หนึ่งในคดีการปล้นที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ปี 1968 เงินจำนวน 300 ล้านเยนถูกขโมยไปจากเจ้าหน้าที่ขนเงินที่กำลังขับรถอยู่บนถนน ไม่มีการจับผู้ต้องหาได้ และเงินก้อนนั้นก็ไม่พบว่าถูกใช้จ่ายไปที่ใด 7 ปีให้หลังคดีถูกปิดลงอย่างเป็นปริศนา
กว่า 30 ปีต่อมา มิซึสึ นากาฮาระ เขียนนิยายซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของเธอออกเผยแพร่ เนื้อหาในหนังสืออ้างว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นในครั้งนั้น รายละเอียดถูกบอกเล่าว่ามีผู้สมคบคิดเพียงไม่กี่คน และเป้าหมายของการกระทำของพวกเขาคืออะไร
อย่างไรก็ดี ใจความสำคัญในนิยายไม่ใช่แผนอาชญากรรมอันซับซ้อน แต่เน้นหนักไปที่การบรรยายถึงความวุ่นวายของสังคมญี่ปุ่นในยุค 60 ทัศนคติและพฤติกรรมของวัยรุ่นที่เป็นขบถต่อระบบทุกประเภท เหนือสิ่งอื่นใด นากาฮาระเล่าถึงเด็กหนุ่ม 2 คนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเธอ ได้แก่ ริว ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ และ คิชิ ผู้เปรียบเสมือนรักแรก
ในยุคของการค้นหาเสรีภาพ มิซึสึ (อาโออิ มิยาซากิ) เป็นเด็กที่ชีวิตถูกปล่อยเคว้ง เธอถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับลุงและป้าที่เข้มงวด ไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอะไรรอบข้างได้ วันหนึ่งมิซึสึตัดสินใจไปหาพี่ชายซึ่งเป็นแก๊งอันธพาลขาประจำอยู่ที่ไนต์คลับ “บี” ที่ที่เธอเข้าใจว่าอาจจะเป็นที่พึ่งพิงสุดท้าย
การมาขลุกอยู่ที่คลับบี ไม่มีกิจวัตรที่น่าสนใจ เด็กแต่ละคนไม่ทำอะไรนอกจากสำมะเลเทเมาไปวันๆ หากได้ยินว่ามีการประท้วงกันที่ไหนก็จะเฮไปที่นั่น บางวันก็มีเรื่องราวชกต่อย คนที่เหลวไหลที่สุดคงเป็น ริว (มาซารุ มิยาซากิ) พี่ชายผู้เงียบขรึมของเธอ จิตใจของเด็กหนุ่มบาดเจ็บ เขาจึงสร้างปราการป้องกันตัวเองอย่างแน่นหนา ไม่ยอมให้ใครเข้ามาในเขตหวงห้ามแม้กระทั่งคนรักหรือน้องสาวของตัวเอง ในแง่หนึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตตัวเองอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ และก็ทระนงเกินกว่าจะยื่นมือขอความช่วยเหลือจากใคร
คิชิ (เคย์สึเกะ โคอิเดะ) เป็นเพื่อนสนิทของริวที่มีคุณสมบัติไม่เข้าพวกมากที่สุด เขาเป็นลูกชายของนักการเมืองดัง เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ในขณะที่เพื่อนๆ กำลังพูดคุยกันเรื่องไร้สาระ คิชิจะฝังตัวเองอยู่กับหนังสือเล่มเล็ก คล้ายกับว่าพยายามกันตัวเองอยู่ห่างๆ และอยู่เหนือคนอื่น
ในสายตาของมิซึสึ - คิชิเป็นคนที่ตรงข้ามกับพี่ชายของเธออย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีสติ สุภาพเรียบร้อย และวางตัวอยู่ในกรอบ แต่นั่นมันเป็นตอนก่อนที่เธอจะรู้สึกรักเด็กหนุ่มคนนี้ และได้มีโอกาสมองเห็นอีกด้านที่น่าเศร้าใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ภาพยนตร์เรื่อง First Love ของผู้กำกับ ยูกินาริ ฮานาวะ จับภาพชีวิตของหนุ่มสาวในยุค 60 เพียงวงแคบๆ ไม่มีการอ้างถึงสถานการณ์โดยรวมอย่างใหญ่โต ภาพแต่ละภาพนิ่งเรียบ เหตุการณ์คืบหน้าไปในจังหวะเนิบช้า นี่จึงเปรียบเสมือนภาพแทนสายตาของมิซึสึอย่างแท้จริง ทันทีที่หนังจบแล้ว คนดูอาจคค่อยๆ รู้สึกว่าหนังถ่ายทอดสภาวะว่างเปล่าและเจ็บปวดได้อย่างทรงพลังที่สุด
น่าแปลกใจที่อารมณ์ของเด็กๆ ในยุคแสวงหานั้นเป็นเหมือนกันหมด พวกเขาไขว่คว้าเสรีภาพ แต่แล้วเสรีภาพดูจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง พวกเขาอาจจะมีครอบครัวที่เพียบพร้อม แต่มันกลับไม่มีความหมายอะไรเลย พ่อแม่กลายเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลพวกเขามากที่สุด หนังจึงไม่ยอมให้กล้องเคลื่อนไปจับภาพพ่อหรือแม่ของใครทั้งสิ้น
โดยนัยยะของเรื่องที่มิซึสึเล่า เด็กๆ จอมเกเรเหล่านี้จึงมีเพียงกันและกัน มิตรภาพของคนที่ต่างฝ่ายต่างยังไม่เติบโตทางวุฒิภาวะเบิกบานอย่างงดงามและเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจที่เหี่ยวเฉาได้ ก็คงเหมือนอย่างที่คิชิได้ว่าไว้...นี่เป็นความรักชนิดที่จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต
First Love คลี่คลายลงด้วยภาพความเป็นไปของเด็กแต่ละคนในกลุ่มคลับบี เกินกว่าครึ่งที่ไม่สามารถย้อนกลับมามองชีวิตวัยรุ่นของตัวเองได้ เพราะเสียชีวิตด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องก่อนวัยอันสมควร
แต่ในความหม่นเศร้า สำหรับมิซึสิ นากาฮาระ มันคงเป็นเรื่องราวความรักที่น่าจดจำไม่น้อย ภาพสุดท้ายคนดูจะได้เห็นมิซึสึเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และไม่กังวลกับอดีตอีก
...
Love and Honor ก็ได้กลายเป็นการสรุปจบไตรภาคหนังซามูไรของ โยจิ ยามาดะ ผู้กำกับรุ่นลายครามของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ตามหลัง The Twilight Samurai และ The Hidden Blade ซึ่งไม่น่าเชื่อว่านอกจากจะเป็นหนังที่มีพล็อตคล้ายคลึงกันอย่างมากแล้ว มันยังเป็นหนังที่มีคุณภาพน่าพอใจทัดเทียมกัน
ตัวละครเอกในหนังชุดนี้เป็นซามูไรที่วางตนอย่างสมถะและพอเพียง ละทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ และไม่มีความทะเยอทะยานในหน้าที่การงาน มองภายนอกพวกเขาอาจจะดุไม่มีน้ำยา แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องออกโรงแสดงฝีมือ พวกเขาก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ
มิมูระ (ทาคุยะ คิมูระ) ตัวละครเอกใน Love and Honor ออกจะผิดแผกอยู่สักหน่อย ชายหนุ่มมีตำแหน่งเป็นซามูไร แต่หน้าที่หาได้สร้างความภาคภูมิใจใดๆ นอกจากจะต้องชิมอาหารก่อนเจ้านายเพื่อป้องกันการวางยาพิษลงในอาหาร มิมูระบ่นๆ เรื่องความก้าวหน้าอยู่ไม่นาน หลังจากนั้นเขาก็โดนพิษจากหอยที่นำมาปรุงผิดฤดู จนต้องเสียตาทั้งสองข้างไป
แน่นอนว่าอาการป่วยไข้ทำให้เขาไม่สามารถทำหน้าที่เดิมได้อีก ด้วยความเป็นหนุ่มเลือดร้อน มิมูระ ยอมรับความจริงได้ช้า และโกรธเกรี้ยวใส่ คาโย (เรอิ ดัน) ภรรยาของเขาอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาหลักของมิมูระคือสภาพคล่องทางการเงินที่เริ่มฝืดเคือง คาโยจึงคิดอย่างเดียวว่าเธอยอดทำทุกอย่างเพื่อให้สามีกลับมาได้เงินบำนาญหรือศักดินาอย่างเดิม แม้กระทั่งยอมไปหลับนอนกับขุนนางคนหนึ่งที่โกหกว่า จะได้ช่วยจัดการเรื่องเส้นสายภายในให้
ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ ชูอุเฮย์ ฟูจิซาวะ นักเขียนเจ้าของเรื่องที่ยามาดะเคยนำไปดัดแปลงเป็น The Twilight Samurai และ The Hidden Blade มาก่อน แต่ Love and Honor นอกจากจะแตกต่างกันที่อุปนิสัยของตัวละครนำแล้ว มันยังเป็นหนังที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน และน่าจะเข้าถึงคนหมู่มากได้ง่ายที่สุด
ตามรูปแบบการทำงานที่ไม่เปลี่ยนไป ยามาดะเคลื่อนกล้องแต่น้อย และเท่าที่จำเป็น การจัดวางเฟรมภาพดูสวยงาม และการแสดงของ ทาคุยะ มิมูระ ซูเปอร์สตาร์หนุ่ม กับ เรอิ ดัน นักแสดงหน้าใหม่ ก็ยอดเยี่ยมน่าชื่นชม อีกทั้งบทสมทบของ ทากาชิ ซาซาโนะ ในบท ทากุเฮย์ ผู้ติดตามสมองช้า และบทคุณป้าช่างจ้อของ คาโอริ โมโมอิ ก็เพิ่มสีสันให้พอสมควร
ฉากดวลดาบยังเป็นไฮไลต์สำคัญคล้ายกับที่ผ่านๆ มา จังหวะจะโคนดูแม่นยำ และการสร้างบรรยากาศซึ่งคงต้องยกให้เลยว่าจะหาใครเทียบเท่านั้นคงทำได้ยาก
ในตอนกลางเรื่องนั้นมิมูระโมโหเพราะทราบเรื่องที่คาโยทำ จนไล่หญิงสาวออกจากบ้าน และประกาศหย่าขาดจากกัน ส่วนหนึ่งหนังอาจจะต้องเอาใจผู้ชมอยู่บ้างที่จะต้องให้ทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่ที่น่าจะยิ่งใหญ่กว่านั้น คือวุฒิภาวะของตัวละครและทัศนคติของความรักหรือการครองเรือน
เราทุกคนอาจจะต้องมีรักแรกด้วยกันทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่การเสียสละ อดทนและให้อภัยเพื่อรักสุดท้ายของเรา ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องยากสาหัสเรื่องหนึ่งของมนุษย์อยู่


