xs
xsm
sm
md
lg

"ย้ง แฟนฉัน" โต้ "เด็กหอ" ไม่ได้ลอก หนังสเปนแน่นอน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ย้ง แฟนฉัน" ยืนยันหนัง "เด็กหอ" ไม่ได้ลอกและได้แรงบันดาลใจจากหนังสเปนแน่นอน แจงเกิดประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยอยู่โรงเรียนประจำ ยอมรับเสียใจได้ยินคนหาว่าลอกหนังชาวบ้านและขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เชื่อทำหนังเรื่องใหม่ก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก ยอมรับแรงบันดาลใจ บูชาครูและการก๊อปปี้อธิบายยาก

เจอตั้งกระทู้ด่าแรงทีเดียวสำหรับ "ย้ง แฟนฉัน" หรือ "ทรงยศ สุขมากอนันต์" 1 ในผู้กำกับแฟนฉัน ผู้ที่กำกับหนังเรื่อง "เด็กหอ" ที่ไปคว้ารางวัลทั้งในและต่างประเทศมากมายหลายสาขาด้วยกัน แต่จู่ๆ ก็ตั้งกระทู้ด่าอยู่นานหลายวันในบอร์ดพันทิป กรณีหนังเรื่องดะงกล่าวไปลอก The Devil's Backbone ของประเทศสเปน จนมีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์มากมายทีเดียว

ล่าสุดทางสัดกัดค่ายจีทีเอช เลยจัดให้มีการชี้แจงเกี่ยวกับกับเรื่องนี้ โดย "ย้ง แฟนฉัน" ยืนยันว่าการเหมือนกันในหลายๆ ฉากนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และยืนยันว่าไม่ได้ลอก แต่เป็นเรื่องที่อยากเล่าตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนประจำ เคยดูหนังเรื่องนี้จริงแต่ไม่คิดลอก และไม่เคยได้แรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด

"เด็กหอไม่ได้ก๊อปเลยครับ ผมขอย้ำอีกครั้ง และจริงๆ ก็ไม่ได้แรงบันดาลใจมากจากเดวิลแบ๊คโบนแน่ๆ สิ่งที่ผมได้แรงบันดาลใจมาคือการที่ผมได้ไปอยู่ในโรงเรียนประจำ กับการเติมเสริมขึ้นมา"

"คือมันไม่ใช่เรื่องยากครับที่จะแยกหนังทั้งสองเรื่องออกจากกัน แยกให้ออกว่าอันไหนคือแรงบันดาลใจ อันไหนลอกมา ซึ่งถ้าผมลอกผมก็ไม่อายที่จะบอกว่าผมลอก แต่นี่มันไม่ใช่ทั้งแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนั้น และไม่ได้ลอกแน่นอน"

"ผมเคยดูหนังเรื่องเดวิลแบ๊คโบน เนี่ย ผมดูก่อนเกือบ 2 ปี แต่หนังแนวนี้เด็กหอผมอยากทำมาตั้งแต่ผมเป็นนักเรียนหนังน่ะครับ เพียงแต่ว่ามาทำแฟนฉัน แล้วอยากมีอะไรมาเสนอผมเลยอยากจะเล่าเรื่องนี้คือเด็กหอ ถ้าหลายคนที่เคยดูหนังที่เกี่ยวกับโรงเรียนประจำ ชายล้วนหญิงล้วน อะไรก็แล้วแต่มันหนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้หรอก"

"แล้วมีผีมีเรื่องลึกลับเยอะมากในยุโรป โน่นนี่มันตรงไปหมด อย่างมีหนังเรื่องฝรั่งเศสอีกเรื่องก็เหมือนนะ ซึ่งมีฉากฉี่รดที่นอนเหมือนกัน ในหนังจีนบางเรื่องก็มี มันคล้ายกันเลยก็มี เรื่องฉี่รดที่นอนเนี่ย ใครก็คิดได้ครับ"

"หนังเรื่องนี้เขียนบทหลายคนมีผม มีผู้ช่วยพี่เก้ง แล้วก็พี่กาเหว่า คือเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย พี่เหว่าตามตัวลำบากแต่น่าจะทราบ เพราะน่าจะมีคนบอก เขาคงเห็นเป็นเรื่องตลก เขาเป็นนักเขียนคนเหล่านี้เขาจะรู้สึกว่า ทำหรือไม่ทำ ผู้กำกับรู้อยู่แก่ใจ คนที่อยู่รอบข้างก็จะบอกว่าคนดูเลือกใช้วิจารณญาณก็ต้องเคารพคนดู ซึ่งหนังมันพิสูจน์ตัวเองได้"

"แต่ที่ต้องออกมาบอกเนี่ยเพราะว่าคนที่ชอบก็อยากให้เราออกมาพูด เพราะการไม่ออกมาพูดคือการยอบรับ คือการอยู่ในสังคมนี้มันยาก โดนเฉพาะการทำงานที่ต้องตอบสื่อสาธารณะ ถ้าว่าผมรู้มั้ย ผมรู้อยู่แก่ใจ ผมหลอกคนอื่นได้ แต่ผมหลอกตัวเองไมได้หรอกครับ มันต้องละอายใจอยู่ดี"

"เราจะทำไปทำไม หนังได้เงินแล้ว รางวัลก็ได้ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงหนังผมไมได้ก๊อปครับ ไม่ได้แม้กระทั่งแรงบันดาลใจจากหนังเดวิลแบ๊คโบน"

พร้อมอธิบายฉากที่เหมือนกันในหนังไม่ว่าจะเป็นการใช้การเล่นแผ่นเสียง มุมกล้อง และการฉี่รดที่นอนของตัวละครเอก..."อะไรที่มันคล้ายเราก็มีคำอธิบายในสิ่งที่มันเหมือน แต่ความเหมือนเหล่านั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้ ผมอยากให้มองว่าในสิ่งที่มันเหมือนกันเนี่ย เราสื่อความหมายอะไรมากกว่า ถ้าสุดท้ายมันสื่อเหมือนกัน แล้วคุณค่อยมาว่าผมก๊อป ผมก็จะยอมรับ ผมก็จะอายไปเอง"

"อย่างฉากครูฟังแผ่นเสียงเนี่ยผมใส่เพราะผมรู้ว่ามันมีที่มากกว่านั้น เราจะพัฒนาบททำอย่างไรจะทำให้การตายซ้ำตายซากไม่น่าเบื่อ มันต้องทำอย่างไร ผีในหนังเด็กหอต้องมาตายที่เดิม เราต้องใช้วิธีการอธิบายกับคนดู เราก็มานั่งคิดว่าเอาอย่างไรดี เลยเอาฉากแผ่นเสียงตกร่องมาเดินเรื่อง"

"ที่เหลือให้ตัวละครดำเนินไป ผมรู้สึกดีกับสิ่งที่ผมคิดได้ นี่คือการจะใส่แผ่นเสียงลงไป โดยให้ครูปราณีฟัง แล้วทำไมครูปราณีต้องฟังเพลงนั้นทำไม มีร่องรอยอะไร มีที่มาน่ะครับ แผ่นเสียงมีรอย เพราะครูก็มีอะไรในใจที่เป็น ไม่เหมือนเดวิลแบ๊คโบนแน่ๆ"

"เรื่องราวโรงเรียนประจำแล้วมีเด็กตายเคสมันเยอะมาก ประเด็นคือว่าไปตายบนที่นอน แล้วนอนตายบนเตียงเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องราวซับซ้อนที่จะคิดไม่ได้เลยน่ะครับ ใครก็คิดได้ เพราะอย่างผมเองผมก็เจอเรื่องแบบนี้จากพี่ๆ ที่อัสสัมชัญศรีราชาเหมือนกัน ผมก็เจอมา สามารถคิดได้น่ะครับ ไม่ใช่การลอกหรอก ใครก็คิดได้แบบนี้ มันคือความรู้สึกที่เราเอามาเล่า ให้ใครคิดก็คิดได้"

"มุมกล้องที่ซ้ำกัน มุมกล้องใต้เตียงมันจะมีซักกี่มุมกัน สุดท้ายเราก็ต้องเลือกที่มุมดีที่สุด เราคิดว่ามันดีที่สุด คนอื่นก็มองว่ามันดีที่สุดเหมือนกันครับ"

ยอมรับว่าก่อนการสร้างหนังเรื่องนี้มีคนติงแล้วเรื่องผีในโรงเรียนประจำ แต่ตนมองว่าบริสทุธิ์ใจที่ไม่ได้ลอกจึงลงมือทำ และที่ไม่ตัดส่วนที่เหมือนกันของหนังทั้งสองเรื่องออกเพราะมองว่ามใช่วิธ๊การแก้ปัญหา ลั่นเสียใจที่โดนมองว่าก๊อปปี้หนังคนอื่นแต่ไม่คิดฟ้องคนตั้งกระทู้ด่า

"จริงๆ มีคนติงนะตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะเขียนหนังผีในโรงเรียนประจำ เขาก็เตือนว่าระวังนะ ดูเรื่องนี้หรือยัง ระวังมันจะเหมือนกันนะ คือผีในโรงเรียนประจำ คนก็จะมองว่านี่มันคือการก๊อป มันไม่เหมือนหรอกครับ ก็กลัวนะ แต่ก็บริสุทธิ์ใจ สุดท้ายก็ทำ แล้วผมมานั่งย้อนคิดว่าถ้าวันนั้นผมเกิดกลัวแล้วไม่ทำมันขึ้นมาเนี่ย มันก็จะไม่มีหนังเด็กหอ"

"ถ้าจะให้ผมตัดส่วนที่มันเหมือนออก หรือว่าไม่ทำในแนวเดียวกันแต่ผมมองว่ามันดี ผมว่ามันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาน่ะครับ คือถ้าสมมติว่าเนื้อเรื่องนี้เราคิดเอง ทำเอง แล้วทำไมเราต้องแก้ ผมรู้สึกว่ายิ่งเราหนีเมื่อไหร่ คนก็จะยิ่งมองว่าคนเข้าใจผิดไปใหญ่"

"ผมแค่กลัวว่าคนที่ไม่ได้อ่านข่าวอย่างละเอียดเนี่ย จะสรุปเลย ผมก็ว่ามี แต่โดยส่วนตัวก็ทำได้แค่นี้ หนังมันพิสูจน์ตัวมันเองอยู่แล้ว ที่เหลือมันเป็นเรื่องวิจารณญาณ เหตุการณ์แบบนี้มันอาจจะไม่เปลี่ยนแปลงสังคม แต่ก็เชื่อว่ามีคนเข้าใจอะไรมากขึ้น ถ้าใครจะรู้สึกว่ามันเหมือนก็ไม่ว่าครับ"

"จริงๆ ความโกรธนี่ไม่มีนะ เสียใจมันกลบทุกอย่างอยู่แล้ว อย่างที่บอกน่ะครับ เราไปเอาอารมณ์กับสื่ออินเทอร์เน็ต กระทู้อะไรไม่ได้อยู่แล้ว ไม่งั้นเราต้องบ้าแน่ๆ นี่ขนาดผมมั่นใจว่าผมพยายามทำอะไรที่มันแตกต่างแล้ว ผมยังโดนเนี่ย ก็รู้สึกเสียใจนิดหนึ่ง ตอนแรกเสียใจมากเพราะว่าเข้ามาด่าตามน้ำ"

"เสียใจเพราะว่าคนที่ดูหนังเราแล้วเข้าใจมาบอกว่า เขาผิดหวัง ทั้งที่เขายังไม่ได้พิสูจน์ แต่ไม่นานก็มีคนเข้ามาแก้ให้ว่าอยากไปหาหนังเดวิลแบ๊คโบนมาดู แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ผมขอบคุณหลายคนที่พยายามหาอะไรมาอธิบายแทนผม ให้เกียรติผมที่จะพยายามไปหาหนังมาดู ผมจะรักษาเกียรติที่เขาให้ไว้ ผมไม่สนใจคนมาด่าโดยไม่มีเหตุผล"

"เวลาได้ยินใครบอกว่าเราก๊อปมันจี๊ดน่ะพี่ เราไม่ได้ลอกน่ะครับ อย่างที่บอกว่าขอย้ำอีกทีว่าเด็กหอไม่ได้ลอกใคร และไม่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องอื่นเลย"

เรื่องต่อไปจะส่งผลกระทบมั้ย?..."คือจริงๆ ไม่ส่งผลกับหนังเรื่องต่อไปหรอกครับ มันเหมือนกันเลยผมเขียนหนังเรื่องใหม่หนังฉายมีคนพูดแน่ๆ ครับ แต่รู้สึกว่าผมไม่อยากวิ่งหนี เดินหน้าแล้วพิสูจน์ต่อไปก็จะเข้าใจไปเอง"

ผู้กำกับชื่อดังยังยกตัวอย่างของแรงบันดาลใจในการทำหนังแนวบูชาครู พร้อมทั้งบอกว่าจริงอยู่แม้ว่าการแยกแยะระหว่างการบูชาครูหรือการเลียนแบบแยกกันลำบากแต่คนที่ดูหนังมามากจะทราบดีว่าเรื่องไหนก๊อปปี้เรื่องไหนได้แรงบันดาลใจ

"เรื่องไหนก๊อปไม่ก๊อป มันลำบากนะในการจะอธิบาย เหมือนผู้กำกับเรื่องคิลบิล ที่ชอบหนังกังฟูจีนแล้วก็อปเฟรมต่อเฟรม แต่จะทำอย่างไรไม่ให้คนดูรู้ว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่การขโมยความคิดของคนอื่น มันอธิบายยากนะครับ เพราะคนไม่เข้าใจมันจริงๆ ก็จะยิ่งสรุปว่ามันคือการก๊อปปี้ที่พูดให้ดูดีกว่า ซึ่งมันอันตรายกับคนที่ทำหนังน่ะครับ"

"เพราะว่าจริงๆ แรงบันดาลใจมันมีอยู่จริง การบูชาครูมีอยู่จริง การก๊อปปี้ก็มีอยู่จริง แต่ถามว่าเราอยากเอาคำว่าบูชาครู หรือแรงบันดาลใจไปประชดประชันคนก๊อปปี้งาน เพราะไม่งั้นคนที่เข้ามาทำงานศิลปะรุ่นหลังๆ จะเข้าใจว่ามันคือการก๊อป แล้วหลังจากนั้นจะไม่มีใครเข้าใจคำว่าแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนบ้าง ภาพเขียนบ้าง เพลง ซึ่งมันมีอยู่จริง ผมเชื่อว่างานสร้างสรรค์มันเกิดจากแรงบันดาลใจทั้งนั้น"

"เหมือนที่หลายคนบอกว่าแฟนฉันเหมือนโดเรม่อน ผมกำลังจะบอกว่าจริงๆ แฟนฉันไมได้ก๊อปปี้โดเรม่อน ถ้าจะพูดว่ามันคือการรู้สึกว่าเราบูชาการ์ตูนเรื่องโดเรม่อน คือเรารักการ์ตูนเรื่องนี้มาก ถ้าเราทำหนังแนวนี้เราก็อยากเอาการ์ตูนที่เราชอบมาใส่ ในเรื่องแจ๊ค แฟนฉัน นั่งท่อ 3 อัน ซึ่งมันไม่จำเป็นเลย"

"ถ้าผมจะบอกว่ามันก๊อป ผมจะให้มันไปนั่งท่อนอะไรก็ได้ ที่ไม่ให้มันชัดขนาดนั้น เรารักโดเรม่อน มันมีอะไรอ้างอิงถึงโดเรม่อน การนั่งท่อน 3 อันมันก็อปโดเรม่อนเหรอ มันก็ไม่ใช่นะครับ ก๊อปปี้แจ๊ค แฟนฉันเป็นไจแอ้น มันก็ไม่ใช่นะครับ เพราะการก๊อปปี้เอาแก่นของหนังมาทำให้มันเหมือนเดิมทุกอย่าง อันนี้มากกว่าคือการก๊อปปี้..."


กำลังโหลดความคิดเห็น