"ประภาส" บอกจุดยืน "เวิร์คพอยท์" จะทำแต่ของถนัด ส่วนกรณีหันมาจับงานละครเวที "ชายกลาง" เจ้าตัวบอกเพราะเหตุผลความชอบส่วนตัวไม่คิดจะทำแข่งกับใครโดยเฉพาะ "บอย ถกลเกียรติ" พร้อมเผยธุรกิจที่โตขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติไม่เคยวางแผนล่วงหน้า
เพราะธุรกิจที่ทำมาค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในเกือบจะทุกสาขา ทั้ง เกมโชว์ ภาพยนตร์ ละคร ซิทคอม ฯ ครั้นพอ บ.เวิร์คพอยท์ มาจับงานละครเวที "ชายกลาง" จากการกำกับของ "ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม" หรือ "สังข์ 108 มงกุฎ" โดยมี "โน้ส อุดม แต้พานิช" มารับเล่นหลังห่างจากละครเวทีมาร่วม 15 ปี เลยกลายเป็นที่สนใจขึ้นมาทันทีว่า บ.บันเทิงชื่อดังบริษัทนี้จะหันมาบุกตลาดละครเวทีหรืออย่างไร?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ "จิก ประภาส ชลศรานนท์" ผู้บริหารหัวครีเอทพ่วงตำแหน่งโปรดิวเวอร์ของ "ชายกลาง" เปิดเผยว่า...
"ตรงนี้เกิดจากความประทับใจของผมที่ไปดูแล้วมันตื่นเต้น อยากให้คนอื่นดูด้วย ไม่อยากให้ดูกันแค่นี้ 5-6 รอบแล้วเวทีเล็กๆ อยากเอามาทำให้ประชาชนดูเถอะจากตรงนี้เองพอดูเสร็จออกจากโรงปุ๊บผมก็โทรหาทีมน้องๆ เลย ดีมาก น่าจะเอามาขยายให้ประชาชนดูบ้างนะผมพูดประโยคนี้ซึ่งต่อจากนี้เราอาจจะมีละครเวทีแค่เรื่องเดียวหรือว่าหลายเรื่องก็ได้ ผมว่าก็เป็นวิถีทางที่จะเกิดในอนาคตมากกว่า"
"ตัวผมเองหรือตัวคุณปัญญาหรือตัวคนในทีมเราที่มีลักษณะแตกต่างกันไปที่มีทั้งความชอบ ความใฝ่ฝันเราก็อยากทำอะไรที่เราอยากทำน่ะแต่ไม่ได้หมายความว่าเราไปบุกละครเวที 10 -20 เรื่องไม่ใช่หรอก มันเป็นความฝันที่จะทำน่ะนะอันที่ 1และก็น่าส่งเสริมเด็กรุ่นใหม่ซึ่งก็ใช่เป็นรุ่นน้องที่คณะ'ถาปัด จุฬาฯแต่ทีมภาพยนตร์ก็เป็นอีกทีมหนึ่งนะครับ"
ไม่ได้จำเพาะเจาะจงจะต้องเป็นรุ่นน้อง "ละคร'ถาปัด" ที่เดียว หากสถาบันมีอะไรที่น่าสนใจก็พร้อมที่จะเข้าไปส่งเสริมสนับสนุน
"เราไม่ทำเล่นๆ ถ้ามันดีเราทำอีก มันได้ทั้งคนดูและคนทำน่ะ คนดูมีความสุขคนทำมีความสุข วงการละครก็คึกคัก บริษัทเวิร์คพอยท์ก็มีผลกำไรเข้ามา มันวินหมด ก็ต้องทำน่ะ และผมเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่มีอะไรดีๆ เยอะนะ แต่เขาไม่มีโอกาส"
พร้อมยืนยันไม่ได้คิดแข่งกับใคร หรือจะชิงตำแหน่งเจ้าพ่อละครเวที จาก "บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ" แต่อย่างใด
"ก็ไม่ได้กะเป็นคุณบอย 2 หรืออะไรครับ ผมว่าอย่างละครเวทีน่ะผมเชื่อว่าคุณบอยก็คิดเหมือนผมนะ เราค่อนข้างยังเล็กอยู่นะบ้านเราน่ะ เราไม่แข่งหรอกสังเกตละครเวทีไม่มีฉายพร้อมกันคนจะไม่คิดว่าวันนี้จะดูโรง 1 หรือโรง 2 มันก็มีเป็นยุคๆ ไป ผมยังชื่นชมคุณบอยมากๆ ที่ทำโรงละครใหม่ขึ้นมาเพราะว่ามันทำให้คนที่ดูละครมีที่มากขึ้นเด็กๆ มีที่มากขึ้น"
"อย่างละครเวทีเรา คุณบอยก็เอื้อเฟื้อเรา จัดที่ให้ว่าจะลงอย่างไร วันไหน มันเป็นพวกเดียวกันน่ะ ถามว่าผมมองถึงขนาดจะมีโรงละครของตัวเองหรือเปล่า...มันไกลเกินไปที่จะคิดครับ"
เผยบริษัทยังมีวัตถุดิบและไอเดียอีกมากมายที่รอแปรรูปอยู่..."บางโครงการก็ยังอยู่ในที่ประชุมก็เป็นเรื่องของการทำงานเป็นหมู่คณะซึ่งเรื่องนี้ต้องให้คุณปัญญาเล่าดีกว่า ไอเดียใหม่ๆ มี แต่มันยังไม่ถูกพัฒนาเหมือนผลไม้ที่ยังไม่แปรรูปน่ะมันเอาไปเพียวๆ ไม่ได้ต้องผ่านการขั้นตอนอื่นๆ ทุกไอเดียที่เราคิดหรือว่าใครคิดก็ตามจะมีการแปรรูปก่อน"
"ที่เราจะพัฒนาต่อก็มีเยอะครับทั้งเกมโชว์ ละคร ภาพยนตร์เรื่องใหม่ เป็นวาไรตี้แต่มันยังไม่ถูกแปรรูปผมว่าบริษัทเราเนี่ยเราชอบเรื่องนี้มาก เรื่องคิดอะไรใหม่ๆ แต่ว่าเราไม่ผลีผลามน่ะเราจะเก็บไว้ในลิ้นชักก่อน บางเรื่องเหมาะสมก็ดึงออกมาทำต่อบางเรื่องยังไม่เหมาะสมยังต้องแปรรูปอีกเยอะอะไรแบบนี้ครับ"
"วัตถุดิบต่างๆ ในช่วงแรกๆ อาจจะมาจากผม แต่ตอนนี้เรามีกองอย่างนี้อยู่เยอะในบริษัทมีมากกว่า 10 คนที่ช่วยกันคิดช่วยกันสร้างไอเดียขึ้นมา ผมมีนโยบายอย่างหนึ่งว่าเราไม่อายและเราไม่เสียดายกับไอเดียใหม่ คิดมาทิ้งน้ำแล้วก็ทำ เหมือนกับว่าสิ่งที่สร้างเวิร์คพอยท์แล้วก็ให้กับวงการนี้นะ เรื่องคิดเองและเราทำเองไม่ได้ลอกเขาหรือซื้อเขามา"
กับความสำเร็จที่เข้ามาในหลายๆ ด้าน หนึ่งในกำลังสำคัญของเวิร์คพอยท์บอกว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปแบบธรรมชาติที่มิได้มีการวางแผงล่วงหน้าไว้เลย
"เราโตแบบธรรมชาตินะ เราว่าเราถนัดอะไรเราก็ทำอันนั้นอย่างละครเวทีละครทีวีคุณปัญญานี่สมัยเรียนนะเล่นมาไม่รู้กี่เรื่องน่ะ เยอะมากเป็นธรรมชาติของแกน่ะแกเข้าใจแกเคยเล่นมาแล้ว ผมนี่ทำมาไม่รู้กี่เรื่องสมัยเรียนเหมือนกันคือเราไม่ทำในสิ่งที่เราไม่ถนัดเลย รายการทีวีเราก็จะโตไปแบบธรรมชาติเราจะทำอะไรก็ทำเลย ไม่ได้คิดว่าปีหน้าเราจะวางแผนเพราะเราโตมาแบบที่เราถนัด"
"อย่างในส่วนของวิทยุนี่เป็นสิ่งที่ไม่ถนัดครับ ยังไม่เคยนึกเลยแม้แต่นิดเดียว มันไม่อยู่ในลิ้นชักเลยน่ะ ยกเว้นถ้ามีคนที่เก่งแล้วมาชวนเราเราเชื่อว่าเราเอาไอเดียเราไปพัฒนาได้ คือต้องให้เขาแปรรูปนะ เราแปรรูปเองไม่ได้นะ อันไหนไม่ถนัดก็ไม่ทำ"
แต่ทั้งนี้ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะดูดีหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์กับการปิดตัวลงไปของนิตยสาร "สารกระตุ้น" ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับคนที่จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จทางด้านนี้
"สารกระตุ้นก็ต้องหยุดไปเนื่องจากล้มเหลวทางธุรกิจ ถามว่ามีแผนทำต่อมั้ยก็ถ้ามีไอเดียพัฒนาได้ก็ทำ แต่อันนี้อย่าไปอะไรเพราะจะบอกว่าวงการแมกกาซีนค่อนข้างซบเซามาก ถ้าถามเราว่าเป็นเพราะเราไม่ถนัดหรือเปล่าคือที่ผ่านๆ มาเราก็ถือว่าเราเคยทำบ้างนะแต่ไม่ใช่ว่าเป็นมืออาชีพทางด้านนี้ก็ลองจับดูอย่างแก้จนก็ทำได้"
"อย่างสารกระตุ้นเนี่ยเป็นอารมณ์เดียวกับชายกลางไง เราเจอทีมที่เรามั่นใจน่ะ เราอยากส่งเสริมเขาน่ะเราก็เลยลองพัฒนาทำดู แต่ผมไม่ได้แกะนะ เขาทำเองหมด ให้เขาพัฒนาเองหมด เขาถนัดของเขาเป็นปีๆ แต่เมื่อวันหนึ่งพบว่ามันแย่ลงเราก็ต้องยอมรับความจริง ไม่อายนะเราไม่ต้องอายที่จะบอกแบบนี้"