xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่า "สู่ขวัญ" กับตำแหน่งหวานใจ "โชค" ขวัญใจ "ยุทธ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากให้ลองยกตัวอย่างของ "ผู้หญิง" ในแวดวงสื่อสารมวลชนที่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้สาวๆ ส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาได้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก ความสามารถในวิชาชีพ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน เรื่อยไปกระทั่งชีวิตรัก ครอบครัวแล้ว...

เชื่อได้เลยว่า หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ "สู่ขวัญ บูลกุล" รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

"งานตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่ขวัญทำมันก็ต่างไปเยอะ เพราะตอนแรกที่ทำกับเนชั่นเราอยู่สายเศรษฐกิจอย่างเดียวเลยคือเรื่องสังคมตัดทิ้งไปเลยนะ แล้วก็การเมืองมีบ้างในบางพาร์ทที่มันเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจน่ะค่ะ..." หญิงสาวบอกเล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานของตนเองกับการเข้ามาทำหน้าที่ผู้ประกาศอีกครั้งในรายการ "เรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์" ทางช่อง 3 หลังทิ้งช่วงไปนานนับตั้งแต่เริ่มสร้างครอบครัวกับนักธุรกิจชื่อดังจาก "ฟาร์มโชคชัย" "โชค บูลกุล"

"ถ้าพูดถึงหลักในการเตรียมตัวการทำงานขวัญก็ยังเน้นให้ความสำคัญการเตรียมตัวสูงมาก ตรงนี้ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย เพราะเนชั่นตอนนั้นค่อนข้างปลูกฝังให้คนมีความพร้อมด้วยตัวเอง เรื่องของข้อมูลต้องเตรียมเองเพื่อฝึกคนให้รู้ว่าถ้าเราอยากได้ข้อมูลแบบนี้เราต้องหาที่ไหน อย่างไรและถ้าเวลาจำกัดเร็วที่สุดต้องทำอย่างไร"

"เราก็มีพื้นฐานตรงนั้นอยู่ เลยเหมือนเป็นคนที่ถูกปลูกฝังว่าต้องพึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้นมันก็พยายามขวนขวายหาข้อมูลเองซึ่งเป็นพื้นฐานตั้งแต่แรกที่เราทำมาจนถึงวันนี้"

"แต่วันนี้การเข้าถึงข้อมูลมันก็ไม่สะดวกเหมือนสมัยก่อน เมื่อก่อนเราอยู่สถานี สงสัยเรื่องนั้นเราก็เดินไปโต๊ะนู้นถามนักข่าวในโต๊ะนั้น แต่นี่เราในฐานะที่ตอนนี้จัดรายการเรื่องเล่า เสาร์อาทิตย์อย่างเดียวเลย เราไม่ได้อยู่กับช่อง ก็ติดตามข่าวสารได้เหมือนประชาชนทั่วไปคนหนึ่งแต่ว่าเราต้องพยายามทำการบ้านให้ได้มากกว่า ต้องอ่านเยอะๆ อ่านบทวิเคราะห์บ้าง อ่านข่าวจากหลายๆ หนังสือพิมพ์เพราะว่าดีเทลแต่ละหนังสือพิมพ์ก็ไม่เหมือนกัน"

มองถึงสถานะตนเองในปัจจุบันเป็นแค่ "พิธีกร" คนหนึ่ง หาใช่ "นักข่าว" แต่อย่างใด
"มันเหมือนคนละงานกันเลยในความรู้สึกขวัญ แต่ถามขวัญการเป็นนักข่าวเราได้ทำอะไรเยอะ พาร์ทหนึ่งของการเป็นนักข่าวตอนนั้นขวัญได้ออกหน้าจอด้วย แต่นี่ขวัญอยู่แต่หน้าจอทีวี ไม่ต้องเขียนสคริปต์หรือสัมภาษณ์หรือตัดต่ออะไร แต่เราก็โอเคเราอยู่ได้ อัพเดทตัวเองเกี่ยวกับข่าวคราวต่างๆ ถ้ามีบทวิเคราะห์ที่อนาคตเราคิดว่าต้องใช้เราก็ต้องเก็บ"

ถือเป็นความลงตัวโดยเฉพาะเรื่องของเวลาที่ไม่สามารถทุ่มเทให้ได้เหมือนเมื่อในอดีต
"ถ้าวันนี้ในความเหมาะสมกับเวลาที่เรามีขวัญว่าแบบที่ทำทุกวันนี้ลงตัว เพราะขวัญไม่มีเวลาเหมือนสมัยที่สาวๆ โอ้โห! ทำงานตั้งแต่เช้าถึงกลางคืน ความรู้สึกต่างกันมั้ย ก็ต่างกัน เพราะสมัยนั้นเรายังเด็ก ยังสนุกสนานกับงานทุกอย่าง แล้วก็ทุกอย่างที่เข้ามามันท้าทายไปหมด จนถึงวันนี้ที่เรามีภาระอย่างอื่นที่ต้องรับผิดชอบก็เหมือนต้องสร้างสมดุลให้กับตัวเอง ครอบครัวเราต้องดู ลูกเรายังเล็ก งานเราก็อยากทำ ชีวิตส่วนตัวเราก็อยากมีซึ่งอะไรลงตัวที่สุดวันนี้ขวัญก็แฮปปี้กับวันนี้กับสิ่งที่ทำ"

พิธีกรหญิงบอกต่อไปว่า โดยส่วนตัวถนัดกับการทำข่าวสายเศรษฐกิจมากกว่าการเมือง-สังคมเพราะมีข้อมูลความรู้พื้นฐานอยู่ ในขณะที่การทำรายการเล่าข่าวก็สนุกไปอีกแบบ..."ขวัญเข้าใจคอนเซ็ปต์รายการและเข้าใจว่าฐานคนดูคืออะไรอย่างนี้มากกว่าค่ะ คือบางทีเวลาเราจัดรายการอะไรจะไม่ยึดตัวเราว่าอุ๊ย! ชั้นชอบเรื่องนี้ ชั้นอยากพูดเรื่องนี้ อ่านเรื่องนี้มาจะคุยเรื่องนี้โดยที่เราไม่มองซ้ายมองขวา เป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะอย่างเรารายการของฟรีทีวีมันก็มีหลายปัจจัยที่เราต้องคำนึงถึง"

"คอนเซ็ปต์รายการวันนั้นกับวันนี้ต่างกันไปแล้ว อันนี้เหมือนเป็นกันเองมากขึ้นน่ะ เรามีการสื่อสารกับคนดูมากขึ้น เราพยายามทำให้เรากับเขารู้สึกว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราเหมือนคุยกับพี่ยุทธอยู่ คนทางบ้านก็นั่งฟังเรา 2 คนนั่งคุยกัน"

เผยสิ่งสำคัญในการทำหน้าที่พิธีกรคู่แม้จะต้อง รู้ใจ รู้ทาง แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสนิทสนมกัน?

"ไม่จำเป็นน่ะค่ะเพราะไม่อย่างนั้นรายการพิธีกรคู่คงหากันได้ยากที่เอาแต่สนิทกันมา"

"มันอยู่ที่เราทำการบ้าน โอเค เราจับคู่กับใครคนนี้เป็นแนวนี้นะ เขาถนัดแนวนี้ ลีลาเขาจะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยู่ข้างๆ เนี่ยเราควรที่จะทำอย่างไรแต่ทีนี้ต้องอยู่ที่เรา 2 คนตกลงกัน หรือทีมงานตกลงกันว่าโอเครายการนี้นะจะให้มีพิธีกร 2 คนกำหนดมาว่าแต่ละคนมีบทบาทอย่างไร"

"จริงๆ มันอาจเป็นนโยบายที่มีอยู่ตั้งแต่ต้นว่าเธอเอาไป 60 อีกคนเอาไป 40 หรือ 70/30 หรือ 50/50 ทุกอย่างถูกกำหนดแล้วหรือถ้าสมมติมีเรื่องอะไรแรงๆนะเธอนะ เธออีกคนเป็นคนคอยเสริมคอยเติมแต่งคอยตบมันจะชัดเจนในบทบาทและเราก็มาทำการบ้านกับบทบาทที่เราได้รับว่ามันควรจะเป็นอย่างไรมากกว่า"

ในรายการเรื่องเล่าฯ บทบาทของ "สู่ขวัญ" กับ "สรยุทธ" ถูกวางไว้อย่างไร?
"คือเราเคยจัดรายการกันมาก่อนแล้ว พอมาคู่กันอีกทีก็ง่ายแต่ด้วยคอนเซ็ปต์เรารู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าเช้านี้หรือเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์เนี่ยพี่ยุทธเป็นหลัก อันนั้นชัดเจน เพราะว่าพี่ยุทธเหมาะสมที่เป็นหลักด้วย เขามีความชัดเจนในเรื่องข่าวมากกว่า"

"เพราะฉะนั้นขวัญจะเป็นคนที่อยู่คอยเสริมทำให้รายการมีสีสันขึ้นหรือทำให้วันเสาร์อาทิตย์ดูสบายขึ้น แต่ว่าจะทำอย่างไรให้มันรักษาการโต้ตอบตรงนี้เอาไว้ไม่ให้หายไปเลย เนื้อหาหลักประเด็นสำคัญต้องเป็นพี่ยุทธ เราตกลงกันตั้งแต่แรกและเรายอมรับกันอยู่แล้วค่ะ"

ด้วยรูปแบบของรายการที่ไม่ใช่การวิเคราะห์เพราะฉะนั้นในเรื่องจุดยืนของแต่ละคนที่มีแล้วไม่ตรงกันเลยไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากแต่ละคนไม่ได้แสดงความคิดเห็นในส่วนที่ว่านี้ออกมาอยู่แล้ว
"รายการที่ขวัญทำกับพี่ยุทธเป็นรายการที่เรานำเสนอรายละเอียดน่ะ ไม่ใช่รายการวิเคราะห์ ขวัญไม่มีปัญหาตรงนี้น่ะเพราะฉะนั้นมันไม่มีแบบว่าพี่ยุทธชอบขวัญไม่ชอบ อย่างเราอ่านข่าววันนี้นะ ม็อบเขาจัดประชุมกันนะ เสร็จแล้วเขาจะเคลื่อนพลนะ เสร็จแล้วบอกว่าเอาล่ะถ้าอยากเคลื่อนแล้วทำตามกฎกติกาไม่ว่ากัน ตำรวจก็ล้อมไว้นะ คือเราแค่เล่าสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นมันไม่มีแบบจุดยืนไม่เหมือนกันในเรื่องของข่าว"

"จริงๆ ขวัญไม่เคยทำรายการวิเคราะห์กับพี่ยุทธเลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หลักสำคัญอย่างเรื่องเล่าเช้านี้หรือเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์คืออ่านตามเนื้อหาข่าว ไม่ใช่รายการวิเคราะห์ข่าวทุกเรื่องนะ ถ้าถามว่าไม่มีเลยเหรอที่ขวัญจะรู้สึกเวลาพี่ยุทธแสดงความคิดเห็นออกมาแล้วเราไม่รู้สึกคล้อยตาม ก็อาจจะมีบ้างแต่เล็กน้อยมากเลย มันเล็กน้อยมากจนไม่รู้สึกน่ะ"

"เอาอย่างนี้ขวัญไม่เคยรู้ว่าพี่ยุทธชอบนักการเมืองคนไหน ไม่เคยเป็นเรื่องที่คุยกัน พี่ยุทธก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขวัญชอบใคร ทั้งๆ ที่ขวัญไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดเห็นเหมือนกันรึเปล่า พูดจริงๆ ขวัญก็ไม่รู้ว่าพี่ยุทธเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ ขวัญไม่รู้เลยเพราะไม่ใช่เรื่องที่คุยกัน จบรายการก็คุยเรื่องจิปาถะกันไป แต่ว่าขวัญอยู่กันอย่างให้เกียรติกันมากกว่า พี่ยุทธให้เกียรติขวัญมากและขวัญก็ให้เกียรติและเคารพพี่ยุทธมาก"

รู้สึกอย่างไรที่มีหลายคนรู้สึกว่า...ต้องฉลาดแบบสู่ขวัญนี่แหละถึงจะทำงานกับสรยุทธได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ?

งงๆน่ะใครฉลาดเท่าไหนเราไม่รู้จะวัดกันอย่างไร จริงๆ นะคะ เอาเป็นว่าถ้าเราพูดอะไรอย่างมีเหตุผลน่ะเขาคงจะทำอะไรเราไม่ได้ อยู่ๆ ถูกโจมตีแบบไร้สาระเนี่ยมันเป็นไปไม่ได้ คือขวัญก็ไม่รู้เราอาจจะเป็นคนที่รับส่งแล้วรู้ทางก็อาจเป็นไปได้เพราะขวัญค่อนข้างจะรู้ทาง ถ้าพี่ยุทธเข้าเรื่องนี้แล้วพี่ยุทธจะพูดไปถึงขนาดไหน มันอาจจะพอจับทางได้ถูก"

"ที่คนยกย่องก็ดีใจที่อย่างน้อยคนดูๆ แล้วมันไม่ขัดตา เพราะเราก็จะห่วงว่าถ้ามันโยนรับส่งลูกไม่คล่องเนี่ยคนดูก็อาจจะอึดอัด โยนไปแล้วหล่นบ้าง รายการมันไม่ flow อันนี้ถ้าคนดูดูแล้วเออฉลาดดีนะ อันหนึ่งที่ขวัญดีใจคือรายการมัน flow ไปได้ ไม่กระตุกกระตัก ไม่ขาดๆเกินๆ แต่ที่บอกว่าฉลาดเท่ากันขวัญคงไม่เอาตัวไปเทียบกับพี่ยุทธ เพราะด้วยประสบการณ์และความสามารถขวัญคงไม่เทียบค่ะ"

"มันแล้วแต่คนอาจจะมอง ต้องยอมรับว่าบางคนอาจจะชอบขวัญ บางคนอาจจะไม่ใช่ จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ชอบ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะชอบนะคะ ในส่วนของพี่ยุทธจากที่พี่ยุทธกับขวัญจัดรายการกันก็บางคนถามว่าเป็นอย่างไรกลับมาทำงาน ขวัญจะบอกว่าสนุกดี ไม่รู้สึกว่าทำงานรู้สึกว่าเสาร์อาทิตย์มาเจอเพื่อนนั่งคุย มันสนุกที่จะคุยกันแล้วก็เคยทำงานกันมาแล้วค่อนข้างรู้แนวรู้สไตล์ คือคนมันคุยกันได้น่ะ"



นอกจากคนดูแล้ว พิธีกรชายเองก็มักจะเอ่ยปากชมทุกครั้งที่มีโอกาสว่าฉลาด น่ารัก
"ขวัญก็ดีใจนะคะที่อย่างน้อยพี่เขาก็เป็นรุ่นพี่เขาก็ชื่นชมเรา เอ่ยปากชมก็ดีใจ เพราะเขาอยู่ในฐานะเจ้านายชมเราเราก็รู้สึกค่อยยังชั่วแล้ว ขวัญว่าพี่ยุทธเองไม่ว่าหลายๆ คนที่ทำงานคู่กับเขามา เขามีหน้าที่ดึงจุดเด่นของแต่ละคน ถ้าบอกว่าพี่ยุทธไม่ค่อยชมใคร ขวัญว่าไม่ค่อยใช่นะ แต่อาจจะหลากหลายรูปแบบ พี่ยุทธมีหน้าที่หลักคือดึงจุดเด่น ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่คู่ อรปรียา, มีสุข, น้องกุ๊ก, พี่เอกราช แม้แต่คุณปลื้มนะคะ"

"เขาสามารถดึงจุดเด่น ถ้าจี้ตรงนี้แล้วเขาดูน่ารักหรือว่าเป็นจุดที่ไปแตะคนนี้เรื่องนี้แล้วคนนี้น่ารักน่ะ ถ้าให้คนนี้พูดเรื่องเศรษฐกิจแล้วน้ำไหลไฟดับ หรือแซวเขาเรื่องนี้แล้วเวลาเขาทำตัวไม่ถูกแล้วเขาน่ารักดี พี่ยุทธเป็นคนหาจุดเด่นตรงนี้ของคู่เขาเลย และใช้จุดเด่นตรงนั้นให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาขวัญรู้สึกว่ามันเวิร์คมาตลอด"

"ขวัญก็จะเห็นเขาพูดถึงคนนู้นคนนี้ว่ามีจุดเด่นอย่างไรก็ว่าไป (กลายเป็นขวัญให้เครดิตสรยุทธที่ทำให้ขวัญน่ารักแบบนี้?) ก็อาจจะมีความสามารถของเขาตรงนี้แต่มันเป็นหน้าที่ของพี่ยุทธน่ะในความรู้สึกของขวัญนะ"

พร้อมแสดงความคิดเห็นที่มีต่ออีกฝ่ายว่าเป็นคนที่ดูเหมือนดุแต่ไม่ดุ และเป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่นมากๆ
"ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งขวัญจัดรายการแล้วเดินออกจากห้องส่งแล้วรู้สึกว่าพี่ยุทธน่ะ ทีหลังขวัญไม่เอาแบบนี้แล้วนะ ถ้าขวัญไม่เห็นด้วยกับแบบนี้พี่ยุทธจะฟังทันที คือในส่วนตัวที่ขวัญรู้จักพี่ยุทธมาโดยตลอดเขารับฟังมาก คนที่อยู่ในสายข่าวเราก็น่าจะรู้กันเราต้องเจอความคิดเห็นที่มันหลากหลายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นมันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วที่เขาอยู่ได้ในความแปลกและแตกต่างในความคิด"

"ส่วนตัวขวัญพี่ยุทธเป็นคนที่เปิดฟังมากค่ะ เราคิดแบบนี้เราเห็นด้วยไม่เห็นด้วยหลายๆครั้งที่ขวัญคุยกับพี่ยุทธพี่ยุทธจะตอบเรากลับมาด้วยเหตุผล บางทีนะจะมีถามว่าพี่ยุทธข่าวนี้เอามั้ยซึ่งมันอาจจะก้ำกึ่งว่าดูรุนแรงไปมั้ยแต่ว่าคนสนใจนะ พี่ยุทธก็จะบอกว่าไม่เอาดีกว่าเพราะอะไร เขาจะอธิบายแต่ไม่ใช่แบบชั้นสั่งว่าไม่เอา ไม่เคยนะคะ"

"จุดหนึ่งที่ขวัญกับพี่ยุทธไม่มีปัญหาก็คือเรารับฟังเหตุผลกันมากแล้วก็มีอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่องนะ จริงๆเรื่องทุกอย่างน่ะแกก็ฟังแกก็ให้คำปรึกษาได้ อธิบายในสิ่งที่แกคิดได้ว่าเหตุผลที่แกทำแบบนี้เพราะอะไร แกก็เป็นคนที่มีเหตุผลสูงเพราะฉะนั้นถ้าเกิดเราทำอะไรที่มีเหตุผลแล้วเราจะทะเลาะกันถึงขั้นไม่มองหน้า ไม่มีน่ะ อันนี้คือส่วนที่ขวัญมองเขา"

จากประเด็นการเป็นขวัญใจของรุ่นพี่ในการทำหน้าที่พิธีกร มาสู่ประเด็นการเป็นหวานใจของสามีนักธุรกิจดัง "โชค บูลกุล" ซึ่งในขณะที่หลายคนอาจจะรู้สึกแอบอิจฉาในความรักและครอบครัวของทั้งคู่ ทว่าเจ้าตัวกลับไม่อยากให้มองเช่นนั้น?
"ขวัญจะบอกก่อนเลยว่าไม่ต้องอิจฉา ชีวิตคู่ขวัญก็เหมือนคู่ผู้หญิงผู้ชายทั่วไป มีบางวันแฮปปี้บางวันโกรธงอน ไม่พูดกัน มีเหมือนทุกคู่เลย อย่าไปมองแบบว่าคู่นั้นเขาดีจังเลยนะ รักกันไม่เหมือนคู่ชั้น ไม่จริงหรอก แต่เราก็ไม่ใช่คู่ที่จะไปทะเลาะกันที่สาธารณะชนเราก็กลับไปคุยกันที่บ้านให้เรียบร้อย ขวัญมองคู่ตัวเองโดยตลอดว่าปกติเหมือนกับทุกคน"

"ขวัญเองแต่งงานกับคุณโชคมาแค่ 3 ปีมันก็เลยเหมือนอยู่ในช่วงการเริ่มสร้างครอบครัว เรายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ หลายอย่างที่เราจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันอาจจะมีบางอย่างที่เราเข้าใจและไม่เข้าใจ"

"พื้นฐานตั้งแต่ต้นที่เราคบกันมาคือพยายามทำความเข้าใจกันซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามทำตลอด บางคนอาจจะมองว่าเหมาะสมกันจังเลยนะอะไรก็แล้วแต่ภาพก็คือภาพนะคะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องทำให้เราทั้งคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง สิ่งที่ขวัญอยากมากกว่าว่าเออภาพมันดูดีเนอะคู่นี้ ขวัญก็ยังอยากให้ในที่สุดขวัญกับคุณโชคทำครอบครัวของเราให้มันมั่นคง"

เพราะเริ่มต้นด้วยความรับรู้ว่าหน้าที่การงานของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร เพราะฉะนั้นเรื่องที่พอจะสร้างปัญหาอย่างการไม่มีเวลาให้แก่กันเลยไม่ใช่ปัญหา
"พี่โชคเป็นคนทำงานเยอะ แล้วก็จะไม่ใช่ว่าทุกอาทิตย์ต้องมีวันหนึ่งเป็นวันของเรา ซึ่งขวัญว่าก็เวิร์คดีนะ แบบไปกินข้าวด้วยกันขวัญว่าเออดีเหมือนกัน วันหลังจะเอาบ้าง แต่พื้นฐานของเราไม่ได้มีแบบนั้นเพราะพี่โชคทำงาน 7 วันต่ออาทิตย์ ทั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย บางทีก็ต้องไปขึ้นฟาร์ม เพราะฉะนั้นเวลาที่พี่โชคว่างน้อยมาก แต่ทีนี้เราเห็นจุดนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วมันไม่ใช่แบบชั้นเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นแบบนี้ ไม่มีเวลาเลยซึ่งขวัญก็รับเขาได้ในจุดนี้"

"แล้วจุดที่เขาเป็นแบบนี้ก็เป็นจุดที่ขวัญชื่นชม เขาเป็นคนที่ทุ่มเทรับผิดชอบงานสูงมาก คือเอาจริงๆ เขาจะใช้ชีวิตที่สบายกว่านี้ก็ได้ มันก็ไม่ถึงขั้นว่าต้องทุ่มทั้งตัวทั้งเวลาขนาดนี้ แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีอุดมการณ์มากซึ่งเป็นจุดดี"

ได้ช่วยอีกฝ่ายในเรื่องธุรกิจบ้างมั้ย?
"ไม่มีแบบว่างานส่วนนี้ของชั้นค่ะ ขวัญก็จะทำแค่ในส่วนที่พี่โชคกลับบ้านมามีอะไรสบายใจหรือทุกข์ใจหรือนึกไม่ออก อยากเหมือนกับรำพึงรำพันกับตัวเอง แล้วเราฟังแล้วก็แบบเออทำไมไม่อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ถึงขั้นแนะนำนะคะ แต่ว่าเป็นผู้ฟังให้กับเขา สมมติบางทีเรามีไอเดียอะไรออกมาอาจจะใช้ได้บ้างใช้ไม่ได้บ้างก็แล้วแต่"

"อย่างน้อยขวัญคิดว่าอยู่ที่ทำงานหรืออะไรมันวุ่นวายและมีเนื้อหาพออยู่แล้ว บางทีคนเราก็อยากแค่ใครสักคนรับฟังเฉยๆ คือว่าเราไม่ได้ยื่นตัวเข้ามาแบบว่าในฐานะที่ดิฉันเป็นภรรยาคุณควรที่จะแบ่งงานของคุณมาให้ชั้น ขวัญก็อยู่ข้างๆ เขา และเมื่อไหร่ที่เขาต้องการอะไรก็บอกแล้วกัน ทำแค่เรื่องง่ายๆ เท่านั้นเองน่ะค่ะ"

การกลับเข้าไปมีบทบาทอีกครั้งทางหน้าจอทีวีนั้นสู่ขวัญบอกว่าเป็นสิ่งที่ตนเองวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และคิดว่าหากลูกโตขึ้นมากกว่านี้ตนก็จะกลับมารับงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่จำกัดว่าต้องอยู่ในสายงานที่เคยทำมา
"ลูกสำคัญที่สุดค่ะ แต่ขวัญแพลนไว้ตั้งแต่ต้นว่าแต่งงานแล้วจะมีลูกและสักปีหนึ่งขวัญจะกลับมาทำงาน แล้วพอถึงเวลาลูกครบปีหนึ่งพี่โชคก็ว่าดี เห็นด้วย มีความรู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าจะเป็นแม่บ้านอย่างเดียว พี่โชคก็บอกว่าอยากให้เลือกทำในสิ่งที่สนุก เป็นความสุข อย่าทำเพราะจำเป็นต้องทำ แล้วก็จริงๆ เขาไม่ได้พูดอะไรมากก็เหมือนเรารู้กัน เข้าใจกันว่าประเด็นคือลูก"

"แพลนว่าถ้าลูกโตกว่านี้ก็จะรับงานเพิ่มขึ้นค่ะ ถ้าเขาเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เข้าโรงเรียนเราจะเพิ่มสัดส่วนการทำงานตามไปเรื่อยๆ ก็จริงๆส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวเราด้วยเนอะ ถ้าวันหนึ่งเขาโตแล้วอย่างน้อยเราก็มีอะไรที่เราทำเป็นของเราเอง ถามว่าอนาคตจะทำรายการที่เป็นสายงานข่าวอยู่รึเปล่า ตรงนี้อาจเป็นอะไรที่หลากหลายมากเลย ขวัญไม่ค่อยยึดติดเลยว่าต้องอยู่หน้าจอตลอดไปแต่ผันไปทำอย่างอื่นก็ได้"

"ขวัญคิดว่าชีวิตเรามันน่าสนุกนะถ้าเรารู้ว่าชีวิตนี้เราจะได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ยอมรับว่างานทีวีเป็นงานที่สนุกแล้วก็ชอบแต่ถ้ามันจะทำอะไรอย่างอื่นได้อีกขวัญก็ไม่ปฏิเสธที่จะลอง แต่ว่างานบันเทิงคงไม่ไหวมั้ง อายุขนาดนี้ไม่เหมาะกับการเข้าวงการบันเทิงโดยสิ้นเชิงค่ะ(ยิ้ม)"

ทั้งเสียงตอบรับจากบทบาทหน้าที่การงาน ครอบครัว เมื่อถามที่ว่าชีวิตนี้ถือว่าอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่า "สมบูรณ์" แล้วหรือยัง? เจ้าตัวตอบได้อย่างน่าคิดว่า...

"ถ้าสมบูรณ์สงสัยต้องมีลูกอีกคนหนึ่ง (หัวเราะ) กะไว้ว่าสิ้นปีหน้าเราจะลองดูนะคะช่วงนี้ยังไม่ค่อยสะดวกเพราะขวัญกำลังสร้างบ้านใหม่ ก็ให้สร้างเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วเราค่อยย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ก็โอเค แต่ว่าถามถึงว่าความสุขในตอนนี้อย่างไรขวัญว่าขวัญแฮปปี้เพราะว่าลูกก็กำลังอยู่ในวัยที่น่ารัก ตอนนี้ 2 ขวบแล้วค่ะ เราก็มีเวลาให้ลูกที่จะเล่นกับลูกแล้วก็เวลาที่เราจะอยู่กับสามีบ้างแล้วก็มีงานที่เราสนุก"

"มันพูดยากนะ ขวัญก็ไม่อยากใช้คำพูดว่าชีวิตชั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ขวัญว่ามันไม่มีคำนั้น ถ้าใจเรารู้สึกว่ามันพอก็คือสมบูรณ์ ถามว่าวันนี้เราแฮปปี้แล้วพอมั้ยก็พอ แต่ถ้าสมมติมันมีโอกาสเพิ่มแล้วมันเป็นไปได้ที่จะทำที่จะเพิ่มถ้าเพิ่มอีกสักคนก็น่าจะโอเค..."


กำลังโหลดความคิดเห็น