xs
xsm
sm
md
lg

ละครจักรๆ วงศ์ๆ กับคุณค่าที่จืดจาง/อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมติดสอยห้อยตามเพื่อนไปทำธุระที่สวนศรีนครเขื่อนขันธ์ (บางกระเจ้า) พระประแดง สมุทรปราการ มาครับ

ช่วงฝนตกชุกเช่นนี้ทั้งต้นไม้ ต้นหญ้า ดอกไม้ สร้างบรรยากาศที่ชุ่มชื้นและผลิตอากาศที่สดชื่นให้กับสวนศรีนครฯ ซึ่งแต่เดิมก็มีความร่มรื่นอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

(หากใครที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวนที่ว่าหรือสามารถที่จะเดินทางไปได้อย่างไม่ลำบากมากนัก จะด้วยทางบก ทางน้ำ ขอเชิญชวนให้ลองแวะเวียนเข้าไปพักผ่อนสร้างความแข็งแรงให้กับปอดกันดู จะนั่งเล่นเฉยๆ อ่านหนังสือ จ็อกกิ้ง พาสุนัขไปเดิน - วิ่งเล่น หรือทำกิจกรรม พายเรือ ขี่จักรยาน ฯ ก็มีให้เลือกตามสะดวก)

หลังเสร็จธุระ ระหว่างอาศัยรถของผู้ใจดีออกมาจากบริเวณสวนฯ ด้วยความที่ในหัวของผมกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องของละครพื้นบ้านที่เสนอจะทำเป็นประเด็นในเซ็คชันปริทรรศน์นั่นเอง ทำให้ผมโพล่งถามไปยังเด็กผู้ชายวัยประมาณ 12 - 13 ขวบ 2 คนซึ่งเป็นหลานของเจ้าของรถที่นั่งท้ายกระบะมากับพวกเราว่า รู้จักสิงหไกรภพกับขวานฟ้าหน้าดำหรือเปล่า?

ทำสีหน้างงๆ อายๆ เล็กน้อย ทั้งสองก็พยักหน้าตอบว่ารู้จัก ทว่ายังไม่ทันที่จะได้สนทนาอะไรกันต่อทั้งคู่ก็ลงจากรถไปเสียก่อน
...
แม้ช่วงวัยเด็กจะผ่านการดูละครประเภทพื้นบ้านหรือที่ถูกเรียกอย่างรู้กันในความหมายว่าละครจักรๆ วงศ์ๆ มาพอสมควร รวมถึงมีความชอบ รู้สึกสนุกตื่นเต้นต่อสิ่งที่ได้เห็น ได้รับรู้ในหลายๆ เรื่องที่ได้ชม แต่เมื่อลองถามตัวเอง ณ. ห้วงเวลาปัจจุบันนี้ว่าตนเองสามารถจดจำรายละเอียดหรือความประทับใจต่อละครเหล่านี้แค่ไหน ต้องเรียนตรงๆ ว่าอยู่ในระดับที่จำได้ในลักษณะที่ว่ามีละครเรื่องนี้ พระเอกชื่อนี้อยู่ อาทิ เจ้าเงาะในสังข์ทอง, จันทโครพ, แก้วหน้าม้า มีอาวุธเป็นมีดอีโต้, สิงหไกรภพ, หลวิชัย-คาวี, ขวานฟ้าหน้าดำ, สี่กุมาร(หาญกล้า), สุพรรณหงษ์, นกกระจาบ(ที่ไปติดในดอกบัว), โสนน้อยเรือนงาม รวมถึงท่วงท่าลีลาการเต้นโครงกระดูกของน้าผีในหลายๆ เรื่อง ฯลฯ


ไม่ถึงกับสร้างความตราตรึง เอฟเฟ็กต์ที่ไม่ได้เริดหรูอลังการ พล็อตเรื่องที่เป็นไปในลักษณะเดียวกันหมด แต่ผมว่าละครพื้นบ้านเหล่านี้มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง

ที่สำคัญมีเพลงที่ไพเราะ เป็นเอกลักษณ์ สามารถบอกเล่าเนื้อหาของเรื่องได้อย่างเห็นภาพ

หลายคนน่าจะยังจำบางท่อนบางประโยคได้ อาทิ...สิงหไกรภพเชิงรบสะท้านไปทั่ว แต่ในเชิงรักช้ำหนักใจหมองมัว หมองหม่นใจระรัว แค้นแน่นอกขื่นขมฯ หรือจะเป็น...สี่กุมาร หาญกล้า ตรี คฑา จักร สังข์ ปราบไปทั่วทั้งแดน...ยักษ์มารมิกล้าต่อรอง กำจัดดัสกรฯ หรือจะเป็น ขวานฟ้าหน้าดำ หน้าดำเพราะกรรมทำมา หน้าดำแต่ใจงามเลิศล้น พลีตนเพื่อหมู่ประชา...ฯลฯ

นับจากปีพ.ศ.2510 ซึ่งเป็นปีแรกของการออกฉายทางทีวีของละครพื้นบ้าน (เรื่อง "ปลาบู่ทอง" โดยบริษัทดาราฟิล์ม (สยามฟิล์ม)หรือในปัจจุบันคือ บริษัท สามเศียร จำกัด) กินเวลาถึง 40 ปีจนถึงวันนี้ การเกิดการเปลี่ยนแปลงใน "รูปแบบ" แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เรื่องที่น่าห่วงก็คือ "นัย" ที่สื่อออกมาจากเนื้อหาของละครจักรๆ วงศ์ๆ

ในความรู้สึกของผม พระเอกในนิทานพื้นบ้านของเราแม้จะมีฤทธิ์เดชเหาะได้ บินได้ มีของดี ของวิเศษเอาไว้ปราบปรามคนชั่ว(ส่วนใหญ่จะเป็นยักษ์) แต่โดยรวมของ "อารมณ์" จากการดูละครฯ ผมมีความรู้สึกว่า พวกเขามิใช่ "ฮีโร่" ในแนวทางเดียวกับพระเอกมังงะ(การ์ตูน), มนุษย์กลายพันธุ์ หุ่นยนต์แปลง อย่างไอ้มดแดง หน้ากากเสือ ที่เน้นหนักไปในเรื่องของการต่อสู้ หากแต่จะเป็นประเภทที่หนักไปในเรื่องของการมีคุณธรรม เป็นคติสอนใจเสียมากกว่า ทั้ง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว, การมองคนให้ลึกถึงนิสัยใจคอ - การกระทำ แทนที่จะชื่นชมความหล่อ - สวย, ความมีสัมมาคาราวะนบนอบต่อผู้สูงวัย ครูบาอาจารย์, การสอนเรื่องของความมุมานะเพียรพยายาม ฯ

เป็นการปลูกฝังความคิดให้กับเด็กๆ ที่ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมในเชิงของอุดมคติอยู่ในเนื้อหาที่เต็มไปด้วยจินตนาการได้อย่างแนบเนียน

ผมอาจจะคิดมากไปก็ได้ครับ แต่ยอมรับว่าโดยส่วนตัวไม่ค่อยจะสบายใจนักกับแนวคิดของผู้ผลิตละครพื้นบ้านในปัจจุบันที่ดูจะจืดจางกับสิ่งที่ว่า แต่ไปให้ความสำคัญกับการดีไซน์เอฟเฟ็กต์อย่างอลังการ, การต่อสู้ที่รุนแรงและสมจริงสมจังมากขึ้น, เนื้อหาที่จับเอาเรื่องปัจจุบันมาเป็นโครงมากไปกระทั่งเรื่องราวส่วนใหญ่ออกไปแนวของชู้สาว การชิงรักหักสวาสจนราวกับเป็นละครละครตอนหัวค่ำ -หลังข่าว

ขณะที่เรื่องของความมี "เหตุผล" และ "เสน่ห์แบบไทย" หลายๆ อย่างค่อยๆ ลดลงไป เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทรงผมของพระเอก - นางเอกรวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่ราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นของวัยรุ่นเกาหลี - ญี่ปุ่น นี่เห็นแล้วรู้สึกขัดตาเป็นที่สุด

ลองถามตัวเอง(อีกครั้ง)ว่า เป็นเพราะเราโตขึ้นหรือเปล่าถึงทำให้ดูละครที่ว่านี้ไม่สนุกเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กๆ? คำตอบคือไม่น่าจะใช่

เพราะในอดีตผมดูการ์ตูน "ทอม แอนด์ เจอร์รี่" สนุกอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงดูได้อย่างรู้สึกสนุกอย่างนั้น หรือจะเป็นซีรี่ส์ "เปาบุ้นจิ้น" ที่เอากลับมาฉายใหม่ แม้จะเคยผ่านตามาแล้วแต่พอได้ติดตามก็ยังคงรู้สึกอดตื่นเต้นหรือลุ้นไปกับการสืบคดีของท่านเปาไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าการทำหนวด เครา ผม ของตัวละครนั้นไม่ได้มีความเนียนสมจริงเอาเสียเลย
...
เช้าของวันอาทิตย์ ผมตื่นขึ้นมาดูละครเรื่อง "พระทิณวงศ์" (เคยสร้างมาแล้วประมาณ พ.ศ. 2518 มี "มลฤดี ยมาภัย" แสดงเป็นนางเอก) ทางช่อง 7 มีน้องแพร (ด.ญ.สุพิชชา มงคลจิตตานนท์) จากเวที "เกมทศกัณฐ์เด็ก" แสดงเป็นนางเอก "ทิพมณฑา" (ในวัยเด็ก)


เป็นฉากที่ "ทิพมณฑา" เธอกำลังถูกพี่สาวทั้ง 7 หลอกปั่นหัว (นัยว่ามาจากความริษยาเหตุเพราะพวกเธอเป็นลูกของมเหสีรองขณะที่น้องสุดท้องเป็นบุตรสาวของมเหสีเอก) ให้ไป "ลองใจ" พระเอก(ที่เป็นหนุ่มแล้ว)โดยบอกว่า ถ้าพระเอกมีความรักต่อเธอจริง ก็จะต้องไม่รู้สึกโกรธหากถูกนางเอกทำร้าย

"น้องแพร" ในบทของทิพมณฑาก็เห็นดีเห็นงาม จัดการไปหยิกเสียจนพระเอกออกอาการเจ็บ แต่เขาก็มิได้แสดงอาการโกรธแต่อย่างใด

นางเอกนำผลการลองใจมาเล่าให้พี่ๆ ฟังด้วยความดีใจ ขณะที่บรรดาพี่สาวเองต่างออกอาการผิดหวัง พร้อมยุอีกว่า แค่หยิกมันจะไปพิสูจน์อะไรได้ ต้อง...

และเรื่องก็จบลงตรงที่ว่า

แม้เรื่องกำลังจะเข้มข้นแต่ส่วนตัวผมคงจะไม่ติดตามดูต่อสัปดาห์หน้า(ซึ่งก็คือสัปดาห์นี้)อย่างแน่นอน

เพราะนอกจากจะไม่ค่อยชอบลักษณะการแสดงของน้องแพร ทั้งแอ็กติ้ง สีหน้าแววตาของน้องแพรที่ดูเป็น "การแสดง" เอามากๆ (ทั้งที่มันน่าจะดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติตามวัย เพราะตัวเธอเองก็ยังเป็นเด็กอยู่)แล้ว ผมรู้สึกว่าภาพตัวอย่างที่นางเอกหัวอ่อนของเราได้สรรหาสารพัดวิธีการเพื่อใช้ในการพิสูจน์ใจของพระเอกตามคำยุแยงของเหล่าพี่สาว ไม่ว่าจะเป็นสาดน้ำใส่! ผลักตกเหว!! หรือแม้กระทั่งแทงด้วยมีด!!! นั้น มันออกจะโหดร้ายอย่างไร้เหตุผลเกินไป

สงสัยเหมือนกันนะครับว่า ทำไมเรื่องอย่างนี้ผู้ผลิตถึงไม่คิดจะตีความหรือคิดกันใหม่บ้าง?...
กำลังโหลดความคิดเห็น