แฟนหนังทุกคนคงรู้สึกแปลกใจไม่ต่างกันที่อยู่ๆ "ซิลเวสเตอร์ สตาลโลน" นักแสดงรุ่นเก๋าออกมาประกาศโปรเจ็คท์ในการนำ 2 ตัวละครที่ชาวโลกรู้จักเขาดีทั้ง ร็อกกี และ แรมโบ กลับมาทำใหม่ในรอบ 20 ปี แต่เมื่อทุกคนได้เห็น Rocky Balboa ผลงานล่าสุดของเขาแล้วก็ต้องยอมรับว่าการกลับมาของยอดนักมวยผู้ยิ่งใหญ่รายนี้มีที่มาที่ไป ที่ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำชมอย่างที่คนในวงการไม่คาดคิดกันมาแล้ว

แต่อีกหนึ่งการกลับมาที่ทุกคนเฝ้ารอไม่แพ้ร็อกกี ได้แก่ภาคที่ 4 ของยอดนักรบที่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกอย่าง จอห์น แรบโบ้ ที่กลับมาคราวนี้ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นกว่าเดิม สะท้อนความมีเลือดเนื้อของตัวละครอย่างที่เขาเคยทำไว้ในร็อกกีเช่นกัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อแรบโบ้มาใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองไทย ด้วยอาชีพจับงูไปขายให้กับฟาร์มเลี้ยงงูที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทิ้งความป่าเถื่อนรุนแรงในอดีตของเขาเอาไว้เบื้องหลัง โดยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเผชิญกับฝันร้ายครั้งนั้นอีกต่อไป แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดความวุ่นวายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ที่แรมโบถูกร้องขอให้เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มผู้สอนศาสนาที่ถูกจับตัวไป โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าการเข้าไปมีเอี่ยวครั้งนี้จะนำเขาเข้าไปสู่ใจกลางของสงครามที่โหดร้ายและยาวนานกว่าทุกๆ สมรภูมิที่เขาเคยรู้จักมา
ด้วยเนื้อเรื่องที่ดำเนินในประเทศไทย ทางผู้สร้างจึงเดินทางกันมาถ่ายทำที่ประเทศไทยในจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากต้องเลื่อนเปิดกล้องที่เดิมทีวางแผนกันไว้ว่าจะมาถ่ายทำกันที่นี่ตั้งแต่ปลายปีก่อนเพราะสตาลโลนติดเดินสายโปรโมท Rocky Balboa ของเขาอยู่ในเวลานั้น ซึ่งในการกลับมาครั้งนี้เขาจับงานทุกอย่างตั้งแต่เล่นนำ, เขียนบท, กำกับการแสดง และอำนวยการสร้างเองทีเดียว
จากการยกกองมาถ่ายกันถึงประเทศไทยครั้งนี้ ทางทีมผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมการถ่ายทำสดๆ จากกองถ่ายภายในป่าของจังหวัดเชียงใหม่ และยังเป็นการรอเพื่อพบกับสตาลโลนเพื่อถามถึงที่มาในการกลับมาครั้งนี้ของเจ้าตัวเองอีกด้วย
กำหนดการณ์ที่นัดหมายเอาไว้คือวันที่พุธ 2 พ.ค. ในเวลาประมาณบ่ายโมง ทางทีมผู้สื่อข่าวได้ไปถึงที่หมายซึ่งอยู่ที่ผาเงิบ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งวันนั้นมีการถ่ายทำกัน 2 ยูนิต ได้แก่ฉากระเบิด(ถ่ายทำกันที่อื่น) และฉากที่แรบโบพานางเอกของเรื่องที่เป็นมิสชันนารีหนีในป่า ซึ่งถ่ายทำกันในผาเงิบแห่งนี้
เมื่อไปถึงกองถ่ายทางทีมงานกองถ่ายได้ขอร้องไม่ให้มีการถ่ายภาพใดๆ ทั้งสิ้น ร่วมทั้งห้ามพูดคุยกับทีมงานที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วย ซึ่งเป็นนโยบายป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลจากกองถ่าย

จีนมารีน เมอร์ฟี-เบิร์ค ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองถ่ายเผยว่าในกองถ่ายทั้งหมดใช้ทีมงานที่มาจากสหรัฐฯประมาณ 500 คนและทีมงานคนไทยอีก 400 คน ซึ่งต้องใช้รถตู้สำหรับขนย้ายเครื่องไม้เครื่องมือและทีมงานระหว่างกองถ่ายในจุดต่างๆ ถึง 90 คันต่อวันเลยทีเดียว โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาทางทีมงานได้เร่งถ่ายทำตั้งช่วงกลางวันและตอนกลางคืน โดยเริ่มถ่ายทำตอนเช้าตั้งแต่เวลา 11.30 นาฬิกา ซึ่งวันที่ผู้สื่อข่าวไปถึงนั้นการถ่ายทำได้ดำเนินไปกว่า 90% แล้ว โดยทีมงานจะถ่ายทำในประเทศไทยอีกจนถึงวันจันทร์ที่ 7 พ.ค.โดยทีมงานที่เหลือจะถ่ายทำฉากประกอบทิวทัศน์ในบริเวณป่าอีกหนึ่งสัปดาห์เป็นอันสิ้นสุดการถ่ายทำในประเทศไทย
ฉากที่ถ่ายทำในวันนั้นเป็นฉากที่สตาลโลนในบทแรมโบ พามิสชันนารีสาว ที่รับบทโดยนักแสดงสาว จูลี เบนซ์ ที่แฟนๆ ซีรีส์ Buffy the Vampire Slayer รู้จักกันดีในบทดาร์ลา ซึ่งฉากธรรมดาที่ตัวละครสองตัวพูดคุยกันไม่กี่ประโยคโดยใช้กล้องตัวเดียวในการถ่ายทำครั้งนี้ใช้เวลาถ่ายทำตลอดช่วงบ่ายของวันนั้นเลยทีเดียว
แม้ในฉากเล็กๆ ฉากนี้ แต่เมื่อสังเกตด้วยสายตาแล้วก็มีทีมงานอยู่ในบริเวณดังกล่าวเกือบร้อยชีวิตด้วยกัน ซึ่งมีไม่น้อยที่เป็นคนไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ เทียนชัย สุดเที่ยง ผู้ทำหน้าที่แคสติ้งและสอนการแสดงให้กับนักแสดงประกอบที่เป็นชาวไทยในเรื่อง ที่คัดเลือกมาเล่นประมาณ 150 คนจากผู้ที่มาสมัครกว่า 800 คน รวมทั้งนักแสดงที่เป็นชาวกะเหนี่ยงจริงๆ อีก 150 คน
จากการเปิดเผยของคุณเทียนชัยเผยว่าในเรื่องนี้แรมโบถูกขอร้องให้มาช่วยเหลือชาวกะหรี่ยงที่ถูกจับไป เพราะประสบการณ์ของแรมโบที่มาอยู่ในภาคเหนือของเมืองไทยทำให้เขารู้จักดินแดนรอยต่อระหว่างประเทศนี้เป็นอย่างดี ซึ่งในภาคนี้จะมีการโชว์ฉากสงครามที่น่ากลัวมากๆ มีฉากการระเบิดให้เห็นกันจะๆ ซึ่งทีมงานได้ว่าจ้างนักแสดงประกอบซึ่งเป็นผู้พิการแขนขามารับบทที่ต้องเห็นภาพสยดสยองแขนขาดขาขาดนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้แล้วหนังยังแสดงให้เห็นถึงความจงเกลียดจงชังของแรมโบที่มีต่อสงครามได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการถ่ายทำแบบสลับฉากระหว่างตอนที่แรมโบผู้สับสนกำลังเอาอาวุธที่ใช้เข่นฆ่าไปเผาทำลายทิ้ง ขณะเดียวกับที่ชาวกะเหรี่ยงกำลังถูกฆ่าล้างอย่างโหดร้ายไปพร้อมๆ กัน
ในวันนั้นทางทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ จอห์น ทอมป์สัน หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ (เคยโปรดิวซ์มาแล้วทั้งเรื่อง The Black Dahlia และ 16 Blocks) ที่กล่าวว่าแรมโบในภาคนี้หายจากเรื่องราวในภาคที่ 3 ไป 15 ปี ซึ่งปรากฏว่าเขากลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่เหลือคราบของทหารเก่าเดนสงครามแม้แต่น้อย ซึ่งในเรื่องนี้ลงได้รายละเอียดไปที่งานสร้างอย่างชัดเจน ทั้งการใช้อดีตทหารพม่าจริงๆ มีการพูดภาษาพม่าและกะเหรี่ยงในเรื่องจริงๆ ซึ่งตอนนี้การถ่ายทำใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ยังคงต้องใช้เวลากับช่วงโพสโปรดักชันอีกนาน เพราะการถ่ายทำในประเทศไทยล้วนๆ ครั้งนี้ใช้กองถ่าย 2 กองถ่ายทำพร้อมกันตลอดเวลา และใช้ฟิล์มไปทั้งหมดรวมความยาวกว่า 3 แสน 3 หมื่นเมตรไปแล้ว

ทอมป์สันเปิดใจว่าการถ่ายทำในประเทศไทยไม่แตกต่างจากในอเมริกาเลย พร้อมกับยอมรับว่าเขาโชคดีที่ได้ร่วมงานกับทีมงานชาวไทยที่มีประสบการณ์กับหนังในระดับนี้มาอย่างโชกโชน แม้ว่าจะต้องเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดเดือนที่ผ่านมา แต่ก็แทบจะไม่มีการเลื่อนกำหนดการถ่ายทำเลย จะมีปัญหาก็ตรงความแตกต่างของเวลาระหว่างเมืองไทยและทีมงานที่อเมริกา ที่ต้องทำให้คอยรายงานความเคลื่อนไหวกันตลอด 24 ชั่วโมง
ทอมป์สันเผยว่าที่ผ่านมาเรื่องราวของแรมโบจะอิงถึงสงครามที่มีอยู่จริงในโลกทั้งนั้น ทั้งสงครามเวียดนามในภาคแรก หรืออัฟกานิสถานในภาคที่ 3 ซึ่งน่าสนใจที่ภาคนี้ผู้คนจะได้รับรู้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้จากสื่อภาพยนตร์เสียที เพราะในสหรัฐฯ ผู้คนจะสนใจแต่ปัญหาเรื่องอิรัก อิหร่าน หรือปาเลสไตน์ แต่เรื่องราวความขัดแย้งในตะเข็บชายแดนไทยไม่เป็นที่รับรู้ในดินแดนตะวันตกแม้แต่น้อย ในสหรัฐฯ ผู้คนได้รับข้อมูลของพม่าต่างกันอย่างสุดขั้ว ขณะที่ฝ่ายการเมืองมักจะเอาประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในพม่ามาโจมตี แต่ภาคธุรกิจในสหรัฐฯ มากมายที่ได้รับการสนับสนุนให้มาลงทุนกันที่นี่ในฐานะประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่ง
โดยในภาคนี้จะเน้นความสมจริงในการต่อสู้ของแรมโบมากขึ้น อาวุธทันสมัยจะถูกใช้ให้น้อยลง แต่จะแรมโบจะต้อสู้ด้วยอาวุธง่ายๆ ที่หาได้รอบตัวของเขาเป็นหลัก โดยผู้ที่รับบทเด่นในเรื่องนี้ยังรวมไปถึงนักแสดงชาวไทยอย่าง ต็อก ศุภกร ที่ทีมงานต่างชมกันว่าแสดงได้อย่างสมบทบาทมากๆ
ซึ่งทอมป์สันได้ทิ้งท้ายว่าตัวเขาเองกำลังมีแผนที่จะกลับมาถ่ายทำหนังในเมืองไทยอีกครั้ง กับสองโปรเจ็คท์อย่าง Bangkok 8 การดัดแปลงงานเขียนของจอห์น เบอร์เด็ต และ Vampire of Siam ที่เกี่ยวผีดูดเลือดชาวฝรั่งเศสที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ผลงานเขียนของจิม นิวพอร์ต พร้อมกับชมว่าเมืองไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายหนังได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกหนึ่งคนไทยในทีมงานในวันนี้ได้แก่คุณ เอ๋ นัชชา สเตซี สาวไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในแอล.เอ.จนกลายเป็นฝ่ายแคสติงคนหนึ่งของเมืองมายา ได้ให้ข้อมูลถึงผลงานล่าสุดที่เธอได้มีโอกาสร่วมงานครั้งนี้ว่าในภาคนี้จะมีการทำสารคดีเกี่ยวกับปัญหาของชาวกะเหรี่ยงและทางการทหารพม่าเพื่อนำไปใส่ไว้เป็นสเปเชียล ฟีเจอร์สำหรับดีวีดีด้วย โดยเฉพาะเรื่องราวของมอง มอง ขิ่น อดีตทหารพม่าจริงๆ ที่มารับเล่นบทสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งการตัดสินใจเล่นหนังเรื่องนี้อาจจะทำให้เขาไม่สามรถกลับไปพบหน้าครอบครัวที่พม่าได้อีก หลังจากอพยพมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นเวลานาน เพราะความมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดต่อชาวโลกผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้

คุณเอ๋ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวอีกว่า อีกหนึ่งดาราไทยชื่อที่ร่วมงานในครั้งนี้ได้แก่สาวเซ็กซี มะหมี่ นภคประภา แต่ไม่ได้มาแสดงในหนังแต่อย่างไร ซึ่งเดิมทีเธอแค่มาช่วยงานเพื่อหาประสบการณ์ในกองถ่ายระดับฮอลลีวูดเท่านั้น แต่ด้วยความตั้งใจและสามารถทำงานได้อย่างดี ทางทีมงานจึงว่าจ้างให้เธอเป็นทีมแคชติงและแอ็คติง โค้ชในที่สุด
โดยคุณเอ๋ได้กล่าวว่า หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้ว บรรดาของใช้และเสื้อผ้าที่ใช้ในการประกอบฉากภาพยนตร์เรื่องนี้เกือบทั้งหมดจะถูกนำไปบริจาคแก่ชาวกะเหรี่ยงที่ขาดแคลนทั้งหมดด้วย
หลังจากการถ่ายทำล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น ทางทีมงานได้เก็บเครื่องมืออุปกรณ์ในกองถ่ายสำหรับฉากกลางวันในวันนั้น เพื่อลงมาที่แค้มป์ด้านล่างของวังบัวบานและพักผ่านเพื่อการถ่ายทำในช่วงกลางคืนต่อไป
ระหว่างที่พักรับประทานอาหารอยู่ที่เต้นท์เพื่อรอสัมภาษณ์สตาลโลน ซึ่งไม่มั่นใจว่าซูเปอร์สตาร์อย่างเขาจะมาคุยกันในที่อันแสนจะธรรมดาคล้ายๆ กับร้านอาหารตามสั่งอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาทุ่มกว่า สตาลโลนก็พาร่างกายที่ใหญ่โตแต่อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัดจากการถ่ายทำภาพยนตร์มาทั้งวัน มาให้นักทีมข่าวยิงคำถามสัมภาษณ์ด้วยความเป็นกันเองยิ่ง
******************************************************
1.เริ่มต้นโปรเจ็คท์นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอบ : ผมคิดโปรเจ็คท์นี้เมื่อประมาณ 1 ปี ครึ่ง ที่ผ่านมาซึ่งผมกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง Rocky Babou ผมมีความรู้สึกอยากที่จะทำหนังแอ็คชั่นดี ๆ ที่มาจากปัญหาจริง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาของประเทศพม่าถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

2.ทำไมถึงเลือกเมืองไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ
ตอบ : จริง ๆ แล้วผมมีความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาถ่ายทำแรมโบ้ 2 ในเมืองไทยอยู่แล้ว แต่ในที่สุดแรมโบ้ 2 ก็ได้ไปถ่ายทำในประเทศเม็กซิโก เพราะด้วยเหตุผลบางประการ มาครั้งนี้ John Rambo เนื้อเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศพม่าและบทก็มีความเกี่ยวข้องกับเมืองไทยอยู่บ้าง ประกอบกับสถานที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทั้งในเรื่องเชิงวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงบุคคลากร ผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่มาก ประเทศไทยจึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบมากในการเข้ามาครั้งนี้
3.ได้ทำค้นคว้าเกี่ยวกับพม่าเยอะไหม
ตอบ : ผมทำการค้นคว้ามาเยอะมาก ทั้งพูดคุยกับนักการเมืองที่อเมริกา องการสหประชาชาติ และคนพม่าอพยพ ยิ่งสืบค้นไปมาก เรื่องราวของพม่าก็เหมือนหนังประเภทสยองขวัญ มันเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายมาก แต่คนทั่วโลกไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมันเลย พวกเขารู้จักแต่ปัญหาของอิรัก ซูดาน, โซมาเลีย ผู้คนไม่รู้เลยว่าในพม่าถือว่าเป็นสงครามกลางเมืองที่ยาวนานที่สุดในโลก และยิ่งผมศึกษามันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นความโหดร้ายที่พม่าทำต่อชาวกะเหรี่ยงมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับสมัยที่เจงกิสข่านมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในทุกวันนี้ และผมจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างที่มันเป็นด้วยเช่นกัน
4.มันเป็นสิ่งที่คุณสนใจเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า
ตอบ : มันเป็นสิ่งที่ผมสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว พม่าเป็นประเทศที่แปลกประหลาดและไม่ธรรมดามาก พม่าเป็นประเทศที่มีประเทศที่ร่ำรวยหนุนหลังอยู่ ผมต้องการตีแผ่เรื่องราวเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ชมพร้อมไปกับให้ความสนุกสนานกับฉากแอ็คชันมัน ๆ
5.ทำไมระยะห่างระหว่าง Rambo 3 ถึงภาคล่าสุดถึงได้ห่างกันนานมาก
ตอบ : ผมรู้ว่ามันนานมาก หลังจากจบ Rambo 3 ซึ่งเป็นการทำงานที่ยากมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมรู้สึกท้อแท้และผิดหวังเช่นเดียวกับ Rocky 5 ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าทำมันเลยทั้งสองเรื่อง แต่ในขณะที่ช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้โลกเปลี่ยนไปมากมาย ในช่วงหลัง ๆ ส่วนมากคนหันไปนิยมแฟนตาซี อย่าง Spiderman, Fantastic 4, The Hulk ถึงเวลาแล้วที่ตัวละครอย่างนี้จะต้องกลับมา ผมอยากจะนำเสนอฮีโรที่มีเลือดเนื้อจริงๆ ให้กับคนดู ซึ่งในภาคนี้ถือเป็นแรมโบที่มีเลือดเนื้อที่สุดตั้งแต่ผมทำมา
6.หลังจากภาคนี้แล้วจะยังมี Rambo 5 อีกหรือไม่
ตอบ : ไม่มีแล้วครับ ผมมองว่าคนเราก็เหมือนกับสัตว์ที่ต่อสู้กันไปก็เพื่อความสันติสุข ผมคิดว่าโลกในอนาคตจะไม่มีสงครามทุกคนต้องการความสงบสุข

7.จากภาคที่แล้วถึงภาคนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
ตอบ : แน่นอนครับ ตัวแรมโบในภาคนี้เริ่มไม่ค่อยมีความเชื่อใจใครง่ายๆ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น มีความโกรธแค้นมากแตกต่างจากแรมโบภาคอื่นๆ ที่เค้ามีความสุขุม, เงียบขรึม, และมุมมองชีวิตผ่านประสบการณ์ที่โชกโชน ดังนั้น John Rambo ในภาคนี้ จึงเป็นภาคที่มันส์และดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
8.ภาคนี้มีความยากกว่าภาคที่แล้วอย่างไร
ตอบ : มันเป็นหนังที่ยากที่สุดในชีวิตผม ไม่อยากเชื่อว่าผมจะรอมาถึงอายุปานนี้เพื่อที่จะทำมัน ผู้ชมในยุคนี้ก็แตกต่างจาก 20 ปีที่แล้วที่ไม่ยอมรับอะไรที่ธรรมดาอีกต่อไป พวกเขาต้องการเรื่องราวที่มีเนื้อหาซับซ้อนมากกว่าเดิม ผู้ชมต้องการความสมจริงมากขึ้น มีความลุ่มลึกในเนื้อหา ดังนั้นหนังเรื่องนี้มีความสมจริงสมจังและยิ่งใหญ่อลังการมาก มีทั้งเรื่องราวของการเมือง แอ็คชัน ความรัก และผจญภัย เหมือนกับเรื่อง Apocalypse Now เคยทำเอาไว้
9.คาดการณ์ว่าภาคนี้กลุ่มเป้าหมายจะมีการเปลี่ยนไปหรือไม่
ตอบ : แน่นอนกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไป ต่างจากผลงานล่าสุดอย่าง Rocky Balboa ที่ผมภูมิใจอย่างมาก ที่สอนให้คนที่อายุอย่างผมดูแล้วเชื่อว่าคุณสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ แต่แรมโบผมเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เคยดูแรบโบแต่ในรูปแบบดีวีดีมาก่อน ที่จะได้ชมในโรงเป็นครั้งแรก ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะกว้างมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือคนที่ไม่เคยดูแรมโบมาก่อนรวมไปถึงแฟน ๆ แรมโบก็จะกลับมาดูอีกแน่นอน
10.คุณคาดหวังกับผลของภาคนี้อย่างไร
ตอบ : คิดว่าหนังเรื่องนี้คงจะได้รับการตอบรับจากคนไทยอย่างดีมาก เพราะว่าไม่ว่าจะสถานที่ถ่ายทำที่ใช้ในประเทศไทย ทีมงานคนไทย และดาราคนไทยหลาย ๆ คนก็มาแสดงในเรื่องนี้ นอกจากนั้นยังใช้คนพม่าจริง ๆ มาเล่นในบทที่มีความสำคัญซึ่งยากมากที่จะมีโอกาสได้ร่วมงานแบบนี้
11.คุณคิดอย่างไรกับประเทศไทย
ตอบ : ผมรักเมืองไทย และความเป็นคนไทย ที่ขยันและมีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทีมงานที่ทำงานร่วมกับผมยังเป็นบุคลากรที่มีความสามารถมาก ผมคิดว่าวงการภาพยนตร์ในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่แพ้ฮ่องกงเลยทีเดียว

12.ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้งบประมาณในการถ่ายทำเท่าไหร่
ตอบ : เชื่อไหม ในการถ่ายทำในไทยเราใช้งบประมาณแค่ 50 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งถ้าไปถ่ายทำในอเมริกาคงไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญแน่ๆ
13.ในเรื่องนี้คุณทั้งเล่นและกำกับเอง มันมีอุปสรรคอย่างไรบ้างไหม
ตอบ : ตอนแรกที่รับปากว่าจะกำกับ ผมไม่คิดว่ามันจะยากมากนัก แต่เมื่อมากำกับแล้วผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยากที่สุดในชีวิตผมเลยทีเดียว มันเป็นงานที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตเท่าที่ผ่านมา แต่มันคุ้มค่ามากที่ได้มาทำ ซึ่งการที่ผมได้มากำกับเองมันทำให้ผมได้บอกเรื่องราวในมุมมองของผมและผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี และไม่คิดว่าคนอื่นจะทำได้ในรูปแบบอย่างที่ผมทำ ผมให้มุมกล้องถ่ายทอดออกไปเป็นมุมมองของแรมโบอย่างแท้จริง ที่จะไม่ถ่ายทอดออกมานิ่งๆ แต่ต้องฉับไว หยาบ และมืดหม่นตามความเข้มข้นของเนื้อหาที่มากขึ้นเรื่อยๆ
14.อยากทราบถึงความรู้สึกของคุณต่อการแสดงของนักแสดงไทยอย่าง ต็อก ศุภกร ในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร
ตอบ : เค้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมมาก เหมือนนักกีฬาที่ช่ำชอง เค้าหล่อดูดีและมีบุคลิกที่ดีมาก ในตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้เลย เค้าไวมาก ยิ่งในฉากแอ็คชั่นเขาว่องไวเหมือนแมวเลยที่เดียว ผมเลยเพิ่มเติมบทแอ็คชันให้กับเค้าเข้าไปอีก เค้าเปรียบเสมือนนักรบ เป็นแรมโบฉบับคนไทย และผมคิดว่าเค้าจะมีอนาคตที่ไกล
15.หลังจากเรื่องนี้แล้วคุณมีแผนงานอะไรบ้างอย่างไร
ตอบ : ผมมีแผนที่จะทำหนังอีกเรื่อง มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับอดีตนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่ได้เจอกับปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดจึงได้กับมาหาอดีตนักแข่งรถคนหนึ่ง ณ เวลานั้นเค้าไม่ได้แข่งรถมานานกว่า 20 ปี เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งยากมากในการที่จะกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิม มันเป็นโปรเจ็คท์ที่น่าสนใจซึ่งผมตะต้องเล่นและกำกับเองด้วย
16.ได้ข่าวว่าคุณจะทำหนังเกี่ยวกับประวัติของชีวิตนักเขียน เอ็ดการ์ อลัน โป ด้วย
ตอบ : เรื่องนี้ผมจะทำหลังจากนั้น สตูดิโอที่ฮอลลีวูดอยากจะให้ผมได้สร้างหนังอีกสัก 2-3 เรื่อง ซึ่งผมก็เห็นดีด้วยและหลังจากนั้นผมคงเกษียณแล้ว
แต่อีกหนึ่งการกลับมาที่ทุกคนเฝ้ารอไม่แพ้ร็อกกี ได้แก่ภาคที่ 4 ของยอดนักรบที่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกอย่าง จอห์น แรบโบ้ ที่กลับมาคราวนี้ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นกว่าเดิม สะท้อนความมีเลือดเนื้อของตัวละครอย่างที่เขาเคยทำไว้ในร็อกกีเช่นกัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อแรบโบ้มาใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองไทย ด้วยอาชีพจับงูไปขายให้กับฟาร์มเลี้ยงงูที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทิ้งความป่าเถื่อนรุนแรงในอดีตของเขาเอาไว้เบื้องหลัง โดยสาบานกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเผชิญกับฝันร้ายครั้งนั้นอีกต่อไป แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดความวุ่นวายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า ที่แรมโบถูกร้องขอให้เข้ามาช่วยเหลือกลุ่มผู้สอนศาสนาที่ถูกจับตัวไป โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าการเข้าไปมีเอี่ยวครั้งนี้จะนำเขาเข้าไปสู่ใจกลางของสงครามที่โหดร้ายและยาวนานกว่าทุกๆ สมรภูมิที่เขาเคยรู้จักมา
ด้วยเนื้อเรื่องที่ดำเนินในประเทศไทย ทางผู้สร้างจึงเดินทางกันมาถ่ายทำที่ประเทศไทยในจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากต้องเลื่อนเปิดกล้องที่เดิมทีวางแผนกันไว้ว่าจะมาถ่ายทำกันที่นี่ตั้งแต่ปลายปีก่อนเพราะสตาลโลนติดเดินสายโปรโมท Rocky Balboa ของเขาอยู่ในเวลานั้น ซึ่งในการกลับมาครั้งนี้เขาจับงานทุกอย่างตั้งแต่เล่นนำ, เขียนบท, กำกับการแสดง และอำนวยการสร้างเองทีเดียว
จากการยกกองมาถ่ายกันถึงประเทศไทยครั้งนี้ ทางทีมผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมการถ่ายทำสดๆ จากกองถ่ายภายในป่าของจังหวัดเชียงใหม่ และยังเป็นการรอเพื่อพบกับสตาลโลนเพื่อถามถึงที่มาในการกลับมาครั้งนี้ของเจ้าตัวเองอีกด้วย
กำหนดการณ์ที่นัดหมายเอาไว้คือวันที่พุธ 2 พ.ค. ในเวลาประมาณบ่ายโมง ทางทีมผู้สื่อข่าวได้ไปถึงที่หมายซึ่งอยู่ที่ผาเงิบ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งวันนั้นมีการถ่ายทำกัน 2 ยูนิต ได้แก่ฉากระเบิด(ถ่ายทำกันที่อื่น) และฉากที่แรบโบพานางเอกของเรื่องที่เป็นมิสชันนารีหนีในป่า ซึ่งถ่ายทำกันในผาเงิบแห่งนี้
เมื่อไปถึงกองถ่ายทางทีมงานกองถ่ายได้ขอร้องไม่ให้มีการถ่ายภาพใดๆ ทั้งสิ้น ร่วมทั้งห้ามพูดคุยกับทีมงานที่ไม่ได้รับอนุญาตด้วย ซึ่งเป็นนโยบายป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลจากกองถ่าย
จีนมารีน เมอร์ฟี-เบิร์ค ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองถ่ายเผยว่าในกองถ่ายทั้งหมดใช้ทีมงานที่มาจากสหรัฐฯประมาณ 500 คนและทีมงานคนไทยอีก 400 คน ซึ่งต้องใช้รถตู้สำหรับขนย้ายเครื่องไม้เครื่องมือและทีมงานระหว่างกองถ่ายในจุดต่างๆ ถึง 90 คันต่อวันเลยทีเดียว โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาทางทีมงานได้เร่งถ่ายทำตั้งช่วงกลางวันและตอนกลางคืน โดยเริ่มถ่ายทำตอนเช้าตั้งแต่เวลา 11.30 นาฬิกา ซึ่งวันที่ผู้สื่อข่าวไปถึงนั้นการถ่ายทำได้ดำเนินไปกว่า 90% แล้ว โดยทีมงานจะถ่ายทำในประเทศไทยอีกจนถึงวันจันทร์ที่ 7 พ.ค.โดยทีมงานที่เหลือจะถ่ายทำฉากประกอบทิวทัศน์ในบริเวณป่าอีกหนึ่งสัปดาห์เป็นอันสิ้นสุดการถ่ายทำในประเทศไทย
ฉากที่ถ่ายทำในวันนั้นเป็นฉากที่สตาลโลนในบทแรมโบ พามิสชันนารีสาว ที่รับบทโดยนักแสดงสาว จูลี เบนซ์ ที่แฟนๆ ซีรีส์ Buffy the Vampire Slayer รู้จักกันดีในบทดาร์ลา ซึ่งฉากธรรมดาที่ตัวละครสองตัวพูดคุยกันไม่กี่ประโยคโดยใช้กล้องตัวเดียวในการถ่ายทำครั้งนี้ใช้เวลาถ่ายทำตลอดช่วงบ่ายของวันนั้นเลยทีเดียว
แม้ในฉากเล็กๆ ฉากนี้ แต่เมื่อสังเกตด้วยสายตาแล้วก็มีทีมงานอยู่ในบริเวณดังกล่าวเกือบร้อยชีวิตด้วยกัน ซึ่งมีไม่น้อยที่เป็นคนไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นได้แก่ เทียนชัย สุดเที่ยง ผู้ทำหน้าที่แคสติ้งและสอนการแสดงให้กับนักแสดงประกอบที่เป็นชาวไทยในเรื่อง ที่คัดเลือกมาเล่นประมาณ 150 คนจากผู้ที่มาสมัครกว่า 800 คน รวมทั้งนักแสดงที่เป็นชาวกะเหนี่ยงจริงๆ อีก 150 คน
จากการเปิดเผยของคุณเทียนชัยเผยว่าในเรื่องนี้แรมโบถูกขอร้องให้มาช่วยเหลือชาวกะหรี่ยงที่ถูกจับไป เพราะประสบการณ์ของแรมโบที่มาอยู่ในภาคเหนือของเมืองไทยทำให้เขารู้จักดินแดนรอยต่อระหว่างประเทศนี้เป็นอย่างดี ซึ่งในภาคนี้จะมีการโชว์ฉากสงครามที่น่ากลัวมากๆ มีฉากการระเบิดให้เห็นกันจะๆ ซึ่งทีมงานได้ว่าจ้างนักแสดงประกอบซึ่งเป็นผู้พิการแขนขามารับบทที่ต้องเห็นภาพสยดสยองแขนขาดขาขาดนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้แล้วหนังยังแสดงให้เห็นถึงความจงเกลียดจงชังของแรมโบที่มีต่อสงครามได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการถ่ายทำแบบสลับฉากระหว่างตอนที่แรมโบผู้สับสนกำลังเอาอาวุธที่ใช้เข่นฆ่าไปเผาทำลายทิ้ง ขณะเดียวกับที่ชาวกะเหรี่ยงกำลังถูกฆ่าล้างอย่างโหดร้ายไปพร้อมๆ กัน
ในวันนั้นทางทีมข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ จอห์น ทอมป์สัน หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ของเรื่องนี้ (เคยโปรดิวซ์มาแล้วทั้งเรื่อง The Black Dahlia และ 16 Blocks) ที่กล่าวว่าแรมโบในภาคนี้หายจากเรื่องราวในภาคที่ 3 ไป 15 ปี ซึ่งปรากฏว่าเขากลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่เหลือคราบของทหารเก่าเดนสงครามแม้แต่น้อย ซึ่งในเรื่องนี้ลงได้รายละเอียดไปที่งานสร้างอย่างชัดเจน ทั้งการใช้อดีตทหารพม่าจริงๆ มีการพูดภาษาพม่าและกะเหรี่ยงในเรื่องจริงๆ ซึ่งตอนนี้การถ่ายทำใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ยังคงต้องใช้เวลากับช่วงโพสโปรดักชันอีกนาน เพราะการถ่ายทำในประเทศไทยล้วนๆ ครั้งนี้ใช้กองถ่าย 2 กองถ่ายทำพร้อมกันตลอดเวลา และใช้ฟิล์มไปทั้งหมดรวมความยาวกว่า 3 แสน 3 หมื่นเมตรไปแล้ว
ทอมป์สันเปิดใจว่าการถ่ายทำในประเทศไทยไม่แตกต่างจากในอเมริกาเลย พร้อมกับยอมรับว่าเขาโชคดีที่ได้ร่วมงานกับทีมงานชาวไทยที่มีประสบการณ์กับหนังในระดับนี้มาอย่างโชกโชน แม้ว่าจะต้องเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดเดือนที่ผ่านมา แต่ก็แทบจะไม่มีการเลื่อนกำหนดการถ่ายทำเลย จะมีปัญหาก็ตรงความแตกต่างของเวลาระหว่างเมืองไทยและทีมงานที่อเมริกา ที่ต้องทำให้คอยรายงานความเคลื่อนไหวกันตลอด 24 ชั่วโมง
ทอมป์สันเผยว่าที่ผ่านมาเรื่องราวของแรมโบจะอิงถึงสงครามที่มีอยู่จริงในโลกทั้งนั้น ทั้งสงครามเวียดนามในภาคแรก หรืออัฟกานิสถานในภาคที่ 3 ซึ่งน่าสนใจที่ภาคนี้ผู้คนจะได้รับรู้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้จากสื่อภาพยนตร์เสียที เพราะในสหรัฐฯ ผู้คนจะสนใจแต่ปัญหาเรื่องอิรัก อิหร่าน หรือปาเลสไตน์ แต่เรื่องราวความขัดแย้งในตะเข็บชายแดนไทยไม่เป็นที่รับรู้ในดินแดนตะวันตกแม้แต่น้อย ในสหรัฐฯ ผู้คนได้รับข้อมูลของพม่าต่างกันอย่างสุดขั้ว ขณะที่ฝ่ายการเมืองมักจะเอาประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในพม่ามาโจมตี แต่ภาคธุรกิจในสหรัฐฯ มากมายที่ได้รับการสนับสนุนให้มาลงทุนกันที่นี่ในฐานะประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดประเทศหนึ่ง
โดยในภาคนี้จะเน้นความสมจริงในการต่อสู้ของแรมโบมากขึ้น อาวุธทันสมัยจะถูกใช้ให้น้อยลง แต่จะแรมโบจะต้อสู้ด้วยอาวุธง่ายๆ ที่หาได้รอบตัวของเขาเป็นหลัก โดยผู้ที่รับบทเด่นในเรื่องนี้ยังรวมไปถึงนักแสดงชาวไทยอย่าง ต็อก ศุภกร ที่ทีมงานต่างชมกันว่าแสดงได้อย่างสมบทบาทมากๆ
ซึ่งทอมป์สันได้ทิ้งท้ายว่าตัวเขาเองกำลังมีแผนที่จะกลับมาถ่ายทำหนังในเมืองไทยอีกครั้ง กับสองโปรเจ็คท์อย่าง Bangkok 8 การดัดแปลงงานเขียนของจอห์น เบอร์เด็ต และ Vampire of Siam ที่เกี่ยวผีดูดเลือดชาวฝรั่งเศสที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ผลงานเขียนของจิม นิวพอร์ต พร้อมกับชมว่าเมืองไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการถ่ายหนังได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกหนึ่งคนไทยในทีมงานในวันนี้ได้แก่คุณ เอ๋ นัชชา สเตซี สาวไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในแอล.เอ.จนกลายเป็นฝ่ายแคสติงคนหนึ่งของเมืองมายา ได้ให้ข้อมูลถึงผลงานล่าสุดที่เธอได้มีโอกาสร่วมงานครั้งนี้ว่าในภาคนี้จะมีการทำสารคดีเกี่ยวกับปัญหาของชาวกะเหรี่ยงและทางการทหารพม่าเพื่อนำไปใส่ไว้เป็นสเปเชียล ฟีเจอร์สำหรับดีวีดีด้วย โดยเฉพาะเรื่องราวของมอง มอง ขิ่น อดีตทหารพม่าจริงๆ ที่มารับเล่นบทสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งการตัดสินใจเล่นหนังเรื่องนี้อาจจะทำให้เขาไม่สามรถกลับไปพบหน้าครอบครัวที่พม่าได้อีก หลังจากอพยพมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นเวลานาน เพราะความมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดต่อชาวโลกผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้
คุณเอ๋ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวอีกว่า อีกหนึ่งดาราไทยชื่อที่ร่วมงานในครั้งนี้ได้แก่สาวเซ็กซี มะหมี่ นภคประภา แต่ไม่ได้มาแสดงในหนังแต่อย่างไร ซึ่งเดิมทีเธอแค่มาช่วยงานเพื่อหาประสบการณ์ในกองถ่ายระดับฮอลลีวูดเท่านั้น แต่ด้วยความตั้งใจและสามารถทำงานได้อย่างดี ทางทีมงานจึงว่าจ้างให้เธอเป็นทีมแคชติงและแอ็คติง โค้ชในที่สุด
โดยคุณเอ๋ได้กล่าวว่า หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้ว บรรดาของใช้และเสื้อผ้าที่ใช้ในการประกอบฉากภาพยนตร์เรื่องนี้เกือบทั้งหมดจะถูกนำไปบริจาคแก่ชาวกะเหรี่ยงที่ขาดแคลนทั้งหมดด้วย
หลังจากการถ่ายทำล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น ทางทีมงานได้เก็บเครื่องมืออุปกรณ์ในกองถ่ายสำหรับฉากกลางวันในวันนั้น เพื่อลงมาที่แค้มป์ด้านล่างของวังบัวบานและพักผ่านเพื่อการถ่ายทำในช่วงกลางคืนต่อไป
ระหว่างที่พักรับประทานอาหารอยู่ที่เต้นท์เพื่อรอสัมภาษณ์สตาลโลน ซึ่งไม่มั่นใจว่าซูเปอร์สตาร์อย่างเขาจะมาคุยกันในที่อันแสนจะธรรมดาคล้ายๆ กับร้านอาหารตามสั่งอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาทุ่มกว่า สตาลโลนก็พาร่างกายที่ใหญ่โตแต่อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัดจากการถ่ายทำภาพยนตร์มาทั้งวัน มาให้นักทีมข่าวยิงคำถามสัมภาษณ์ด้วยความเป็นกันเองยิ่ง
******************************************************
1.เริ่มต้นโปรเจ็คท์นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอบ : ผมคิดโปรเจ็คท์นี้เมื่อประมาณ 1 ปี ครึ่ง ที่ผ่านมาซึ่งผมกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่อง Rocky Babou ผมมีความรู้สึกอยากที่จะทำหนังแอ็คชั่นดี ๆ ที่มาจากปัญหาจริง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาของประเทศพม่าถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
2.ทำไมถึงเลือกเมืองไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ
ตอบ : จริง ๆ แล้วผมมีความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาถ่ายทำแรมโบ้ 2 ในเมืองไทยอยู่แล้ว แต่ในที่สุดแรมโบ้ 2 ก็ได้ไปถ่ายทำในประเทศเม็กซิโก เพราะด้วยเหตุผลบางประการ มาครั้งนี้ John Rambo เนื้อเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศพม่าและบทก็มีความเกี่ยวข้องกับเมืองไทยอยู่บ้าง ประกอบกับสถานที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทั้งในเรื่องเชิงวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงบุคคลากร ผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่มาก ประเทศไทยจึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบมากในการเข้ามาครั้งนี้
3.ได้ทำค้นคว้าเกี่ยวกับพม่าเยอะไหม
ตอบ : ผมทำการค้นคว้ามาเยอะมาก ทั้งพูดคุยกับนักการเมืองที่อเมริกา องการสหประชาชาติ และคนพม่าอพยพ ยิ่งสืบค้นไปมาก เรื่องราวของพม่าก็เหมือนหนังประเภทสยองขวัญ มันเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายมาก แต่คนทั่วโลกไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมันเลย พวกเขารู้จักแต่ปัญหาของอิรัก ซูดาน, โซมาเลีย ผู้คนไม่รู้เลยว่าในพม่าถือว่าเป็นสงครามกลางเมืองที่ยาวนานที่สุดในโลก และยิ่งผมศึกษามันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นความโหดร้ายที่พม่าทำต่อชาวกะเหรี่ยงมากขึ้นเท่านั้น เหมือนกับสมัยที่เจงกิสข่านมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในทุกวันนี้ และผมจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างที่มันเป็นด้วยเช่นกัน
4.มันเป็นสิ่งที่คุณสนใจเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า
ตอบ : มันเป็นสิ่งที่ผมสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว พม่าเป็นประเทศที่แปลกประหลาดและไม่ธรรมดามาก พม่าเป็นประเทศที่มีประเทศที่ร่ำรวยหนุนหลังอยู่ ผมต้องการตีแผ่เรื่องราวเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ชมพร้อมไปกับให้ความสนุกสนานกับฉากแอ็คชันมัน ๆ
5.ทำไมระยะห่างระหว่าง Rambo 3 ถึงภาคล่าสุดถึงได้ห่างกันนานมาก
ตอบ : ผมรู้ว่ามันนานมาก หลังจากจบ Rambo 3 ซึ่งเป็นการทำงานที่ยากมาก ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมรู้สึกท้อแท้และผิดหวังเช่นเดียวกับ Rocky 5 ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าทำมันเลยทั้งสองเรื่อง แต่ในขณะที่ช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้โลกเปลี่ยนไปมากมาย ในช่วงหลัง ๆ ส่วนมากคนหันไปนิยมแฟนตาซี อย่าง Spiderman, Fantastic 4, The Hulk ถึงเวลาแล้วที่ตัวละครอย่างนี้จะต้องกลับมา ผมอยากจะนำเสนอฮีโรที่มีเลือดเนื้อจริงๆ ให้กับคนดู ซึ่งในภาคนี้ถือเป็นแรมโบที่มีเลือดเนื้อที่สุดตั้งแต่ผมทำมา
6.หลังจากภาคนี้แล้วจะยังมี Rambo 5 อีกหรือไม่
ตอบ : ไม่มีแล้วครับ ผมมองว่าคนเราก็เหมือนกับสัตว์ที่ต่อสู้กันไปก็เพื่อความสันติสุข ผมคิดว่าโลกในอนาคตจะไม่มีสงครามทุกคนต้องการความสงบสุข
7.จากภาคที่แล้วถึงภาคนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
ตอบ : แน่นอนครับ ตัวแรมโบในภาคนี้เริ่มไม่ค่อยมีความเชื่อใจใครง่ายๆ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น มีความโกรธแค้นมากแตกต่างจากแรมโบภาคอื่นๆ ที่เค้ามีความสุขุม, เงียบขรึม, และมุมมองชีวิตผ่านประสบการณ์ที่โชกโชน ดังนั้น John Rambo ในภาคนี้ จึงเป็นภาคที่มันส์และดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
8.ภาคนี้มีความยากกว่าภาคที่แล้วอย่างไร
ตอบ : มันเป็นหนังที่ยากที่สุดในชีวิตผม ไม่อยากเชื่อว่าผมจะรอมาถึงอายุปานนี้เพื่อที่จะทำมัน ผู้ชมในยุคนี้ก็แตกต่างจาก 20 ปีที่แล้วที่ไม่ยอมรับอะไรที่ธรรมดาอีกต่อไป พวกเขาต้องการเรื่องราวที่มีเนื้อหาซับซ้อนมากกว่าเดิม ผู้ชมต้องการความสมจริงมากขึ้น มีความลุ่มลึกในเนื้อหา ดังนั้นหนังเรื่องนี้มีความสมจริงสมจังและยิ่งใหญ่อลังการมาก มีทั้งเรื่องราวของการเมือง แอ็คชัน ความรัก และผจญภัย เหมือนกับเรื่อง Apocalypse Now เคยทำเอาไว้
9.คาดการณ์ว่าภาคนี้กลุ่มเป้าหมายจะมีการเปลี่ยนไปหรือไม่
ตอบ : แน่นอนกลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนไป ต่างจากผลงานล่าสุดอย่าง Rocky Balboa ที่ผมภูมิใจอย่างมาก ที่สอนให้คนที่อายุอย่างผมดูแล้วเชื่อว่าคุณสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ แต่แรมโบผมเน้นไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เคยดูแรบโบแต่ในรูปแบบดีวีดีมาก่อน ที่จะได้ชมในโรงเป็นครั้งแรก ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะกว้างมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือคนที่ไม่เคยดูแรมโบมาก่อนรวมไปถึงแฟน ๆ แรมโบก็จะกลับมาดูอีกแน่นอน
10.คุณคาดหวังกับผลของภาคนี้อย่างไร
ตอบ : คิดว่าหนังเรื่องนี้คงจะได้รับการตอบรับจากคนไทยอย่างดีมาก เพราะว่าไม่ว่าจะสถานที่ถ่ายทำที่ใช้ในประเทศไทย ทีมงานคนไทย และดาราคนไทยหลาย ๆ คนก็มาแสดงในเรื่องนี้ นอกจากนั้นยังใช้คนพม่าจริง ๆ มาเล่นในบทที่มีความสำคัญซึ่งยากมากที่จะมีโอกาสได้ร่วมงานแบบนี้
11.คุณคิดอย่างไรกับประเทศไทย
ตอบ : ผมรักเมืองไทย และความเป็นคนไทย ที่ขยันและมีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทีมงานที่ทำงานร่วมกับผมยังเป็นบุคลากรที่มีความสามารถมาก ผมคิดว่าวงการภาพยนตร์ในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่แพ้ฮ่องกงเลยทีเดียว
12.ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้งบประมาณในการถ่ายทำเท่าไหร่
ตอบ : เชื่อไหม ในการถ่ายทำในไทยเราใช้งบประมาณแค่ 50 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งถ้าไปถ่ายทำในอเมริกาคงไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญแน่ๆ
13.ในเรื่องนี้คุณทั้งเล่นและกำกับเอง มันมีอุปสรรคอย่างไรบ้างไหม
ตอบ : ตอนแรกที่รับปากว่าจะกำกับ ผมไม่คิดว่ามันจะยากมากนัก แต่เมื่อมากำกับแล้วผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยากที่สุดในชีวิตผมเลยทีเดียว มันเป็นงานที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตเท่าที่ผ่านมา แต่มันคุ้มค่ามากที่ได้มาทำ ซึ่งการที่ผมได้มากำกับเองมันทำให้ผมได้บอกเรื่องราวในมุมมองของผมและผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี และไม่คิดว่าคนอื่นจะทำได้ในรูปแบบอย่างที่ผมทำ ผมให้มุมกล้องถ่ายทอดออกไปเป็นมุมมองของแรมโบอย่างแท้จริง ที่จะไม่ถ่ายทอดออกมานิ่งๆ แต่ต้องฉับไว หยาบ และมืดหม่นตามความเข้มข้นของเนื้อหาที่มากขึ้นเรื่อยๆ
14.อยากทราบถึงความรู้สึกของคุณต่อการแสดงของนักแสดงไทยอย่าง ต็อก ศุภกร ในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร
ตอบ : เค้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมมาก เหมือนนักกีฬาที่ช่ำชอง เค้าหล่อดูดีและมีบุคลิกที่ดีมาก ในตอนแรกผมไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้เลย เค้าไวมาก ยิ่งในฉากแอ็คชั่นเขาว่องไวเหมือนแมวเลยที่เดียว ผมเลยเพิ่มเติมบทแอ็คชันให้กับเค้าเข้าไปอีก เค้าเปรียบเสมือนนักรบ เป็นแรมโบฉบับคนไทย และผมคิดว่าเค้าจะมีอนาคตที่ไกล
15.หลังจากเรื่องนี้แล้วคุณมีแผนงานอะไรบ้างอย่างไร
ตอบ : ผมมีแผนที่จะทำหนังอีกเรื่อง มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับอดีตนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่ได้เจอกับปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดจึงได้กับมาหาอดีตนักแข่งรถคนหนึ่ง ณ เวลานั้นเค้าไม่ได้แข่งรถมานานกว่า 20 ปี เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งยากมากในการที่จะกลับมาคุยกันได้เหมือนเดิม มันเป็นโปรเจ็คท์ที่น่าสนใจซึ่งผมตะต้องเล่นและกำกับเองด้วย
16.ได้ข่าวว่าคุณจะทำหนังเกี่ยวกับประวัติของชีวิตนักเขียน เอ็ดการ์ อลัน โป ด้วย
ตอบ : เรื่องนี้ผมจะทำหลังจากนั้น สตูดิโอที่ฮอลลีวูดอยากจะให้ผมได้สร้างหนังอีกสัก 2-3 เรื่อง ซึ่งผมก็เห็นดีด้วยและหลังจากนั้นผมคงเกษียณแล้ว