ถึงแม้จะมีการตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี ด้วยการสำรองผู้กำกับอีกคนหนึ่งไว้ออนคอลล์ตลอดการถ่ายทำ มาตั้งแต่หนังเรื่อง Gosford Park จนถึง The Company และเรื่องล่าสุด A Prairie Home Companion
และถึงจะตระเตรียมไว้อย่างนั้น โรเบิร์ต อัลท์แมน ก็คงคาดไม่ถึงว่า A Prairie Home Companion จะกลายเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเขา
คอหนังหลายคนคงรู้สึกว่า เวลาอันสมควรของโรเบิร์ต อัลท์แมนมาถึงไวจนเกินไป ผลงาน 3-4 เรื่องหลังยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์และงานฝีมือชั้นยอด นอกเหนือจากคุณูปการการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว อัลท์แมนยังเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ภาพของฮอลลีวูดดูไม่เห็นแก่เงินจนเกินไปนัก
งานชิ้นล่าสุด (และชิ้นสุดท้าย) A Prairie Home Companion พูดถึงการหมดอายุขัยของอะไรบางอย่างอย่างกว้างๆ และแม้จะโดยไม่ตั้งใจ หนังก็บอกเล่าถึงความตายได้อย่างน่าจดจำ
เมื่อดู A Prairie Home Companion จบ คนที่ติดตามงานของอัลท์แมนมาอย่างต่อเนื่อง ไม่วายจะต้องนึกถึง Nashville (1975) อีกงานที่ถือเป็นมาสเตอร์พีซของเขา ทั้ง 2 เรื่องเกี่ยวข้องกับเสียงเพลง วิถีชีวิตคนอเมริกันบ้านนอก และการมาถึงของอิทธิพลทางการเงินและการเมือง กว่าครึ่งของทั้ง A Prairie Home Companion และ Nashville เป็นบทเพลงที่สื่อถึงอารมณ์ของตัวละคร เราอาจจะถือว่าทั้งคู่เป็นหนังเพลงก็ได้ แต่มันก็คงอยู่ในหมวดหนังเพลงที่แปลกที่สุด
ชื่อ Nashville หรือ แนชวิลล์ เป็นเมืองหลวงของรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา หลายคนเรียกแนชวิลล์ว่าเมืองแห่งเสียงดนตรี คนที่นี่มองดนตรีเป็นเหมือนอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ ถ้าฮอลลีวูดเป็นนครแห่งภาพยนตร์ แนชวิลล์ก็คงเป็นอย่างนั้นกับเพลงคันทรี
จุดเริ่มต้นของ Nashville มาจากยูไนเต็ด อาร์ตทิสต์ที่ต้องการทำหนังเพื่อโปรโมตบริษัทเพลงคันทรี่ที่เพิ่งเทคโอเวอร์มา โรเบิร์ต อัลท์แมนได้รับการติดต่อให้มากำกับ แต่อัลท์แมนยืนยันว่าเขาไม่ชอบสคริปต์เดิม และขอทำหนังเรื่องนี้ด้วยวิธีการของตัวเอง
วิธีการทำงานของอัลท์แมน เริ่มต้นด้วยการให้คนเขียนบทขึ้นโครงเรื่องคร่าวๆ ขึ้นมา สำหรับ Nashville นั้น อัลท์แมนส่ง โจน ทิวก์สเบอรี ไปอยู่ที่เมืองแนชวิลล์และเขียนไดอารี่กลับมาให้เขา จนมันกลายเป็นบทหนัง
บทหนังของอัลท์แมนคือการวางเรื่องหลวมๆ ไว้เท่านั้นเอง เขาจะปล่อยให้นักแสดงด้นสดและไม่คำนึงถึงจังหวะจะโคนที่จะต้องมี ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับ Nashville นักแสดงทั้งหมดก็ต้องเป็นคนแต่งเพลงที่จะร้องในหนังเองด้วย
ตามแนวถนัดของโรเบิร์ต อัลท์แมน Nashville มีตัวละครหลักกว่า 10 คน ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกคนดูจะไม่สามารถยึดติดกับตัวละครใดได้เลย เนื่องจากออกมาคนละนิดละหน่อย ศูนย์กลางของเรื่องคือเมืองแนชวิลล์ และเทศกาลดนตรีประจำปีที่ชื่อ แกรนด์ โอเล่ โอพรี่ นักร้องชื่อดังและคนที่หวังอยากจะเป็นนักร้องลูกทุ่งก็มารวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดแนะ
สิ่งที่หนังพูดถึงมีอยู่หลายระดับ ตัวละครมีตั้งแต่นักร้องอาวุโสจอมโอ่ นักร้องชื่อดังแต่อยู่ในช่วงขาลง นักร้องขาขึ้น คนที่อยากเป็นนักร้องแต่โอกาสและพรสวรรค์ริบหรี่ นักร้องหนุ่มจอมเจ้าชู้ นักข่าวสาวจอมเปิ่น ฯลฯ อัลท์แมนแอบวางเรื่องการเมืองและการหาเสียงไว้เป็นพล็อตรองชนิดที่คนดูไม่คาดคิดว่ามันจะส่งผลต่อเรื่องหลัก
Nashville เข้าชิงออสการ์ 5 รางวัล แต่ได้มาแค่ 1 จากเพลงประกอบของ คีธ คาราดีน เพลง I’m Easy ซึ่งอาจจะไม่ได้ไพเราะเหนือเพลงอื่นๆ แต่เพราะอัลท์แมนจัดวางมันในตำแหน่งที่พอดี
เพลง I’m Easy เป็นเพลงเอกเพลงหนึ่งของหนัง คีธ คาราดีนแต่งเพลงนี้เพื่อให้เข้ากับตัวละครของเขา ซึ่งเป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจ ฉากที่คาราดีนร้องเพลงนี้ เขาบอกว่า “ผมขอมอบให้คนพิเศษคนนั้น” และผู้หญิงราว 3-4 คนที่นั่งฟังอยู่ ก็คิดว่าคือตัวเธอเอง
ฉากนี้ถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะ ทั้งๆ ที่ตลอดทั้งเรื่องอัลท์แทนไม่เคยทำอย่างนี้เลย มันทำให้ฉากที่ว่ากลายเป็นฉากที่โดดเด่น และน่าสะเทือนใจฉากหนึ่ง
ช่วงปี 1970 - 1980 โรเบิร์ต อัลท์แมนทำหนังหลายแนว ทั้งหนังแฟนตาซี หนังเซอร์เรียล หนังตลกเสียดสี แต่เขาก็ได้พบแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์และถนัดมือที่สุด คือการเล่าเรื่องแบบธรรมชาติ ปรุงแต่งน้อย ปล่อยให้นักแสดงด้นกันไปเอง เพราะฉะนั้นหนังของอัลท์แมนจึงมีตัวละครหลายตัวเกี่ยวพันกัน (Ensemble) และกล้องของอัลท์แมนก็ไม่เลือกที่จะโปรดปรานใครเป็นพิเศษ หลายครั้งคนดูรู้สึกว่าภาพในหนังของเขาก็คือภาพที่เราเห็นกันทั่วๆ ไปในชีวิตจริง
A Prairie Home Companion ทำให้ผมนึกถึง Nashville เพียงสาเหตุเดียวคือบทเพลงแบบอเมริกันที่แสนไพเราะ นอกเหนือจากนั้น หนังทั้งสองเรื่องแทบจะไม่มีส่วนที่คล้ายกันเลย
ฉากหลังของ A Prairie Home Companion อยู่ที่รัฐมินเนโซต้า สหรัฐอเมริกา พื้นเรื่องเดิมอิงมาจากรายการวิทยุชื่อดังของท้องถิ่นที่จำเป็นต้องปิดตัวไปตามวาระของมัน ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจึงจัดคอนเสิร์ตอำลาคนฟังเป็นครั้งสุดท้าย
และตามสไตล์โรเบิร์ต อัลท์แมน เขานำผู้จัดรายการวิทยุตัวจริงมาเล่น (แกร์ริสัน คีลเลอร์ - ได้เครดิตเขียนบทไปด้วย) ถ่ายในสถานที่จริง ให้นักแสดงด้นสดและร้องเพลงกันเอง และแล้วหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นการอำลาของรายการ A Prairie Home Companion จริงๆ
ตัวละครเอกนอกจากตัวคีลเลอร์เองแล้ว ยังมีสามสาวตระกูลจอห์นสัน เจ้าหน้าที่กำกับเวทีท้องแก่ นักร้องดังคนอื่นๆ ตัว รปภ. ที่ทำตัวราวกับว่าตนเองเป็นนักสืบเชลยศักดิ์ในหนังฟิล์มนัวร์ และวิญญาณผีสาวที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ
A Prairie Home Companion เป็นหนังที่เต็มอิ่มไปด้วยความสุข บทเพลงเกือบทุกเพลงเกี่ยวข้องกับวันวานอันแสนหวาน และอดีตที่ไม่มีทางหวนกลับคืนมาอีก เอ็ดเวิร์ด ลาคแมน ตากล้องของหนังเข้าใจในส่วนนี้ดี เขาจัดแสงในฉากบนเวทีให้ออกมาดูอร่ามน่าจดจำ
เดิมทีอัลท์แมนมีความคิดที่จะตัดตัวละครวิญญาณผีสาวออกไป (รับบทโดย เวอร์จิเนีย แมดเสน) เพราะมันดูเกินจริงและยัดเยียด แต่สุดท้ายเขากลับคงมันไว้อย่างนั้น
ถึงจะมีตัวละครที่เป็นวิญญาณหรือการพูดถึงจุดจบของอะไรบางอย่าง แต่หนังก็ไม่ได้ทอดอารมณ์เศร้าสร้อยจนเกินควร หลังจากฉากคอนเสิร์ตจบไปแล้ว อัลท์แมนยังปล่อยเวลาให้เห็นว่า เหล่านักแสดงและทีมงานของรายการ กำลังจะจัดคอนเสิร์ตอำลากันอีกรอบ และตั้งใจว่าจะจัดกันทุกปี
เมอรีล สตรีพ, ลิลี ทอมลิน และ ลินด์เซย์ โลแฮน เด่นมาทีเดียวกับบทด้นสดและร้องเพลงบทเวที เวอร์จีเนีย แมดเสนก็ฉายประกายอยู่ตลอดทั้งเรื่อง และถ้าใครสามารถย้อนกลับไปนึกถึงงานชิ้นก่อนๆ ของ โรเบิร์ต อัลท์แมน จะพบตัวละครผู้หญิงหลายคนที่คนดูไม่สามารถลืมได้ลง
เราอาจจะมองว่าโรเบิร์ต อัลท์แมนเป็นผู้กำกับหนังอเมริกันที่มีชั้นเชิงในการเสียดสี ทำหนังได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงเป็นบิดาของหนังหลายชีวิต (Ensemble) แต่อีกประการที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ เขาเป็นผู้กำกับที่รักและอาทรตัวละครหญิงมากที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์เลยทีเดียว