มานู (โยฮัน ลิเบโร) เด็กหนุ่มหน้าตาละอ่อนคนหนึ่งในสวนสาธารณะ พวกเขาไม่ได้มีเซ็กซ์กันในตอนแรก รวมถึงในตอนถัดๆ มา มานูเป็นคนมีเสน่ห์ น่ารัก ร่าเริง ไม่ได้เอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ ทั่วไป เอเดรียงหลงเขาจนถึงขั้นชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ เขาคิดกับเอเดรียงแค่เพื่อนเท่านั้น
มานูเพิ่งย้ายมาปารีสกับพี่สาวที่ตั้งใจมาสมัครเป็นนักร้องโอเปร่า (จูลี เดอปาดิเออ) ทั้งคู่เช่าห้องพักในโมเต็ลราคาถูก บนถนนที่เป็นซ่องโสเภณีทั้งย่าน เด็กหนุ่มพึงพอใจกับชีวิตอันไร้แก่นสารของตนเอง เขาสนุกที่ได้เจอกับเอเดรียง ได้ไปตากอากาศกับหมู่คนรวยซึ่งเขาไม่เคยได้คลุกคลี
ตัวละครในหนังของอองเดร เตชิเน ซับซ้อนเสมอ ระดับความนึกคิดและการแสดงออกไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว แต่กองทับกันวุ่นวาย ตัวละครที่มีอยู่ 5-6 คนในหนังเกี่ยวพันกันมากบ้างน้อยบ้าง แต่ทุกคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง
ตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งคือ ซาราห์ (เอมมานูแอล เบอาร์ต) เธออยู่ในฐานะคนเล่าเรื่องทั้งหมด แต่ความวุ่นวายในชีวิตของเธอก็มีไม่น้อย เธอเพิ่งเป็นคุณแม่มือใหม่ แต่ภารกิจที่สำคัญกว่าของเธอคือการเขียนนิยายให้จบสักเล่ม หลังจากเขียนนิทานสำหรับเด็กจนมีชื่อเสียงแล้ว
ภาระการเลี้ยงลูกจึงต้องตกอยู่กับ เมห์ดี (ซามี บัวชีลา) สามีตำรวจของเธอ เมห์ดีเป็นคนที่เคร่งอยู่ในกฎระเบียบ คนดูนึกไม่ถึงว่าท้ายที่สุด เขาจะไปมีความสัมพันธ์กับมานู
เวลาของความสุขดำรงอยู่ไม่นานนัก โรคเอดส์เข้ามาคุกคามมานูอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมๆ กับทั่วโลกซึ่งตื่นตระหนกกับเชื้อไวรัสแปลกประหลาด น่าสนใจที่แต่ละคนมีปฏิกิริยาต่อมานูแตกต่างกันออกไป
จูลี พี่สาวของมานูแสดงออกความรู้สึกเท่าที่เธอจะทำได้ แต่เธอก็ยอมรับว่ากังวลกับงานของตัวเองมากกว่า เมห์ดีกลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อเช่นกัน แม้เขาจะรักเด็กหนุ่มมาก เอเดรียงได้โอกาสแก้แค้นคนที่ทรยศเขา และหาโอกาสค้นคว้ายารักษาโรคอย่างมีความสุข ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้นอย่างซาราห์ เธอค่อยๆ เปิดตัวเองเพื่อสนใจชีวิต สิ่งรอบข้าง พินิจพิจารณากับมันอย่างเงียบๆ และนั่นเองคือองค์ประกอบสำคัญให้เธอเขียนนิยายจบ
แม้เรื่องโรคเอดส์จะถูกนำมาใช้เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ แต่สิ่งที่เตชิเนต้องการจะพูดจริงๆ กลับเป็นเรื่องความสัมพันธ์ทุกประเภท คำถามก็คือ สุดท้ายแล้วเราห่วงใยกันและกันได้ในระดับไหน เราจะสามารถห่วงและรักคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิต อย่างที่เราให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะได้หรือไม่
หนังแบ่งออกเป็น 3 บทด้วยกัน เริ่มต้นในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งเตชิเนตั้งชื่อบทว่า “สงคราม” ก่อนที่จะจบลงอย่างเสียดแทงหัวใจคนดู คือกลับมาที่ฤดูร้อนในอีกปีถัดมา ทุกคนไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศของซาราห์เหมือนเคย และยิ้มแย้มราวกับว่าไม่เคยผ่านมรสุมใดๆ มาก่อน
สมาชิกในการท่องเที่ยวมากันพร้อมหน้าพร้อมตา แม้กระทั่งตำแหน่งของมานู - ซึ่งในเวลานี้ได้ถูกแทนที่ด้วยเด็กหนุ่มอเมริกันหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งแล้วเรียบร้อย
Eternal Summer เป็นหนังเกย์จากไต้หวัน - ที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้ – ทำออกมาอย่างเรียบง่ายและกินใจ เนื้อเรื่องนั้นธรรมดามาก เด็กชาย 2 คนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความรัก แต่ในขณะที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะระคายระคายใดๆ เลย
ชื่อหนังอ้างถึงฤดูร้อน แต่ช่วงเวลาฤดูร้อนอันแสนสุขกินเวลาสั้นๆ ในหนัง เพราะหลังจากที่ตัวละครทราบว่าอะไรเป็นอะไร แต่จัดการกับปัญหาไม่ได้ โทนของหนังก็มืดลง ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของ Eternal Summer จึงเป็นฉากกลางคืนเสียเป็นส่วนมาก
ความไม่แน่ไม่นอนของธรรมชาติและฤดูกาลมีผลอย่างสูงต่อตัวละคร ในภาวะกระอักกระอ่วนของ 2 หนุ่ม เจิ้งสิง (จางจิ่วเจี้ย) และ เสี่ยวเหิง (จางเสี่ยวช่วน) ผู้กำกับ เลสเต้ เฉิน วางเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไทเปไว้ในฉากนี้อย่างพอดิบพอดี
คล้ายๆ กับ The Witnesses ถึงที่สุดแล้ว Eternal Summer ก็ไม่ได้ตั้งใจเน้นไปที่เรื่องของเกย์ แต่ในทุกๆ ความสัมพันธ์ – ในรูปแบบอันโลดโผนใดๆ ก็ตาม – มีผลลัพธ์ที่ไม่ตายตัว และในบางที เราก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปจัดการอะไรได้เลย
ฉากสุดท้ายของหนัง เสี่ยวเหิงขับรถพาทั้ง เจิ้งสิง - เพื่อนรักของเขา และ หุ่ยเจี้ย (เคท หยวน) หญิงสาวที่เขารัก ไปยังชายหาดเงียบๆ แห่งหนึ่ง ก่อนจะเปิดโอกาสพูดคุยกัน
การพยายามสะสางคลับคล้ายว่าจะล้มเหลว ต่อจากนี้ไปทุกอย่างจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีก และทั้งๆ ที่อยากจดจำเสียงหัวเราะในฤดูร้อนปีที่แล้ว แต่เจิ้งสิงคงจะระลึกได้แค่เพียงบรรยากาศขมุกขมัวริมชายหาดในวันนั้น