xs
xsm
sm
md
lg

มาตรฐาน “ดารา” ผู้ที่จะมาเป็น “ศาสดา” ของชาวโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาสนา นอกจากจะเป็นแนวทางที่ให้มนุษย์ผู้ปฏิบัติสามารถยกระดับความเป็นคนให้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ศาสนายังถือเป็นเครื่องมือของมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งในการหาข้ออ้างเอาประโยชน์ใส่ตนมาอย่างช้านาน ทุกครั้งที่มีการชำระประวัติศาสตร์ของทุกมุมโลก เราจะเห็นเรื่องราวที่ซ่อนเร้นเหล่านี้อยู่เสมอ

ภาพยนตร์ ถือเป็นสื่อและศิลปะแห่งศตวรรษที่ 20 ที่มีอิทธิพลอย่างมากในการใช้เป็นเครื่องมือจูงใจ ตั้งแต่โฆษณาชวนเชื่อในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงเครื่องมือรณรงค์ในกิจกรรมต่างๆ เพื่อความสร้างสรรค์ หรือเสื่อมทรามในปัจจุบัน

ภาพยนตร์ศาสนา นับเป็นภาพยนตร์แนวหนึ่งที่มีการนิยมสร้างกันมาอย่างช้านาน เพราะมีฐานผู้ชมอยู่เป็นจำนวนมาก และมีเรื่องราวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีของบรรดาศาสนิกชนทั้งหลาย จึงไม่แปลกที่จะมีนายทุนเข้ามาลงทุนกับธุรกิจนี้กันอย่างมากมาย

ตัวอย่างที่โดดเด่นที่ยกมาในวันนี้ คือ บรรดาหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาทั้งหลายที่ผลิตโดยทีมงานมืออาชีพของฮอลลีวูด ที่บางเรื่องก็กลายเป็นตำนานเล่าขานเรื่องความอลังการงานสร้าง บางเรื่องก็สร้างความอื้อฉาวที่ยากแก่การลืมเลือน

จุดสำคัญที่จะเน้นในที่นี้ก็คือผู้ที่มารับบทเป็น “ศาสดา” ของหนังศาสนาที่รังสรรค์โดยผู้สร้างมืออาชีพของฮอลลีวูดนั้น เขามีหลักการในการเลือก (หรือไม่เลือก) อย่างไรบ้าง

*************************************

คีอานู รีฟส์ ดาราผู้สันโดษดั่งพระเวสสันดร

คงปฏิเสธไม่ได้ว่านักแสดงที่โด่งดังที่สุดที่เคยมารับบทเป็นพระโคตมพุทธเจ้า ศาสดาของชาวพุทธทั่วโลก คงหนีไม่พ้น คีอานู รีฟส์ ในผลงานเรื่อง Little Buddha ภาพยนตร์ปี 1994 ของยอดผู้กำกับรางวัลออสการ์ชาวอิตาลี เบอร์นาร์โด แบร์โตลุชชี ผู้ที่เคยฝากผลงานสนั่นเวทีออสการ์จากเรื่อง The Last Emperor (1987)

นักแสดงชาวแคนาเดียนที่มีเชื้อสายอังกฤษ, ฮาวาย และจีน ที่เกิดในครอบครัวที่แตกแยกผู้นี้ แม้ในช่วงไฮสกูลความสามารถในการเล่นฮอกกีของเขาจะโดดเด่นจนได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของทีม แต่ความสนใจที่แท้จริงของเขาอยู่ที่การแสดง จนสุดท้ายเขาต้องเลิกเรียนกลางคัน เพื่อที่จะตั้งต้นในเส้นทางการแสดงที่เขาชอบอย่างเต็มตัว

หลังจากมีผลงานในละครโทรทัศน์และโฆษณาอยู่หลายเรื่อง ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา คือ หนังตลกเบาสมอง Bill & Ted's Excellent Adventure (1989) ทำให้เส้นทางการแสดงของเขาเริ่มฉายแสงขึ้นมา ทั้งผลงานระดับทำเงินอย่าง Point Break (1991) หรือหนังที่ได้เสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่าง My Own Private Idaho (1991)

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงที่ “แข็ง” มากๆ ในบทที่ต้องแสดงความซับซ้อนทางอารมณ์ แต่ถ้าเป็นบทที่เกี่ยวกับ “วีรบุรุษผู้เพียบพร้อมสง่างาม” หรือ “ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว” นั้น จะหาใครที่สวมบทได้เหมาะสมไปกว่าเขาไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Speed หนังแอ็กชันสุดดังแห่งปี 1994 ที่ทำเอาสกินเฮดกลายเป็นทรงผมฮิตจนทุกวันนี้ Johnny Mnemonic (1995) กับ Constantine (2005) ก็เป็นบทที่เหมาะกับเขาอย่างมาก และยากที่จะจินตนาการเหลือเกินว่าใครจะมาแสดงเป็น The One หรือ Neo ในไตรภาค The Matrix (1999) แทนเขาไปได้

ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เอง ที่ทำให้เขาถูกเลือกให้มาเป็น “ผู้ที่ถูกเลือกแล้ว” ในบทสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่อง Little Buddha ได้อย่างสง่างาม ทั้งตอนที่รับบทเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เด็กหนุ่มที่มีปฏิภาณ, ตอนบำเพ็ญทุกกรกิริยาจนผอมโซหนังหุ้มกระดูก, จนถึงตอนเอาชนะมารผจญจนกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้อย่างน่าชื่นชม ภาพลักษณ์ที่รีฟส์แสดงออกมาในฐานะผู้ที่กลายเป็นศาสดาของพุทธศาสนาช่างเปร่งประกาย จนตัวเขาไม่ต่างจากพระพุทธรูปที่ผู้คนกราบไหว้บูชาแม้แต่น้อย

ในฐานะบุคคลธรรมดาคนหนึ่งนั้น ชีวิตของรีฟส์มีความน่าสนใจมาก แม้จะเทียบกับบรรดานักแสดงหนุ่มสุดเซอร์ด้วยกันอย่าง จอห์นนี เด็ป หรือ แบรด พิตต์ ก็ตาม

ชีวิตของนักแสดงผู้นี้พัวพันกับเรื่อง “ทุกข์” มาตลอด ทั้งความสัมพันธ์ที่ผ่านเหินกับคุณพ่อขี้คุก, การหมดเงินค่าหมอเพื่อรักษาชีวิตคิม น้องสาวที่ป่วยเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวไปกว่า 5 ล้านเหรียญ, ลูกสาวคนเดียวของเข้าต้องมาแท้งไปเมื่อปี 1999 ซึ่งผู้เป็นแม่อย่าง เจนนิเฟอร์ ซิมป์ ทีมงานเบื้องหลังกองถ่ายที่เป็นแฟนกับเขาก่อนจะแยกทางกันไปและรักษาความเป็นเพื่อนต่อกันไว้ กลับต้องมาเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าอีกในอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อปี 2001 โดยมีรีฟส์เป็นหนึ่งในผู้แบกหีบศพให้กับแฟนเก่าผู้นี้ในพิธีด้วย

ในฐานะนักแสดงมืออาชีพที่เรื่องค่าตัวเป็นเหมือนเรื่องคอขาดบาดตาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีผลต่อการตัดสินใจของบุรุษผู้นี้ ผู้ที่เคยปฏิเสธรายได้มหาศาลถึง 11-12 ล้านเหรียญ เพื่อให้กลับมาเล่นในภาคต่อของ Speed โดยหันมารับเล่นในหนังเข้มข้นมากกว่าอย่าง The Devil's Advocate แทน พร้อมทั้งทำสิ่งที่ไม่มีดาราฮอลลีวูดที่ไหนกล้าทำอย่างยอมลดค่าจ้างเป็นเงินนับล้านเหรียญ เพื่อให้ทางค่ายหนังเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเพิ่มเป็นค่าตัวให้ดาราคุณภาพอย่าง อัล ปาชิโน มาร่วมแสดงด้วยกัน และทำแบบนั้นซ้ำอีกครั้งด้วยการเฉือนรายได้ตัวเองเพื่อให้ค่ายหนังไปดึงตัว ยีน แฮคแมน ดารารุ่นใหญ่อีกคนให้มาร่วมงานกันในเรื่อง The Replacements

แม้จะเป็นนักแสดงระดับเอลิสต์ที่ทำเงินได้นับล้านเหรียญ แต่เป็นที่รู้กันว่าเขามักจะใช้ชีวิตแบบสันโดษโดยไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่ง นอกจากจะไปเยี่ยมน้องสาวแท้ๆ อย่างคิมในบ้านที่เขาซื้อให้เธอที่เกาะคาปรีของประเทศอิตาลีหลังจากที่ป่วยอยู่เสมอๆ

รีฟส์มักได้รับเสียงร่ำลือจากสื่อ และแฟนหนังถึงความมีจิตใจกว้างขวาง ในเรื่องการอุทิศความเป็นส่วนตัวทั้งเวลาและทรัพย์สิน ทุกครั้งที่เขาเสร็จจากการแสดงดนตรีในฐานะมือเบสของวงเฉพาะกิจของเขา เขาจะไม่ละเลยที่จะเจียดเวลาแจกลายเซ็น หรือถ่ายรูปกับแฟนๆ ที่ยืนรอตากลมหนาวเพื่อพบเขาเสมอ และเป็นหนึ่งในนักแสดงไม่กี่คนที่รับมือกับเหล่าปาปาราซซีได้อย่างมืออาชีพ

ในขณะที่ดาราทั่วๆ ไป มักจะห่างเหินทีมนักแสดงสตันท์ที่เสี่ยงตายร่วมงานกันในหนังของพวกเขา หรืออย่างมากก็แค่แสดงความนับถือด้วยวาจาหรือสละเวลาอันมีค่าของพวกเขาไปร่วมในงานทอรัส อวอร์ด (งานแจกรางวัลเพื่อนักแสดงสตันท์โดยเฉพาะ) แต่รีฟส์ทำสิ่งตอบแทนที่ชัดเจนยิ่งกว่าด้วยการซื้อมอเตอร์ไซค์ Harley Davidson สุดหรูจำนวน 12 คัน เพื่อเป็นของขวัญแก่บรรดาทีมสตันท์ในผลงานไตรภาค The Matrix ที่ร่วมหัวจมท้ายกับเขา ร่วมทั้งมีชื่อเสียงในการ “จ่ายหนัก” เสมอเมื่อมาถึงเรื่องการบริจาคเพื่อการกุศล

การศึกษาพระธรรมในระหว่างรับบทเป็นพระพุทธเจ้าได้ทำให้คนที่ไม่มีศาสนาอย่างรีฟส์รู้ซึ้งในรสพระธรรม ในฐานะชาวพุทธและผู้ต่อต้านสงครามอย่างจริงจัง เขาปฏิเสธบทหนังมาแล้วนับไม่ถ้วน ถ้าหากว่ามีเนื้อหาที่ส่งเสริมความรุนแรงมากเกินไปในมุมมองของเขา จึงเป็นเหตุให้เขามีผลงานการแสดงที่ขาดช่วงไปในบางครั้ง

เป็นเรื่องยากที่จะกล่าวว่า รีฟส์ได้ “รับ” อะไรบ้างจากวงการแสดงตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยอยู่ในลิสต์รายชื่อดาราผู้มั่งคั่งหรือทรงอิทธิพลจากการจัดอันดับของ Forbes หรือสำนักใดๆ ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้รางวัลออสการ์ เกียรติยศสูงสุดที่เพื่อนร่วมอาชีพของเขาใฝ่หา แต่สิ่งที่เขา “ให้” มาตลอดเวลาที่อยู่ในวงการทำให้เขาดำรงสถานะดาราระดับเอลิสต์ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งได้รับการจารึกชื่อลงบน Hollywood Walk of Fame เมื่อปี 2005 หรือได้รับโหวตจากแฟนๆ ทาง ETonline ให้เป็น 1 ใน 10 Top Ten of America's Favorite Stars เมื่อปี 2006

ซึ่งการได้นักแสดงผู้นี้มาสวมบทเป็นพระพุทธเจ้า ถือเป็นการ “ให้เกียรติ” ของชาวตะวันตก ที่มีต่อชาวพุทธทั่วโลก ที่ถือเอาพระองค์เป็นสิ่งบูชาสูงสุดนิรันดรได้อย่างเหมาะสมที่สุด

************************************

เจมส์ คาวีเซล บุรุษผู้อุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

เจมส์ คาวีเซล อาจจะเคยเริ่มต้นการแสดงในบทเล็กๆ จากเรื่อง My Own Private Idaho เคียงข้างกับคีอานู รีฟส์และริเวอร์ ฟินิกส์ 2 ดาราใหญ่ในวันนั้น แต่ไม่ว่าผลงานเรื่องต่อๆ มาเป็นเช่นไร (Wyatt Earp,The Rock,The Thin Red Line) หรือเขาจะรับเล่นเรื่องอะไรอีกตลอดช่วงชีวิตนักแสดงที่เหลือของเขา บทบาทเดียวที่ผู้คนจะนึกถึงเสมอเมื่อพูดถึงชายผู้นี้คงได้แก่ พระเยซูเจ้า ในผลงานปี 2004 ของผู้กำกับรางวัลออสการ์(Braveheart 1995)ผู้ยึดมั่นในศาสนา เมล กิ๊บสัน The Passion of the Christ

ต่างจาก The Last Temptation of Christ ผลงานปี 1988 ของยอดผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี ที่ดัดแปลงเรื่องราวของพระเยซูในมุมมองใหม่จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกคริสเตียน The Passion of the Christ หนังทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1,200 ล้านบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินในปีที่ออกฉาย) ดำเนินตามเรื่องราวในไบเบิลได้ "ใกล้เคียง" กับประวัติของพระเยซูในพันธสัญญาใหม่ แต่กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่เป็นข้อโต้เถียงกันอยู่ โดยเฉพาะการโยนความผิดสาเหตุการสิ้นพระชนชีพบนไม้กางเขนของพระเยซูให้ตกเป็นของชาวยิวแต่เพียงผู้เดียว

แต่สิ่งที่ไม่ได้สร้างข้อโต้แย้งให้เกิดความแตกแยกในหมู่ชาวคริสต์อันเนื่องมาจากการสร้างหนังเรื่องนี้เลยก็คือ การรับบทเป็นบุตรของพระเจ้าของ เจมส์ คาวิเซล นักแสดงที่อุทิศตนให้กับศาสนามาอย่างช้านาน

เจมส์ คาวีเซล เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางที่เคร่งศาสนานิกายโรมันคาธอลิค เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนคาธอลิค ก่อนที่จะเป็นนักบาสเก็ตบอลชื่อดังของมหาวิทยาลัย แต่อาการบาดเจ็บที่เท้าทำให้เขาต้องล้มเลิกความตั้งใจในการเป็นนักบาสในเอ็นบีเอ แล้วหันความสนใจมาที่วงการแสดงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากที่เขาถ่ายทำ The Passion of the Christ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ทางทีมงานได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ที่กรุงวาติกัน ซึ่งพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรผลงานเรื่องนี้ด้วย และทรงพอพระทัยอย่างมาก ทรงตรัสว่าเรื่องราว "ถ่ายทอดอย่างที่บัญญัติเอาไว้" ซึ่งในฐานะชาวคาธอลิคที่เคร่งครัดมาตลอดชีวิตอย่างคาวีเซล การได้เข้าพบประมุขสูงสุดของศาสนจักรจากการแสดงผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาทั้งตื้นตันและปลาบปลื้มใจอย่างมาก

หลังจากผลงานในเรื่อง The Passion แล้ว กิจกรรมทางด้านศาสนาของคาวีเซลก็ไม่ได้ลดหย่อนลงเลย เขาและเคอร์รีภรรยาซึ่งเป็นคุณครูผู้อุทิศตนเพื่อศาสนาด้วยกันทั้งคู่ ต่างร่วมมือในงานทางด้านศาสนาในชุมชนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยผลงานชิ้นล่าสุดของเขาได้แก่การให้เสียงเป็นพระเยซูเจ้าอีกครั้งในละครเสียงเรื่อง The Word of Promise ที่จะถ่ายทอดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2007 นี้

ในฐานะนักแสดงมืออาชีพ สำหรับเขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับบทวาบหวิว ทั้งกับสาวเซ็กซี่อย่าง แอชลีย์ จัดด์ ใน High Crimes หรือ เจนิเฟอร์ โลเปซ ใน Angel Eyes แต่ตัวเขาเองให้ทัศนะว่ามันเป็น "บทที่ถ่ายทอดความรัก ไม่ใช่ตัณหา" ซึ่งเมื่อตอนที่เข้าฉากด้วยกัน พอถึงตอนที่สาวหุ่นสบึมอย่างเจ.โล.กำลังจะเปลื้องผ้า เขาได้หยุดเธอไว้แล้วขอร้องให้เธอรักษาสุดชั้นในเอาไว้บนเรือนกายของเธอเช่นเดิม เพราะเขาจะรู้สึกผิดที่ต้องอยู่กับสาวร่างเปลือยเปล่าที่ไม่ได้แต่งงานด้วย โดยยืนยันในสิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ในโลกไม่สามารถทำได้ว่า "ถันเปลือยเปล่าที่จะอยู่ต่อหน้าผม ต้องเป็นของภรรยาเท่านั้น" โดยเขาเผยเคล็ดลับการครองชีวิตคู่ 14 ปีกับภรรยาว่าที่ผ่านมาด้วยดีทุกวันนี้เพราะความสม่ำเสมอในการใช้คำพูดว่า "ผมผิดเอง" และ "ผมเสียใจ" โดยเมื่อปีที่แล้วทั้งสองเพิ่งจะรับเด็กชายชาวจีนที่เป็นโรคเนื้องอกในสมองมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม

ทุกวันนี้คาวีเซลยังคงสวดภาวนากับลูกประคำทุกวันเยี่ยงคาธอลิคผู้ศรัทธาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

*************************************
ชาร์ลตัน เฮสตัน ผู้รับบทโมเสสใน The Ten Commandments
ชาร์ลตัน เฮสตัน มือวางอันดับหนึ่งในบทบาทที่ "ยิ่งใหญ่"

ในบท โมเสส นั้น ถือได้ว่าเป็นบทบาทของบุคคลที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของโลกอย่างมาก กินความรวมไปถึงผู้ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาของอับราฮัม (Abrahamic religions - ยิว, คริสต์, อิสลาม) ทั้งหมด ที่เป็นทั้งผู้นำศาสนาของชนชาติยิวก่อนที่จะมีพระคัมภีร์ภาษาฮีบรู เป็นทั้งผู้บัญญัติกฎ ผู้พยากรณ์ นักประวัติศาสตร์ และยังเป็นผู้ถ่ายทอดคัมภีร์โตราห์หรือหนังสือห้าเล่มในพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม อีกทั้งยังเป็นผู้พยากรณ์คนสำคัญของอิสลามและศาสนาบาฮาอี

ซึ่งบทบาทที่มีความสำคัญในหลายมุมมองทางศาสนาครั้งนี้ ตกเป็นของนักแสดงระดับรางวัลออสการ์ในตำนานของฮอลลีวูดอย่าง ชาร์ลตัน เฮสตัน ในผลงานเรื่อง The Ten Commandments (1956) ของผู้สร้างและผู้กำกับ ซีซีล บี. เดอมิล ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์ช่วงต้นศตวรรษที่ 20
Behold His mighty hand!
ก่อนที่จะมารับบทที่สำคัญนี้ เฮสตันเคี่ยวกรำมาแล้วในบทบาทอัน "ยิ่งใหญ่" จากการแสดงในระดับละครเวทีมากมาย ทั้งบทนำใน Macbeth, เซอร์โทมัส มอร์ ใน A Man For All Seasons และการสวมบทเป็นมาร์ค แอนโธนีในทั้ง Julius Caesar และ Antony and Cleopatra ได้สร้างมาตรฐานสำหรับตัวละครนี้อย่างยากที่ใครจะเทียบได้ ซึ่งก่อนที่จะมารับบทโมเสสเขาก็ได้ฝากฝีมือในจอเงินมาแล้วใน The Greatest Show on Earth(1952) ผลงานยิ่งใหญ่ของบิลลี ไวลเดอร์

การเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในบทโมเสสของเฮสตันได้ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา ทั้ง El Cid (1961), The Greatest Story Ever Told (1965), The Agony and the Ecstasy (1965), Khartoum (1966) และผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง Ben-Hur (1959) ที่ส่งให้เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปครอง

**************************************
(ซ้าย) Mohammad, Messenger of God ภาพยนตร์ชีวประวัติของศาสดามุฮัมมัด (ขวา) ศิลปะรูปวาดของเปอร์เซียในศตวรรษที่ 16 ที่แสดงภาพศาสดามุฮัมมัดที่มีผ้าปิดพระพักตร์ไว้
Mohammad, Messenger of God ความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ต้องการการอ้างอิง

Mohammad, Messenger of God (1976) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์สุดมโหฬารแห่งยุค 70 สร้างโดย มุสตาฟา อัคคัด ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายซีเรีย ในเรื่องราวที่กล่าวถึงประวัติของ มุฮัมมัด ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาอิสลาม

ในเรื่องนี้มีนักแสดงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นร่วมแสดงทั้ง แอนโธนี ควิน นักแสดงระดับ 2 รางวัลออสการ์, ไอรีน ปาปาส์ ดาราสาวชื่อดังจากกรีช และไมเคิล อันซารา นักแสดงอเมริกันเชื้อสายซีเรีย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีดาราชื่อดังมากมายมาร่วมแสดงในผลงานเกี่ยวกับชีวประวัติของศาสดามุฮัมมัด แต่ก็ไม่มีนักแสดงคนใดถูกเลือกให้มาสวมบทเป็นศาสดามุฮัมมัด เพราะผู้สร้างให้ความเคารพยำเกรงต่อกฏการห้ามสร้างสิ่งเคารพบูชา และบรรยายภาพลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ์หรือศาสดามุฮัมมัด (Aniconism) ซึ่งถือเป็นสิ่งสูงค่ากว่าจินตนาการของมนุษย์จะอาดเอื้อม

**************************************
เจมส์ คาวีเซล ตอนเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ที่กล่าวชื่นชมผลงานและการแสดงของเขา
ปลายปี 2006 ที่ผ่านมา ทางฮอลลีวูดได้มีการสร้างเรื่องราวประวัติการประสูติของพระเยซูเจ้าในเรื่อง The Nativity Story โดยผู้ที่มารับบทเป็นพระแม่มารีผู้บริสุทธิ์ได้แก่สาวน้อยลูกครึ่งออสซี-เมารีวัย 16 ปีอย่าง ไคชา แคสเซิล ฮิวจ์

ที่เหมือนกับ The Passion of the Christ ก็คือผลงานชิ้นได้มีโอกาสไปฉายเปิดตัวที่กรุงวาติกันด้วย แต่แม้จะมีเนื้อหาที่ "อ่อนโยน" กว่าผลงานเรื่องแรกมากๆ แต่มันได้รับการปฎิบัติจากศาสนจักรอย่างเย็นชา เมื่อประมุขสูงสุดของนิกายโรมันคอธอลิคอย่างพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ไม่อยู่ร่วมชมในการฉายครั้งนี้ด้วย เนื่องจากไม่พอพระทัยที่เด็กหญิงที่มารับบทเป็นพระแม่มารีผู้สูงส่งรายนี้ กลับตั้งครรภ์ในระหว่างที่ถ่ายทำกับเพื่อนชายวัย 19 ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม จนกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวของคนในวงการทุกครั้งที่หยิบเอาหนังเรื่องนี้มาพูดถึง

หวังอย่างยิ่งว่าเรื่อง "ตลกร้าย" อย่างนี้จะไม่มาเกิดขึ้นกับเมืองไทยของเรา ศาสนาของเรา

ความเมตตาของพระพุทธองค์ ในการยอมสละทุกอย่างในชีวิตเพื่อออกตามหาอริยสัจ 4 และให้กำเนิดหลักธรรมคำสอนต่างๆ ที่กลายมาเป็นมรดกของโลก ที่พุทธศาสนิกชนนับร้อยๆ ล้านใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข

เมื่อถึงคราวจะนำภาพลักษณ์ของพระองค์มาสร้างเป็นหนัง หวังว่าผู้สร้างชาวไทยที่ดันทุรังจะถ่ายทำให้ได้ จะใช้จิตสำนึกและความพยายามซักนิดในการเลือกเฟ้นผู้ที่จะมาถ่ายทอด "พุทธคุณและอัจฉริยะภาพ" ของพระองค์ได้อย่างสมพระเกียรติกว่าที่เป็นอยู่

ตัวอย่างที่ยกมาทั้ง 3 กรณีนี้จะเห็นได้ว่านักแสดงที่ได้มารับบทเป็นศาสดาจะมีทั้งประเภทที่

1. มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
2. ถึงพร้อมด้านคุณธรรม
3. ไร้ข้อกังขาเรื่องความสามารถทางการแสดง

ซึ่งถ้าผู้ที่จะมารับบทพระพุทธเจ้าที่กำลังรอถ่ายทำอยู่นี้หาได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ว่ามา 3 ข้อนี้แล้ว ตัวอย่างที่ 4 ที่ว่าเราอาจจะไม่จำเป็นต้องนำเอาพระองค์มา "เสี่ยง" กับเรื่องไร้สาระของมนุษย์โลกที่มีแต่จะมัวเมากับลาภยศสรรเสริญน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด


**************************************

ผ่างบงุบงิบ 1,200 ล้านหนัง "พระไตรปิฎก" สร้าง หรือ ทำลาย ศรัทธาแห่งพุทธศาสนา

"พยุงเวทย์" วอน ให้โอกาสนายแบบแนวสยิวเป็นพระพุทธเจ้า
       
เปิดตัว "มาร์ค เอ็มไทยแลนด์" กับบทพระพุทธเจ้า
       
ทุ่ม 1.2 พันล้านสร้างภาพยนตร์ "พระไตรปิฎก"
กำลังโหลดความคิดเห็น