xs
xsm
sm
md
lg

5 ดาราสาว ดาว "เบนโล"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แหม่ม คัทลียา ผู้ทำให้เกิดศัพท์คำว่า เบนโล ขึ้นมา
แม้จะถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง "ปกติ" กับการตอบไม่ตรงคำถาม พูดอ้อมค้อม หรือแม้กระทั่งเลยเถิดไปถึงการ "โกหก" ของ ดารา นักร้อง นักแสดง ทั้งหลายในแวดวงมายา แต่ไม่น้อยครั้งทีเดียวที่เราจะเห็นได้ถึงการ "โกหก" ซึ่งเลยเถิดออกไปในระดับที่ต้องเรียกกันว่า "ผิดปกติ"...

บางคนสร้างเรื่องขึ้นมาเป็นตุเป็นตะ บางคนเลือกใช้ความใสซื่อ และอีกสารพัดวิธี

หากใช้ความเข้าใจที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจะตรงกันในความหมายของคำว่า "เบนโล" คือนิยามสำหรับการโกหกที่จัดอยู่ในระดับ "ไม่ธรรมดา" แล้ว ลองมาดูกันว่า 5 ดาราสาวที่จัดได้ว่าอยู่ในข่ายดังกล่าวมีใครกันบ้าง?

รายแรกขอยกให้กับ "แหม่ม คัทลียา แมคอินทอช" ผู้ที่ทำให้คำว่า "เบนโล" เกิดคำนิยามนี้ขึ้นมา

ย้อนไปช่วงครึ่งปีหลังของ พ.ศ.2548 ตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นมาได้มีข่าว(ลือ)ซุบซิบออกมาทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่ทำเอาฮือฮาทีเดียวถึงการตั้งท้องของ "แหม่ม คัทลียา" ที่วงการบันเทิงยกฉายาให้กับเธอว่า "เจ้าหญิง"

แรกๆ น้ำหนักของข่าวค่อนข้างมีไม่มากนักอันเนื่องมาจากภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างดูดีของเธอ ขณะที่เจ้าตัวก็ให้สัมภาษณ์ยืนยันปฏิเสธมาโดยตลอด โดยบอกว่าสาเหตุที่เธอดูอวบอ้วนขึ้นก็เพราะการดื่มยาบำรุงเลือด "เบนโล" เข้าไป และในบางครั้งก็โบ้ยไปยังเรื่องของรูปทรงเสื้อผ้าที่สวมใส่ระหว่างทำหน้าที่พิธีกรที่เหมือนชุดคลุมท้อง ขณะที่พิธีกรคู่หู "หนูแหม่ม สุริวิภา" เองก็ออกรับหน้าแทนอย่างเต็มที่ด้วยการฟาดงวงฟาดงาชนิดขนเอาตัวเงินตัวทองมามอบให้นักข่าวที่ตามเรื่องนี้อยู่

ไม่เท่านั้น ยังมีการจัดฉากเอานักร้องจากค่ายแกรมมี่ฯ "เบิร์ด ธงไชย" มาเทรนการลดน้ำหนักให้กับนักแสดงหญิงผ่านรายการทีวีอีกต่างหาก

"ตอนนี้ก็ผอมลงไปแล้วกิโลกว่าๆ ก็ยังอยากให้ลงอีกก็ตั้งใจลดคงลงไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกว่าพอดี แต่คงไม่เท่าเดิมเพราะผอมไป จะบอกเคล็ดลับให้สำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนลดแป้งกับน้ำตาล พี่เบิร์ดก็ให้ทานสลัดผักแต่ก็มีแอบกินแป้งบางจะหมดแรงเอา แล้วก็ออกกำลังกายแหม่มจะเล่นโยคะแล้วก็ว่ายน้ำ..."

ส่วนหนึ่งของการโชว์ตัวให้สัมภาษณ์สยบข่าวท้องของเธอช่วงต้นเดือนสิงหาคม 48 แต่แล้วจากนั้นเพียง 1 เดือน เรื่องทุกอย่างก็กระจ่าง ในวันศุกร์ที่ 2 กันยายน เมื่อสาวแหม่มพร้อมด้วยพี่ชาย "วิลลี่ แมคอินทอช" รวมถึงแฟนหนุ่ม “บีบี๋ สงกรานต์ กระจ่างเนตร” พ่อฝ่ายชายรวมทั้งมารดาของนักแสดงสาวก็ได้ประกาศออกมาว่าตนเองตั้งท้องอยู่

ที่สำคัญ ณ. วันนั้นเธอมีอายุครรภ์ถึง 5 เดือนเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม นักแสดงสาวเจ้าของฉายา "เจ้าหญิง" ก็มิได้ยอมรับหรือบอกออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่าที่ผ่านมาเธอไม่ได้พูดเท็จ โดยบอกว่าตนเพิ่งจะมารู้ตัวว่าตั้งท้องหลังจากไปพบแพทย์ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน

และมิใช่แค่ความเดียงสาตั้งท้อง 5 เดือนแบบไม่รู้ตัวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นถัดมาเพียง 2 เดือนที่เธอบินไปให้กำเนิดบุตรที่อเมริกาก็ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่า ที่บอกว่าท้อง 5 เดือนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?
...
อีกคนที่ถือได้ว่ามีความ "เดียงสา" ที่รุนแรงเอามากๆ ไม่แพ้กรณีของ "แหม่ม คัทลียา" ก็คืออดีตนางงามข้ามคืน "จอย จตุพร แสงทอง"

ความจริงสาวสวยคนนี้คงจะได้รับการคัดเลือกให้เป็น รองอันดับสองของเวทีการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ในปี พ.ศ.2546 และมีดีกรีดังกล่าวติดตัวมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหากจะไม่ปรากฏว่าเธอเคยผ่านงานแต่งงาน มีลูกมีสามี มาแล้ว พร้อมหลักฐานภาพถ่ายงานเลี้ยงวิวาห์เป็นข่าวหราขึ้นมาทางหน้าหนังสือพิมพ์เสียก่อน

เบื้องต้นสาวจอยได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธเสียงแข็งต่อข่าวที่ว่าและพร้อมที่จะพิสูจน์ตนเอง ทว่าด้วยหลักฐานภาพถ่าย พยานบุคคลที่ต่างออกมายืนยันในการกระทำของเธอ วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เธอจึงตัดสินใจจัดแถลงข่าวยอมรับความจริงว่าแต่งงานแล้ว ส่วนเหตุผลของการออกมาปฏิเสธในคราวแรกนั้นเป็นเพราะความรู้สึกตกใจ!

นอกจากนี้เธอยังได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่เข้าประกวดทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าอาจจะไม่มีคุณสมบัติเพราะผ่านการแต่งงานแล้วก็เพราะความเข้าใจว่าตนเองยังโสดอยู่

"ตอนแรกจอยมั่นใจว่าจอยไม่มีสถานภาพตามที่ตกเป็นข่าว จอยเชื่อมั่นว่าตัวเองอยู่คนเดียวมาตลอด ใช้ชีวิตคนเดียวมาตลอด จอยมั่นใจในจุดๆ หนึ่งว่าเราเป็นคนโสด และก็มั่นใจว่าไม่น่าจะผิดกฎกองประกวดคือทางนิตินัยมันไม่ใช่ จอยก็เลยคิดว่าตัวเองมีสิทธิประกวด"
น้ำตาในวันสารภาพผิดของ แนน - จอย
ภาพในคลิป พริก กานต์ชนิต

แหม่ม คัทลียา ผู้ทำให้เกิดศัพท์คำว่า เบนโล ขึ้นมา
หลังเกิดศัพท์ "เบนโล" ขึ้นมา นักแสดงหญิงที่ได้รับฉายาว่าเป็น "เบนโล 2" คงต้องยกให้กับ "พริก กานต์ชนิต"

จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในราวๆ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเมื่อได้ปรากฏภาพคลิปเว็บแคมโชว์หวิวของหญิงสาวคนหนึ่งระบุชื่อเป็นนักแสดงสาว "พริก" จากหนังเรื่อง จ.เจี๊ยว จ๊าว" เผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ต ซึ่งเมื่อสอบถามไปยังเจ้าตัว สาวพริกได้ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า ไม่แน่ใจว่าจะเป็นตัวเธอหรือไม่ และต้องขอดูคลิปฯ ที่ว่านั้นก่อน

ไม่นานคลิปเวอร์ชั่นที่ 2 ของหญิงสาวคนเดิมก็ถูกเผยแพร่ตามมาโดยเริ่มมีบางส่วนตั้งข้อสงสัยว่าคลิปที่ว่านี้ดูเหมือนจะเป็นการโปรโมตเพื่อขายของเสียมากกว่า และก็เป็นเช่นนั้นจริงภายหลังการออกมาของคลิปเวอร์ชั่น 3 เมื่อสาวพริกเองได้ออกมายอมรับว่าหญิงสาวในคลิปนั้นเป็นตัวเธอที่ไปถ่ายแบบให้กับนิตยสารเล่มหนึ่งนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้จะยอมรับว่าเป็นตัวเธอ ทว่าสาวพริกก็ยืนยันว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการโปรโมตด้วยวิธีการที่ว่าแต่อย่างใด
"ตอนนี้หนูก็เหมือนโดนปล่อยคลิปตัวเองเพื่อความดังไปแล้วแหละพี่ ก็ได้ดูแล้วค่ะคลิป 3 แล้วที่ตอนจบมันมีคำว่า memovary ก็เพราะว่าพริกน่ะไปถ่ายกับหนังสือเล่มนี้มา..."

"หนูไม่ได้สนใจวิธีการโปรโมตแต่ซีเรียสมากกว่า ตอนภาพมันออกมาแบบนี้ใครจะมาช่วยหนูได้เพราะคนอื่นมองหนูเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ แหม..บางเล่มบอกว่าหนูออกมาโต้ว่าไม่ใช่ตัวเอง แล้วมากลับคำ จะเรียกหนูสตรอเบอรี่ก็ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่หนูไม่เคยพูดค่ะว่าไม่ใช่หนู หนูพูดว่าหนูขอดูภาพก่อนว่ามันอย่างไร..."
...
ที่เข้าข่ายเบนโลถัดมาคราวนี้มาเป็นคู่ นั่นก็คือ 2 พี่น้องนางแบบ "เอ อัญชลี - โย ยศวดี หัสดีวิจิตร" ที่ไปเกี่ยวพันกับทายาทนักการเมือง "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์"

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นมาจากกรณีของฝ่ายชายที่เกิดความไม่พอใจหลังถูกตำรวจจราจรนายหนึ่งเรียกตรวจวัดแอลกอฮอลล์กระทั่งนำมาซึ่งการถูกฟ้องร้องในหลายข้อหา โดยในคืนวันเกิดเหตุดังกล่าวนั้นเองได้มีรายงานข่าวออกมาว่า ภายในรถของนายกเทศบาลเมืองปากน้ำมีนางแบบ - นักแสดงชื่อดังที่มีชื่อเล่นว่า "โย" รวมอยู่ด้วย

ทันทีที่มีข่าวออกมา นักข่าวสายบันเทิงหลายคนได้มุ่งไปที่สาว "โย ยศวดี" ทันทีเนื่องจากมีความเป็นได้ว่าจะเป็นตัวเธอ เหตุเพราะในอดีตสาวโยเองเคยตกเป็นข่าวเชิงชู้สาวกับฝ่ายชายมาแล้ว

เบื้องต้นนางแบบสาวได้ชี้แจงในทำนองปฏิเสธโดยบอกว่าในวันนั้นตนถ่ายแบบอยู่ที่หัวหิน อย่างไรก็ตามในระหว่างแถลงข่าวกรณีการทะเลาะวิวาทกับลูกสาวร้านทองชื่อดังของเธอกับพี่สาวซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงไปถึงกรณีของ "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์" สาวโยได้สารภาพว่านางแบบสาวชื่อโยในรถคันดังกล่าวคือเธอเอง...

"วันที่สัมภาษณ์คือวันจันทร์ที่มีข่าวออกมาอยู่ที่หัวหินจริงๆ ไปถ่ายรูป แต่ว่าไม่ได้บอกว่าอยู่หัวหินมาทั้งอาทิตย์นะ เพราะว่าตอนนั้นที่เกิดเรื่องยังไม่ทราบว่าจะให้การยังไง เพราะว่ามันมีรูปคดีหลายรูปคดีเหลือเกิน ที่บอกว่ายังให้สัมภาษณ์พี่ๆ นักข่าวไม่ได้ เพราะว่ารอจนถึงวันนี้ค่ะ” เป็นเหตุผลที่นางแบบสาวยกขึ้นมาถึงการปฏิเสธในเบื้องต้น
...
แต่ที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของการเบนโล ณ.เวลานี้ในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่คงเป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก สาว "แนน อมติดา ชินสำเร็จ" ที่ยอมรับว่าข่าวการตั้งท้องจนคลอดลูกของเธอนั้นเป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้น!

ประเด็นการตั้งท้องของอดีตนักแสดง - นางแบบในแนวหวือคนนี้เกิดขึ้นในราวๆ เดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้วจากการออกมาเปิดเผยของตัวเธอเอง โดยสาเหตุที่เรื่องนี้เป็นที่สนใจก็เพราะการท้องครั้งนี้เป็นการท้องที่ยังไม่รู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องนั่นเอง

ในช่วงระหว่างที่เกิดความสงสัยตลอดจนมีการสันนิษฐานไปต่างๆ นานาว่าใครคือพ่อของเด็ก "แนน อมิตา" ก็สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการออกหนังสือแฉถึงผู้ชายในวงการฯ ที่เข้ามาผูกพันกับตัวเธอนับจำนวนรวมเฉียดถึง 20 คน! เลยทีเดียว

เรื่องนี้ค่อยๆ เงียบไปก่อนเป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมีภาพของ "แนน อมิตดา" ถ่ายคู่กับเด็กทารกเผยแพร่ออกมาทางอินเทอร์เน็ตพร้อมกับคำบอกเล่าของคนใกล้ตัวเป็นข่าวว่า สาวแนนคลอดแล้ว ส่วนเด็กทารกที่เห็นก็คือลูกสาว แต่ข่าวชวนช็อกที่ตามติดออกมาพร้อมๆ กันก็คือ ข่าวที่ว่าแท้จริงแล้วสาวนแนไม่ได้คลอดหรือแม้กระทั่งจะเคยตั้งท้องแต่อย่างใด!

อย่างไรก็ตาม แม้จะยอมรับว่าตนกุเรื่องการอุ้มท้องจนคลอด ทว่านักแสดงหญิงก็ยังยืนยันว่าเธอเคยท้องจริงๆ

"แนนขึ้นหลังเสือมาแล้วแนนลงไม่ได้จริงๆ จะเห็นได้ว่าช่วงนั้นแนนจะเก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหนเลย จนมาตอนวันเปิดตัวหนังสือของแนนนั้นที่แนนบอกว่าท้องได้ 6 เดือนกว่าแล้วนั้น ยอมรับนะว่าแนนโกหกแล้ว แนนโกหกมาตลอด"

"แต่เรื่องที่ท้องนี้แนนท้องจริงนะ แต่แล้วแนนก็แท้งด้วยสาเหตุจากที่แนนไปเที่ยวและนอนอยู่เบาะหลังรถแล้วแนนก็กลิ้งตกลงมาจากเบาะรถด้านหลัง แล้วพอกลับถึงบ้านแนนก็รู้สึกปวดท้องเหมือนประจำเดือนจะมา แต่ก็มีเลือดออกมาเป็นก้อนใหญ่ ก็เลยรู้ว่าแนนแท้ง พอแนนไปหาหมอที่โรงพยาบาลหมอก็บอกว่าแท้งเพราะเกิดจากทำงานหนัก คือช่วงนั้นแนนขายเสื้อผ้าอยู่ที่เมเจอร์และแนนก็มีหลักฐานมายืนยันด้วยว่าแนนแท้งจริงๆ..."

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะมีสักกี่คนกันที่เชื่อในคำบอกเล่าของเธอ?...
น้ำตาในวันสารภาพผิดของ แนน - จอย
ภาพในคลิป พริก กานต์ชนิต

กำลังโหลดความคิดเห็น