ดิฉันมักมีปัญหากับการขึ้นต้นบทความเสมอ ยิ่งเมื่อเขียนถึงหนังที่ชอบจัดๆ ดูแล้วหลงรักด้วยแล้ว – แปลกแต่จริง ยิ่งคิดมาก ยิ่งพบว่าการเริ่มต้นก็ยิ่งยาก
กับ Shortbus ดิฉันคิดไปคิดมาหลายตลบ เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบก็หลายรอบ ท้ายที่สุดดิฉันจึงตัดสินใจเริ่มต้นอย่างทื่อมะลื่อทว่าสื่อสารที่สุด ว่า
สำหรับดิฉัน นี่คือหนังที่ดีที่สุด มีเสน่ห์ที่สุด และส่งผลสะท้านสะเทือนต่อความรู้สึกมากที่สุดเรื่องหนึ่งในครึ่งแรกของปีนี้
เดือนนี้ Shortbus ได้เข้ามาฉายในบ้านเราด้วย โดยเป็นหนึ่งในหนังที่ได้รับเลือกให้ร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 29 กรกฎาคม
เท่าที่ดิฉันเช็กกระแสจากอินเตอร์เนตและคนใกล้ชิด พบว่ามีผู้ให้ความสนใจอยากดูหนังเรื่องนี้ค่อนข้างมากทีเดียว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นแฟนเก่าที่ติดตาม จอห์น คาเมรอน มิตเชล ผู้กำกับ มาตั้งแต่ครั้งทำหนังสะท้านทรวงที่ชื่อ Hedwig and the Angry Inch เมื่อหลายปีก่อน อีกส่วนหนึ่งดิฉันเข้าใจว่า เสียงโจษจัณฑ์ร่ำลือถึงความโจ๋งครึ่ม โป๊ไม่บันยะบันยังของหนังก็น่าจะเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เนื้อหาของ Shortbus เล่าถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในนิวยอร์ก ซึ่งอุ่นหนาคลาคล่ำด้วยความเกี่ยวพันทางเพศที่ฉาบฉวย (จนตัวละครคนหนึ่งซึ่งหนังระบุว่าเป็นอดีตนายกเทศมนตรีของเมือง ถึงกับกล่าวว่า “คนเขามานิวยอร์กก็เพื่อเอากันทั้งนั้น”) ทว่าอ้างว้างขาดแคลนความผูกพันที่ยั่งยืน
หนังประกอบด้วยตัวละครสำคัญ 2 คู่กับอีก 1 คน คู่แรกคือ เจมส์ และ เจมี คู่เกย์สุดหวานซึ่งมีผู้อธิบายว่า “เป็นคู่ที่น่าอิจฉาที่สุดในนิวยอร์ก” ถัดมาคือคู่ของ ร็อบ หนุ่มห้าว กับ โซเฟีย สาวเอเชียซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการเป็นผู้ให้คำปรึกษาเรื่องเพศแก่คู่รักไร้สุข ส่วนอีกคนที่เหลือนั้นก็ เซฟริน หญิงสาวผู้มีอาชีพขายบริการทางเพศ
หนังใช้เวลาไม่นานนักในการบอกเล่าว่า ทั้ง 5 คนล้วนกำลังประสบปัญหาทางเพศซับซ้อน เริ่มตั้งแต่เจมส์กับเจมีที่แม้จะอยู่กินกันมาหลายปี ทว่าฝ่ายแรกกลับเพียงยินยอมให้ฝ่ายหลัง ‘ร่วมรักแบบไม่ล่วงล้ำ’ ด้านเซฟริน แม้โดยอาชีพแล้ว เธอควรจะเห็นเซ็กส์เป็นแค่ ‘เรื่องขำๆ’ ทว่าในความเป็นจริง สิ่งที่ต้องทำเพื่อแลกกับความอยู่รอดกลับทำให้เธอรู้สึกชิงชังรังเกียจตัวเองมากขึ้นทุกขณะ ส่วนโซเฟียซึ่งน่าจะรู้แจ้งเห็นจริงเรื่องพรรค์นี้ดีกว่าใคร เอาเข้าจริงก็กลับไม่ เมื่อหนังเฉลยว่า คนที่คอยให้คำแนะนำผู้อื่นเป็นคุ้งเป็นแควอย่างเธอ แท้จริงแล้วกลับไม่เคยบรรลุจุดสุดยอดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
‘ชอร์ตบัส’ ในชื่อเรื่อง เป็น ‘สถานที่พิเศษ’ ซึ่งตัวละครเหล่านี้โคจรมาพบปะสังสรรค์ ด้วยหวังว่าปัญหาทางเพศของตนจะได้รับการบำบัด
ภาพภายนอกของ ‘ชอร์ตบัส’ ดูเหมือนผับบาร์เฉพาะกลุ่มซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในนิวยอร์ก ทว่าภายในนั้นเป็นเสมือนแดนสุขารมณ์สำหรับผู้นิยมกามาแบบเสรี เพราะมีทั้งห้องสำหรับกินดื่ม พูดคุย หลับนอน (เสิร์ฟถุงยางสำหรับชายและหญิงแทนของขบเคี้ยว) และจัดแสดงงานศิลปะ (บางคนทำวิดีโออาร์ตโดยนำภาพของสงวนมาตัดต่อเรียงร้อยเข้าด้วยกัน)
ลูกค้าที่นั่นแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางเพศกันอย่างเปิดเผย ใครใคร่พูดอะไร พูดได้ตรงนั้น, ใครใคร่ทำอะไรกับใคร ทำได้เดี๋ยวนั้น
กล่าวได้ว่า หากนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางด้านเซ็กส์เสรีของโลกจริงอย่างที่หนังกล่าวอ้างแล้ว ‘ชอร์ตบัส’ ก็เห็นจะต้องครองตำแหน่งเดียวกันสำหรับนิวยอร์กอย่างไม่ต้องสงสัย
หนังมีภาพโจ่งแจ้งแสลงตาเยอะจริงอย่างที่ใครๆ ว่า อวัยวะของทั้งหญิงและชาย ในระยะไกลและใกล้ รวมถึงฉากเซ็กส์ ‘เอาจริงเอาจัง’ ทั้งประเภทเดี่ยว ประเภทคู่ และประเภททีม ปรากฏให้เห็นเต็มสองตาอยู่เป็นระยะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่ได้ถูกใส่เข้ามาอย่างสูญเปล่าไร้ค่า และเป้าหมายของมันก็ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นความรู้สึกลึกลับให้กับผู้ชมอย่างที่หลายคนอาจเข้าใจ
ทว่าเซ็กส์ใน Shortbus นัยหนึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตและจิตใจของตัวละคร ภาวะไร้สุขทางเพศถูกโยงใยไปถึงภาวะไร้สุขของชีวิต นอกจากนั้นเซ็กส์ยังเป็น ‘เครื่องมือ’ ที่ตัวละครเหล่านั้นใช้ในการแสวงหาสิ่งซึ่งเป็นยอดปรารถนาของตน – ไม่ว่าจะเป็นรักแท้ เป็นความฝัน ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรืออะไรก็ตามแต่
ปัญหาของคู่เจมส์-เจมี ไม่ได้ตื้นเขินเพียงฝ่ายหนึ่งไม่ยอม ‘เปิดตัว’ แต่การไม่เปิดตัวนั้นเป็นผลลัพธ์ของการไม่ยอม ‘เปิดใจ’ รับอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
โซเฟียซึ่งไม่เคยถึงจุดสุดยอดกับร็อบหรือใครๆ หนังตั้งคำถามว่า หรือเพราะเธอยังไม่พบ ‘คนที่ใช่’
กรณีของเซฟรินอาจจะแปลกกว่าใคร หนังบอกว่าเธอเดินทางจากบ้านเกิดมายังนิวยอร์กเพราะฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความยากลำบากในการใช้ชีวิตที่เมืองใหญ่ทำให้ความฝันยิ่งเลือนราง และทุกวันนี้มันก็เหลือสภาพเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ซึ่งเธอต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อรักษามันไว้
ระหว่างดู Shortbus ดิฉันอดไม่ได้ที่นึกถึงหนังของ หว่องกาไว หลายๆ เรื่องรวมกัน ทั้ง Chungking Express, Fallen Angels, Days of Being Wild และแน่นอน รวมถึง Happy Together –ซึ่งจอห์น คาเมรอน มิตเชล ผู้กำกับ เคยระบุว่าเป็นหนึ่งในหนังสร้างแรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นมาทำ Shortbus- ด้วย
มองกันแต่เพียงภายนอก หนังของมิตเชลเรื่องนี้แทบไม่มีส่วนใดคล้ายหนังหว่อง มันกระฉับกระเฉงกว่า มีอารมณ์ขันมากกว่า และมีสีสันกว่า อย่างไรก็ตาม เนื้อแท้ภายในกลับมีส่วนหนึ่งที่ละม้ายคล้ายกันอย่างยิ่ง นั่นก็คือ การสะท้อนให้เห็นภาวะเปลี่ยวดายเคว้งคว้าง และการแสวงหาความรู้สึกที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ของคนจำพวกหนึ่งซึ่งรู้สึกว่าตนเข้ากันไม่ได้กับโลกวุ่นวายรอบข้าง
เพย์บอยหนุ่มใน Days of Being Wild หลับนอนกับหญิงสาวไม่เลือกหน้า ทว่าผู้หญิงที่เขาโหยหามากที่สุดในชีวิต ก็คือ แม่, หนุ่มเกย์ใน Happy Together อุตส่าห์ดั้นด้นไปไกลถึงอาร์เจนตินา แต่กลับคิดถึงพ่อและที่ที่จากมาเป็นที่สุด, นักฆ่าสาวใน Fallen Angels คุ้ยค้นขยะและข้าวของของนักฆ่าหนุ่มที่เธอหลงรัก เพราะเธอใกล้ชิดกับเขาได้มากสุดเพียงแค่นั้น
คล้ายคลึงกันในกรณีของตำรวจหนุ่มใน Chungking Express - ในวันเกิดปีที่เหงาที่สุดในชีวิต เขาโทรหาญาติพี่น้องและเพื่อนเก่าแทบทุกคนที่รู้จัก เพียงเพราะต้องการได้ยินเสียงของใครสักคน เพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก
กับ Shortbus มิตเชลบอกเล่าเป็นนัยอยู่หลายครั้ง ผ่านภาพบ้าง เพลงหรือดนตรีประกอบบ้าง ว่าหลายคนในหนังของเขาไม่ได้เดินทางมาที่แดนเสรีฟรีเซ็กส์อย่าง ‘ชอร์ตบัส’ เพียงเพื่อค้นหาคู่นอนฉาบฉวย ทว่าสิ่งซึ่งทุกคนแสวงหาจริงๆ คือใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างกันภายหลังโมงยามแห่งความสุขประเดี๋ยวประด๋าวผ่านพ้น
ภาพของรูปปั้นเทพีเสรีภาพยืนตระหง่านเหนือปากอ่าวแมนฮัตตัน ซึ่งหนังใช้ในช่วงเครดิตเปิดเรื่อง จึงมีความสำคัญมากกว่าจะเป็นแค่เครื่องบ่งชี้สถานที่เกิดเหตุ
ตัวละครหลายคนในหนังบอกว่า นานมาแล้วตนเดินทางมานิวยอร์กเพราะมันเป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสและเสรีภาพซึ่ง “ใครจะเป็นอะไรก็ได้” เช่นกัน ครั้งหนึ่งพวกเขาพาตัวเองเข้าสู่ชุมชน ‘ชอร์ตบัส’ ก็เพราะมันเป็นที่ที่ “ใครจะทำอะไรก็ได้”
อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าไม่นาน หลายคนในจำนวนนั้นก็ตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งว่า บางครั้งบางหน การถือครองเสรีภาพไร้ขีดจำกัด ก็แทบไม่ต่างจากการถูกโยนลงกลางทะเลแบบไร้เข็มทิศ
เสรีภาพไม่ได้ช่วยให้ใครหายเหงา และท้ายที่สุดมันอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่มนุษย์แสวงหา
หลายคนอาจบอกว่า สัจธรรมข้อหนึ่งของชีวิตก็คือ เราต่างเกิดมาโดยลำพัง และลงท้ายก็จะจากไปโดยลำพัง
แต่จะมีสักกี่คนที่แม้จะพูดอย่างนั้น แล้วเลือกจะอยู่ลำพังทั้งชีวิต