xs
xsm
sm
md
lg

เจ.เค. โรว์ลิง กับชีวิตหลังเทพนิยาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอพี - ขณะที่นักอ่านนับล้านทั่วโลกกำลังติดตามฉากสุดท้ายของแฮร์รี พ็อตเตอร์ วรรณกรรมเยาวชนแห่งทศวรรษ เวลาเดียวกันนั้นเองที่ผู้ให้กำเนิดมันกำลังรอคอยอย่างใจเย็นในบ้านพัก ปล่อยให้ผลงานเป็นสิ่งที่พิสูจน์ตนเองอย่างเช่นที่ผ่านมา
เจ.เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์วรรณกรรมแฮร์รี พ็อตเตอร์
ในวันเสาร์ที่ผ่านมา แฟนหนังสือทั่วโลกจะได้รับรู้ถึงชะตากรรมของแฮร์รีกันเสียที เมื่อ Harry Potter and the Deathly Hallows เล่มที่ 7 ของนิยายสุดดัง ผลงานการประพันธ์ของนักเขียนสาว เจ.เค. โรว์ลิง และเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องราวที่มีผู้ติดตามกันอย่างยาวนานนี้ ที่ได้ฤกษ์ออกมาให้แฟนๆ ได้ยลโฉมกันเรียบร้อยแล้ว

"เรื่องราวของแฮร์รีจะจบลงอย่างบริบูรณ์ในเล่มที่ 7" เธอกล่าวเอาไว้ในการให้สัมภาษณ์ไม่กี่วันก่อนที่ผลงานเล่มสุดท้ายเกี่ยวกับฮ็อกวอตส์จะออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วโลก

ขณะที่พักอยู่ในบ้านที่เมืองเอดินเบรอะของสก็อตแลนด์ ในห้องรับแขกที่เซิร์ฟด้วยชาและขนมเค้กเนื้อฟูที่อบเอง เจ.เค.เปิดใจถึงการเขียนคำสุดท้ายของนิยายที่เธอรักนี้ว่า "เหมือนการสูญเสียญาติคนหนึ่งทีเดียว"

ฟังดูแล้วเป็นการจบที่สะเทือนใจเหลือเกิน อาจจะเป็นไปได้ว่าเราจะต้องบอกลาทั้งเรื่องราวและเหล่าเด็กๆ จากโรงเรียนเวทมนตร์ฮอกวอตส์นี้ไปตลอดกาลหรือเปล่า?

"เพราะว่ามันเป็นโลกที่ใหญ่โตมากๆ มันคงจะมีที่เหลือพอให้เราแต่งเติมอะไรลงไปได้อีก ซึ่งฉันเองยังไม่ได้คิดถึงมัน แต่ฉันก็จะไม่ผูกมัดตัวเองว่าจะไม่กลับไปทำมันอีก" เจ.เค. กล่าวอย่างระมัดระวัง

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ เจ.เค. ดูสบายๆ อยู่ในชุดสเวตเตอร์และกางเกงยีนส์ ผมบลอนด์ยาวปกไหล่ที่ตัดอย่างมีสไตล์ได้ซ่อนใบหน้าที่เก็บงำอารมณ์อันหลากหลายที่เธอต้องบอกลากับตัวละครที่เนรมิตขึ้นมาอย่างบังเอิญบนการเดินทางด้วยรถไฟในประเทศอังกฤษเมื่อปี 1990 เรื่องราวที่ชาวโลกจะได้รู้จักกับเด็กชายกำพร้าแว่นตาโต ที่มารู้ตัวในวันเกิดครบรอบ 11 ขวบว่าเขาเป็นพ่อมด

ทุกวันนี้เธอมีความสุขกับการที่ไม่ต้องรับมือกับความกดดันจากสำนักพิมพ์หรือการเรียกร้องของนักอ่านกับการต้องมานั่งเขียนเรื่องราวการเดินทางของแฮร์รี พ็อตเตอร์อีกต่อไปแล้ว ซึ่งเธอเปิดใจว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับสามีและลูกๆ อีก 3 คนของเธอ

แต่การยุติงานเขียนที่เธอผูกพันมากกว่า 17 ปีครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึก "เสียศูนย์อยู่เป็นสัปดาห์ทีเดียว"

"2 วันแรกที่เขียนเสร็จ ความรู้สึกมันเหมือนกับเราสูญเสียญาติคนหนึ่งไป แม้ว่าจริงๆ แล้วฉันจะภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้อย่างมาก หลังจากนั้นเมื่อสัปดาห์ดังกล่าวผ่านพ้นไป ก็เหมือนกับเมฆหมอกจางลงและฉันก็รู้สึกเบิกบานใจ เป็นการผ่อนคลายที่ดีจริงๆ"
ร้านกาแฟ nicolsons สถานที่ที่เธอให้กำเนิดพ่อมดน้อยอย่างเงียบๆ
"การยุติงานชิ้นนี้มันเต็มไปด้วยอารมณ์เพราะว่าหนังสือพวกนี้มันมีความผูกพันกับชีวิตของฉันอย่างมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเขียนมันให้เสร็จโดยไม่ย้อนกลับไปมองที่ๆ ครั้งหนึ่งฉันเคยได้เริ่มต้นสร้างมันมา"

จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์แฮร์รีนับเป็นการเดินทางที่สวยงามเหลือเกิน ขณะนั้นเจ.เค.ยังเป็นแม่หม้ายลูกหนึ่งที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ผู้เริ่มต้นงานเขียนของเธอที่ร้านกาแฟของเพื่อนเพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่าไฟจากเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน จนขณะที่มีอายุได้ 41 ในวันนี้ เธอกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในสหราชอาณาจักร ผู้มีทรัพย์สินกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งบ้านในเอดินเบรอะ, ลอนดอน และพื้นที่ชนบทในสก็อตแลนด์

Harry Potter and the Philosopher's Stone ผลงานชิ้นแรกของเธอได้โอกาสตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1997 ด้วยยอดพิมพ์ต่ำกว่า 1,000 ฉบับ โดยเจ้าของสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอใช้ตัว เจ. ที่เป็นตัวย่อชื่อหน้าของเธอเป็นนามปากกาดีกว่าใช้ชื่อจริงของเธอว่า โจแอนน์ เนื่องจากนักอ่านเด็กผู้ชายอาจจะไม่ชอบที่รู้ว่าเป็นงานที่ผู้หญิงเขียน โดยตัวย่อชื่อกลางอย่างตัว เค. นั้นเธอยืมมาจากเคธลีน ซึ่งเป็นชื่อของย่าเธอนั่นเอง

หลังจากที่ผลงานเล่มแรกของเธอเปลี่ยนหัวให้เป็น Harry Potter and the Sorcerer's Stone สำหรับการจัดจำหน่ายในสหรัฐฯเมื่อปี 1998 ทั้งโลกก็ได้รู้จักกับปรากฏการณ์แฮร์รีฟีเวอร์ทันที

6 ฉบับของแฮร์รี พ็อตเตอร์ถูกจำหน่ายออกไปแล้วกว่า 325 ล้านเล่ม ใน 64 ภาษา ไม่เว้นแม้แต่ภาษาลาตินและกรีกโบราณ ขณะที่ Harry Potter and the Deathly Hallows ฉบับอวสานก็มียอดพิมพ์ครั้งแรกสูงถึง 12 ล้านเล่มเฉพาะในสหรัฐฯแห่งเดียวเท่านั้น โดยมียอดสั่งจองล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ Amazon.com ไปแล้ว 2 ล้านเล่มเรียบร้อย
Harry Potter and the Philosophers Stone ผลงานที่เปิดศักราชความสำเร็จของโลกวรรณกรรมและภาพยนตร์
ผลจากความสำเร็จของนิยายสำหรับเด็กเรื่องนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นหนังระดับบล็อกบัสเตอร์จำนวน 5 ภาคในรอบ 7 ปี, ของเล่นจำนวนนับไม่ถ้วน, เว็บไซต์ของแฟนๆ มากมาย รวมไปถึงสวนสนุกธีมปาร์คที่ได้แรงบันดาลใจจากปราสาทของโรงเรียนฮอกวอตส์และบริเวณของป่าต้องห้าม ก็จะเปิดทำการให้แฟนๆ ได้ชมกันที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ในปี 2009 นี้

การมาถึงของเล่มล่าสุดที่เป็นเล่มสุดท้ายได้สร้างทั้งข่าวลือต่างๆ นานาออกมาไม่เว้นแต่ละวัน รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีหนังสือเพียงซักเล่มตกถึงมือนักอ่านก่อนเวลา 0.01 ของวันเสาร์นี้ (ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำไม่ได้)

โจล ริคเก็ตต์ บรรณาธิการข่าวของหนังสือ The Bookseller กล่าวว่าความสำเร็จของซีรีส์นี้ถือเป็น "ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เยาวชนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจการอ่านอีกครั้ง ทำให้เด็กง่วนอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มหนาหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"

ขณะที่นักวิจารณ์บางคนดูแคลนมันว่าเป็นเพียงแค่เรื่องอ่านเล่นสนุกๆ ของเด็กๆ เท่านั้น แต่มีหลายคนที่ประทับใจในความซับซ้อนของจริยธรรมและความมืดหม่นของเนื้อหาที่เพิ่มขึ้น เมื่อแฮร์รีที่เป็นกำพร้าตั้งแต่ขวบเดียวจากการถูกพ่อมดร้ายลอร์ดโวลเดอมอร์ฆ่าพ่อและแม่ของเขา นับแต่นั้นความตายก็ตามหลอกหลอนเขามาตลอด ไม่ว่าการสูญเสียพ่อทูนหัวไปในเล่มที่ 5 หรืออาจารย์ใหญ่ที่เขาเชื่อใจในเล่มที่ 6 ทำให้แฟนๆ ต่างหวั่นใจในชะตากรรมของเขาในเล่ม 7 อย่างมาก

ที่ความตายมีผลต่อเรื่องราวของแฮร์รีมากมายเช่นนี้ เป็นการสะท้อนถึงการสูญเสีย แอนน์ โรว์ลิง แม่ของเธอเอง ที่เสียชีวิตจากโรคมัลติเพิลสเคลอโรซิสเมื่อปี 1990 ด้วยวัย 45 ปี
เจ.เค. ตอนได้รับเครื่องราชฯชั้น OBE
"แม่ของฉันตายตอนที่ฉันเขียนหนังสือไปได้แล้ว 6 เดือน และฉันคิดว่ามันกลายเป็นหัวใจหลักของเรื่อง เด็กชายผู้นี้จะต้องพัวพันกับการสูญเสีย"

และเธอก็ไม่นึกเสียใจที่พาเด็กๆ นักอ่านของเธอมาเผชิญกับความตายในหนังสือของเธอด้วย

"ฉันคิดว่าเด็กๆ กลัวเรื่องเหล่านี้มากแม้พวกเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการต้องสูญเสียจริงๆ และฉันคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับมันคือเผชิญหน้าด้วยความแน่วแน่ ฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะในฐานะนักเขียนหรือผู้ปกครองของลูกๆ ก็ตาม การเผชิญกับเรื่องของความตายไม่ใช่แสร้งทำเป็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวตน แต่ต้องให้บททดสอบพวกเขาด้วยวิธีการที่ละมุนละม่อม"

เจ.เค. เปิดใจว่าความสำเร็จครั้งนี้ "เป็นประสบการณ์ที่สุดในชีวิต" แต่มันก็นำมาซึ่งความกดดันที่หนักอึ้ง ทั้งถูกจับจ้องและวิพากษ์วิจารณ์ ในสหรัฐฯเธอต้องเจอทั้งสถานการณ์ที่แฟนหนังสือรุ่นเยาว์นับพันโห่ร้องยินดีระหว่างที่เธอเดินสายไปโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ รวมทั้งเหล่าชาวคริสต์บางกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรหนังสือ ในฐานะเป็นตัวการเผยแพร่ลัทธิพ่อมดแม่มด

แต่เป็นช่วงเวลาไม่นานมานี้เองที่เธอตระหนักถึงความกดดันในการอยู่เป็นศูนย์กลางของปรากฏการณ์แฮร์รี มาเนียร์อย่างนี้

"ฉันต้องรับมือมันโดยลำพัง สถานการณ์มันต่างกับที่เกิดในวงดนตรีดังๆ ที่อย่างน้อยก็จะมีคนอีก 3 ถึง 4 คนที่เข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องเป็นจุดสนใจ มีแต่ฉันคนเดียวที่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรกับการให้กำเนิดโลกที่นับวันจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ และมีผู้คนอีกมากมายที่เข้ามาตักตวงกับมันไม่หยุดหย่อน"

หลังจากผลิตผลงานมาทุกปีตั้งแต่ปี 1997 ถึงปี 2000 เธอก็หยุดพัก ซึ่งเป็นระยะห่างของเวลาถึง 3 ปีระหว่าง Harry Potter and the Goblet of Fire ผลงานเล่มที่ 4 และ Harry Potter and the Order of the Phoenix ผลงานเล่มที่ 5 ที่ออกสู่สายตาแฟนหนังสือเมื่อปี 2003 ซึ่งช่วงที่เว้นว่างนั้นเอง เธอได้แต่งงานอีกครั้งกับ นิล เมอร์เรย์ นายแพทย์ชาวสก็อตต์ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้านที่เอดินเบรอะ ร่วมกับลูกๆ ทั้ง 2 คนของพวกเขาทั้ง เดวิด วัย 4 ขวบ และ แม็คเคนซี วัย 2 ขวบ รวมทั้ง เจสซิกา ลูกสาวที่เกิดจากอดีตสามีนักข่าวชาวโปรตุเกสที่ร่วมทุกร่วมสุขกับเธอมาตั้งแต่ยังแบเบาะ
Killiechassie House บ้านพักที่เธอใช้เป็นสถานที่ยุติเรื่องราวของพ่อมดน้อยอย่างสงบร่มรื่น ขณะที่โลกที่เหลือรอคอยการมาถึงอย่างบ้าคลั่ง
ตอนนี้เจ.เค. ยอมรับกับชื่อเสียงที่ได้รับเป็นอย่างดี ทุกวันนี้เธอยังใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย นานๆ ครั้งเท่านั้นที่จะมีคนจำเธอได้เมื่อพบเจอกันบนถนน แต่กระนั้นเธอก็อาศัยอยู่ในปราสาทสีเทาทะมึนที่มีต้นไม้โอบล้อมถนนหน้าบ้าน ปกป้องความเป็นส่วนตัวด้วยกำแพงหินสูง 8 ฟุตและประตูทางเข้าที่เป็นเหล็กแข็งแกร่ง แสดงถึงความเป็นส่วนตัวที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติเช่นเดียวบ้านของนักเขียนดังๆ ที่อยู่ละแวกนั้นทั้ง เอียน แรนคิน หรือ อล็กซานเดอร์ แม็คคอล สมิธ ที่แสดงออกถึงความมั่นคง มากกว่าฟุ้งเฟ้อ

สนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้านมีทั้งประตูสำหรับเตะฟุตบอลและของเล่นเด็กพลาสติกที่วางอยู่เกลื่อนกลาด ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ของบ้านก็เต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือ, ตู้ปลา, อัลบั้มภาพถ่าย และกระดานเกมส์ ที่ให้บรรยากาศไม่ต่างจากบ้านของครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไปเลย

เจ.เค.คาดเดาว่าจะมีแฟนๆ บางส่วนไม่ชื่นชอบตอนจบของ Harry Potter and the Deathly Hallows แต่กระนั้นเธอก็ภูมิใจกับมันมากๆ

"เล่มสุดท้ายจบลงอย่างที่ได้วางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสงบใจเมื่อนึกถึงมัน"

ส่วนในเรื่องของอนาคตนั้น เธอเปิดใจว่ายังไม่มีการวางแผนใดๆ ทั้งนั้น

"ฉันคงจะไม่มีวันเขียนอะไรที่จะประสบความสำเร็จได้เท่านี้อีกแล้ว เหมือนกับฟ้าไม่มีวันผ่าลงมาที่เดิมเป็นหนที่สอง"

"แต่ฉันจะทำเหมือนกับที่ฉันทำกับแฮร์รี ฉันจะเขียนสิ่งที่ฉันต้องการเขียน และถ้ามันจะกลับไปเหมือนเดิม มันก็โอเค แต่ถ้ามันจะเป็นบางอย่างที่แตกต่าง มันก็โอเค"

"ฉันอยากจะตกหลุมรักกับไอเดียใหม่ๆ อีกครั้ง จากนั้นก็สร้างสรรค์มันออกมา"

กำลังโหลดความคิดเห็น