xs
xsm
sm
md
lg

Spider-Man 3 : หรือนี่จะเป็นจุดจบของไอ้แมงมุม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย อดิศร สุขสมอรรถ

ในบรรดาหนังบล็อคบัสเตอร์ที่ออกมาถล่มตารางบ็อกซ์ออฟอิศในช่วงทศวรรษนี้ ถ้าถือว่า The Lord of the Rings อภิมหาไตรภาคเป็นเหมือนลูกชายของผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสันแล้ว ความผูกพันอันนั้นก็คงไม่ต่างกับไตรภาค Spider-Man ที่มีต่อแซม ไรมีเช่นกัน เพราะแฟนหนังทั่วโลกที่ได้ชมฝีมือในการสร้างสรรค์ 2 ภาคที่ผ่านมาต่างยอมรับโดยดุษฎีว่าจินตนาการของไรมีทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และคงนึกภาพไอ้แมงมุมฉบับภาพยนตร์ไม่ออกว่าจะออกมาเช่นไรถ้ามันตกไปอยู่ในมือผู้กำกับรายอื่น

การที่ผู้กำกับเก่งๆ ซักคนได้โจทย์อย่างการสร้างหนังทุนสูง ความกดดันจะเพิ่มเป็น 2 เท่า นั่นคือต้องทำหนังให้ประสบความสำเร็จทางรายได้ ขณะเดียวกันเนื้อหาที่ออกมาก็จะต้องพอไปวัดไปวาได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งในจุดนี้สำหรับหนังอย่างไอ้แมงมุมทั้ง 2 ภาคที่ผ่านมาถือว่าสอบผ่านทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นที่ยอมรับจากเหล่าสาวกทั่วโลกแล้ว แฟนหนังแอ็คชันร่วมทั้งเด็กๆ ต่างชื่อชอบผลงานของไรมีอย่างมาก เช่นเดียวกับบรรดานักวิจารณ์ที่ถือว่าการนำการ์ตูนสุดฮิตของมาร์เวลเรื่องนี้มาขึ้นจอไม่ได้เป็นงานที่ทำออกมาแบบสุกเอาเผากินแม้แต่น้อย

สิ่งที่เหมือนกันระหว่างไรมีและแจ็คสันก็คือต่างก็เป็นแฟนอันเหนี่ยวแน่นในสิ่งที่ตัวเองหยิบจับทั้งสิ้น แจ็คสันนั้นเป็นแฟนหนังสือ The Lord of the Rings ตั้งแต่ช่วงก่อนวัยรุ่น ขณะที่ในทีมงานของสไปเดอร์แมนไม่ว่าจะเป็นคู่พระนางอย่างโทบี แม็คไกวร์หรือเคิร์สเทน ดันท์ต่างก็ออกตัวว่าไม่ได้ปลื้มไอ้แมงมุมซักเท่าไหร่ ต่างกับตัวผู้กำกับอย่างไรมีที่มีโปสเตอร์ไอ้แมงมุมติดอยู่ที่หัวนอนมาตั้งแต่เด็กๆ ความหลงใหลตั้งแต่วัยเยาว์ที่มีต่อซูเปอร์ฮีโรรายนี้ได้ถูกหล่อหลอมให้เกิดไอ้แมงมุมที่ยอดเยี่ยมทั้งสองภาคที่แฟนๆ ได้เห็นผ่านตากันไปแล้ว

ในภาคเปิดตัว เราได้เห็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เด็กหนุ่มไฮสคูลแก่เรียนแต่ไม่เอาถ่าน ที่พบอีกหนึ่งตัวตนที่มีอำนาจของเขา ซึ่งการตายของลุง(ที่เขาคิดเสมอว่าตัวเองต้องรับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าวด้วย) ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อพลังที่ได้มา ซึ่งเดิมทีจะใช้แค่เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ไปสู่ความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม เสียสละแม้แต่ความรักเพื่อสวัสดิภาพของคนรัก

พล็อตภาคที่ 2 น่าสนใจกับคำถามที่ให้แฟนหนังได้คิดว่าจะเกิดอะไรถ้าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ซึ่งกำลังไปได้สวยสำหรับชีวิตในรั้ววิทยาลัย ไม่ต้องการตัวตนที่เป็นสไปเดอร์แมนของเขาอีกต่อไป ซึ่งในที่สุดสำนึกแห่งความรับผิดชอบ (อีกแล้ว) ก็นำเขากลับไปสู่การเป็นไอ้แมงมุมอีกครั้ง โดยมีแฟนสาวอย่างเอ็มเจเข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจดังกล่าว (อีกเช่นเคย)

และน่าสนใจอีกเช่นกัน เมื่อกลับกลายเป็นว่าในภาคที่ 3 นี้ไอ้แมงมุมของเราเกิดหลงใหลได้ปลื้มกับการเป็นซูเปอร์ฮีโรมากเกินไปเสียแทน จนเมื่อถูกด้านมืดในตัวเองเข้าสิง ฮีโรขวัญใจมหาชนก็กลายเป็นวายร้ายไปในบัดดล

ในระหว่างที่สาวกไอ้แมงมุมรอคอยการกลับมาของเขา พวกเขาได้เห็นวีรกรรมของเหล่าบรรดายอดมนุษย์ที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่เพราะความสำเร็จของไอ้แมงมุมโดยแท้ ไม่ว่าจะเป็น Batman Begins เมื่อปี 2005 ตามมาด้วย Superman Returns ในปี 2006 ด้วยใจที่คิดว่าฮีโรตัวจริงของพวกเขาจะกลับมาโชว์ผลงานอีกในไม่ช้านี้เแล้ว

แต่ด้วยระยะเวลากว่า 3 ปีกับทุนสร้างที่ทุ่มอย่างมั่นใจในผลงานถึง 258 ล้านเหรียญ ในการกลับมาครั้งที่ 3 ของไอ้แมงมุมครั้งนี้กลับไม่ได้สร้างความประทับใจเหมือนที่ตั้งความหวังเอาไว้เลย

ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวแว่วมาว่าแฟนหนังที่ได้ชมฉบับอุ่นจากเตาเมื่อปลายปีก่อนบ่นว่าในภาค 3 นี้ฉากแอ็คชันน้อยไปหน่อย จนต้องมีการเรียกตัวนักแสดงกลับมาถ่ายทำกันใหม่เพื่อเพิ่มฉากต่อสู้เข้าไป แต่ปัญหาจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ แต่อยู่ที่ความน่าตื่นตาตื่นใจในแต่ละฉากมากกว่า

ต้องยอมรับว่าฉากแอ็คชันฉากแรกที่มีเครนพุ่งใส่ตึกนั้นน่าตื่นตาตื่นใจมาก ฉากไล่ล่าตอนต้นเรื่องก็ตื่นเต้นดี แต่หลังจากนั้นความเร้าใจดูจะไม่ได้รับการกระตุ้นได้อย่างต่อเนื่อง ความตื่นเต้นที่แฟนๆ ได้ชมกลวิธีอันหลากหลายที่ทีมงานปรับเปลี่ยนเส้นใยของสไปเดอร์แมนเพื่อการสร้างสรรค์ฉากแอ็คชันอันสวยงามและดุเดือดเร้าใจในสองภาคที่ผ่านมากลับไม่ได้รับการสานต่อในภาคนี้ ฉากต่อสู้ด้วยใยแมงมุมอันเป็นเอกลักษณ์ถูกนำมาใช้แบบที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากภาคก่อนๆ จนเป็นที่น่าจดจำได้เลย

สิ่งที่แฟนๆ สไปเดอร์แมนต้องการจากทีมงานในส่วนของฉากแอ็คชันน่าจะเป็นการลดช่องว่างระหว่างซูเปอร์ฮีโรอื่นๆ กับตัวสไปเดอร์แมน เพื่อแสดงให้เห็นว่าภายใต้สถานการณ์เดียวกันสไปเดอร์แมนก็สามารถใช้ใยแมงมุมของเขาแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เช่น จะทำอย่างไรถ้าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ไปอยู่ในเหตุการณ์เครื่องบินตก สไปเดอร์แมนจะทำลายข้อจำกัดของเขา(ที่บินไม่ได้)ได้อย่างไร ซึ่งถ้าฉากนี้ถูกใช้เปิดตัวได้อย่างเหมาะสมแล้วล่ะก็มันอาจจะเป็นฉากแอ็คชันที่สะใจแฟนไอ้แมงมุมที่สุดเลยก็ได้

ในส่วนของบทนั้นการนำตัวร้าย 3 ตัวมารุมสไปเดอร์แมนครั้งนี้ ถือว่าดูดีมากๆ ในการทำตัวอย่างหนัง แต่เมื่อนำไปเล่าเรื่องจริงๆ ในหนังแล้ว น้ำหนักของมันกลับมาแย่งพื้นที่ในการเล่าเรื่องกันเอง จนขาดความหนักแน่นในการเล่าเรื่องเพื่อชักจูงคนดูให้คล้อยตามอย่างตัวร้ายในภาคแล้วๆ

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวละครบางตัวในเรื่องนี้ถูกทำออกมาง่ายเกินไปจนไม่น่าเชื่อถือ สำหรับแฟนที่ดูหนังมาพอสมควรคงจะเดาจุดจบของเขาได้ก่อนที่มันจะมาถึงเสียอีก ตามหลักการกำจัดตัวละครที่ไม่มีความจำเป็นต่อการเล่าเรื่องอีกต่อไป(อย่างโหดร้าย) ซึ่งการจบลงง่ายๆ อย่างนี้เป็นอะไรที่น่าเสียดายต่อความพยายามที่อุตสาห์ปูเรื่องของเขามาตลอดสามภาคที่ผ่านมา

เสน่ห์ของสไปเดอร์แมนคือการที่มันเป็นหนังวัยรุ่นที่ดูสนุก แถมด้วยตัวละครเอกมีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ซึ่งเสริมความเป็นแอ็คชันลงไปในหนังเข้าไปอีก

อย่างไรก็ดี การที่เนื้อหาเล่าวนเวียนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ทำให้ไดนามิคของเรื่องนี้ไม่ค่อยไปไหน ผ่านไปสามภาคแล้วสไปเดอร์แมนก็ยังเรียนไม่จบเสียที ขณะที่ตัวแสดงอย่างโทบี แม็คไกว์กลายเป็นพ่อคนเข้าไปแล้ว เนื้อเรื่องที่น่าสนใจที่รออยู่ทั้งสไปเดอร์แมนจะทำอย่างไรเมื่อต้องทำงานเต็มเวลา หรือมีครอบครัว หรือแม้แต่มีลูกให้รับผิดชอบ สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการเป็นสไปเดอร์แมนหรือไม่อย่างไร ซึ่งการที่ทีมสร้างทำเหมือนกับจะกั๊กเอาไว้สำหรับภาคต่อๆ ไปอาจจะส่งผลถึงภาพร่วมของซีรีส์ทั้งหมดก็ได้

ซึ่งอาจจะรวมถึงการหมดโอกาสสร้างภาคต่อไปเลยทีเดียว

สไปเดอร์แมนอาจจะไม่มีวันตาย แต่ความไร้เสน่ห์ของภาคนี้อาจจะยุติบทบาทของเขาในวงการภาพยนตร์ไปอีกหลายปีเลยก็ได้

หลังจากดูภาค 3 ของไอ้แมงมุมแล้วก็ทำให้นึกถึงอาถรรพ์หนังไตรภาคที่นักวิจารณ์เมืองนอกตั้งข้อสังเกตไว้ทันที ที่ว่าภาค 2 ในไตรภาคจะเป็นภาคที่ยอดเยี่ยมหรือประสบความสำเร็จทางรายได้ที่สุด ขณะที่ภาคที่ 3 จะเป็นภาคที่เนื้อหาอ่อนที่สุดในไตรภาคเสมอ ที่เป็นอย่างนี้มาแล้วตั้งแต่ The Godfather, Star Wars, Back to the Future, Terminator, The Matrix (ที่ทำลายอาถรรพ์นี้ได้เห็นจะมีแต่ตำนานแหวนที่ได้เสียงตอบรับทั้งเงินและกล่องเพิ่มขึ้นทุกภาค) ซึ่งในปีนี้ก็มีไตรภาคร่วมพิสูจน์ทฤษฎีนี้อีกทั้ง Shrek the Third และ Pirates of the Caribbean: At World's End

ขณะนี้รายได้ของไอ้แมงมุม 3 ในการฉายพร้อมกันทั่วโลกเฉียด 400 ล้านอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว ที่ต้องรอดูว่ารายได้ในสัปดาห์ต่อมาจะยังรักษาความร้อนแรงเหมือนการเปิดตัวที่สวยหรูจากบุญเก่าที่ทำเอาไว้ทั้งสองภาคเพียงไร

ซึ่งถ้ายังดีอยู่ การกลับมาเป็นครั้งที่ 4 ของไอ้แมงมุมภายใต้การกำกับของแซม ไรมีก็คงจะเกิดขึ้นอีกครั้งแต่ แต่ถ้าไม่ โปรเจ็คท์ต่อไปของผู้กำกับคนเก่งรายนี้ได้แก่การเสียบแทนปีเตอร์ แจ็คสันในการทำฮ็อบบิต ภาคกำเนิดของ The Lord of the Rings ที่แจ็คสันมีปัญหากับค่ายจนมองหน้ากันไม่ติดอยู่ในทุกวันนี้

อยากจะออกมาเป็นหน้าไหน แฟนๆ คงต้องรอลุ้นกันเองแล้ว

กำลังโหลดความคิดเห็น