กลายเป็นประเด็นขึ้นมาจนได้สำหรับภาพยนตร์ไทยเรื่อง "Me my self : ขอให้รักจงเจริญ" เมื่อกลุ่มเกย์การเมืองและกลุ่มชาวเกย์อื่นๆ อาทิ บางกอกเรนโบว์ นำโดย "นที ธีระโรจนพงษ์" ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อแสดงการคัดค้านเนื้อหาบางส่วนของหนังเรื่องดังกล่าว
ทั้งนี้ในส่วนของประเด็นที่ทางกลุ่มชาวเกย์ไม่เห็นด้วยก็คือเนื้อหาของหนังที่กำหนดให้พระเอกซึ่งมีพฤติกรรมของเพศที่ 3 ต้องประสบกับเหตุการณ์จนมีอาการความจำเสื่อมกระทั่งลืมว่าตนเองเป็นเพศใดกันแน่โดยบอกว่าเนื้อหาในส่วนนี้อาจจะทำให้หลายๆ คนเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าการทำให้เกิดการกระทบกระเทือนทางสมองนั้นจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ที่มีรสนิยมทางเพศที่เบี่ยงเบนได้
รวมไปถึงรายละเอียดของหนังที่พยายามจะสื่อออกมาว่าสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลที่สุดต่อการเกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ ด้วยการยกตัวอย่างจากหนังที่พระเอกต้องเติบโตในคลับคาบาเรต์ซึ่งเต็มไปด้วยนักเต้นที่เป็นกะเทย กระทั่งตัวเขาเองต้องกลายเป็นเช่นนั้นไปด้วยว่าไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด โดยในรายละเอียดต่างๆ นั้น "นที" เปิดเผยว่า...
"เป็นเรื่องขอชี้แจงผ่านสื่อ เพราะว่าภาพยนตร์เรื่อง Me Myself ทำออกมาแล้ว ฉายแล้วและได้รับความนิยมแล้วมันได้สร้างความเข้าใจผิดค่อนข้างรุนแรงมากให้กับวงการเกย์ แต่ตรงนี้ผมไม่ได้คิดถึงขั้นไปประท้วงอะไรเลยนะ"
"เมื่อสื่อถูกนำเสนอมาเป็นตัวหนังเรียบร้อยแล้วสิ่งที่เราองค์กรเกย์ซึ่งพี่เป็นประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทยและมีกลุ่มบางกอกเรนโบว์ กลุ่มแสงจากใจที่คอยเฝ้าระวังเรื่องที่ไม่ถูกต้องเปลี่ยนให้มันถูกต้อง เราก็ประชุมกันและคิดว่าเราต้องนำเสนอแนวคิดเรื่องนี้ให้สื่อมวลชนได้ทราบให้ถ้วนหน้ากัน"
"ประเด็นที่หนึ่งหนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวที่มีคาบาร์เล่ต์ โชว์เลี้ยงดูเด็กผู้ชายและเด็กผู้ชายเติบโตเป็นกะเทย เรื่องเกย์เลี้ยงลูกแล้วเป็นเกย์ หรือทอมเลี้ยงลูกแล้วเป็นทอมเนี่ยเป็นประเด็นซึ่งไม่จริง เพราะว่ามีการสำรวจกันมากมายที่อเมริกาว่ามันมีแฟ็คเตอร์มากมายที่ทำให้คนรักเพศเดียวกัน"
"แต่การที่มีพ่อแม่เป็นทอมกับดี้เลี้ยงลูกมาลูกก็เติบโตมาเป็นผู้หญิงรักผู้ชายนะหรือคู่ที่เป็นเกย์เลี้ยงลูกผู้ชายก็ไม่ได้เป็นเกย์ ก็เป็นผู้ชายชอบผู้หญิง เขามีบทสรุปที่เช็คดูได้เลย"
ทั้งนี้ผู้นำกลุ่มเกย์การเมืองไทยยอมรับว่าประเด็นนี้อาจแล้วแต่มุมมองของคนดูแต่ก็ยังย้ำถึงผลกระทบที่กลุ่มเกย์จะได้รับเนื่องมาจากความเชื่อที่ผิดๆ ที่ว่า "เกย์เลี้ยงลูกแล้วลูกจะต้องเป็นเกย์"
"เขาคิดไปกันได้หมด แต่ในฐานะที่พี่เป็นเกย์พี่ไม่ได้มีสื่อในมือพี่สามารถคิดในแง่วิทยาศาสตร์ได้มั้ยเพื่อให้สังคมมันบาลานซ์กัน เมื่อคุณมีเวทีพูดมีเวทีแสดงไปแล้วเราก็ขอเวทีนิดหนึ่งเพื่อพูดว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นแบบนี้ พี่ว่าอย่างนี้ประชาชนจะฉลาด ไม่ใช่ว่าประชาชนฟังความข้างเดียวประชาชนก็เชื่อ"
"พี่กลัวอย่างนี้ ตอนนี้เรารณรงค์มากว่าเกย์ยุคใหม่ต้องไม่หลอกผู้หญิงแล้วทิ้งผู้ชาย เกย์ต้องรักเกย์ด้วยกัน ดังนั้นเกย์หมดโอกาสมีลูกเป็นของตัวเองแน่นอนเพราะว่าเราไม่มีมดลูก เราไม่สามารถผลิตลูกได้ แต่เกย์จำนวนหนึ่งอยากมีลูกน่ะ แล้วเขาทำอย่างไร เราก็ต้องไปที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่ว่าจะเป็นบ้านราชวิถี บ้านเพียงพิง บ้านนู้นบ้านนี้ที่ผู้หญิงผู้ชายทิ้งลูก ซึ่งเขาอาจจะไม่พร้อม เราก็สามารถไปอุปถัมภ์ดูแลเลี้ยงลูก"
"แล้วเกิดสังคมเข้าใจและเชื่อตามหนังเรื่องนี้บอกว่ากะเทยเลี้ยงลูกแล้วเป็นกะเทย คิดว่ามันเอ็ฟเฟ็กต์กับพวกเกย์ขนาดไหน วันหลังถ้าเราขอลูกมาเลี้ยงเขาจะปฏิเสธทันทีว่าไม่ให้คุณเลี้ยง เพราะถ้าให้คุณเลี้ยงลูกจะออกมาเป็นตุ๊ด ตุ๊ดไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่สังคมยังไม่ยอมรับ ดังนั้นเราจะไปครีเอทปัญหาทำไมในเมื่อการที่จะสร้างให้เด็กมีอนาคต ให้เด็กมีอนาคตขึ้นมาได้"
"เราจะมาทำให้หนังเรื่องหนึ่งที่สร้างโดยอาจจะไม่มีความตั้งใจก็ได้ที่จะเกิดความเสียหายเนี่ยแต่มันสร้างแล้วน่ะ สร้างความหวาดระแวง หวาดกลัวแล้วเนี่ยเราก็ต้องพยายามสกัดกั้นปัญหาตรงนี้"
เรื่องที่ 2 ที่เหล่าชาวสีม่วงเป็นห่วงจากหนังเรื่องนี้คือ...
"สำคัญมากคือกรณีของผู้ชายที่มีคู่มีแฟนเป็นเกย์มาตลอดแล้วอยู่ดีๆ มาเจออุบัติเหตุความจำเลอะเลือนแล้วมาเจอผู้หญิงคนหนึ่งดูแล น่ารัก นิสัยดีมาก แล้วผู้หญิงคนนี้ก็กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูอารมณ์กันใหม่จนผู้ชายคนนี้กลายมายุ่งกับผู้หญิงเลย มีความรักกันด้วย แล้วในที่สุดความทรงจำเริ่มกลับคืนมาเกิดสับสนว่าตัวเองเป็นอย่างไรกันแน่"
"พี่ต้องบอกเลยว่าตามหลักจิตวิทยาที่พี่ศึกษาเทคนิคการแพทย์มา เรื่องของความทรงจำมีเรื่องอิมพรีซิทเมมโมรีและเอ็กซ์พรีซิทเมมโมรี เอ็กซ์พรีซิทเมมโมรีหมายถึงความทรงจำด้านภายนอกอย่างจำได้ว่าเมื่อวานเราใส่กางเกงสีอะไร ส่วนอิมพรีซิทเมมโมรีคือความทรงจำด้านในเช่น เราว่ายน้ำเป็นมาก่อนแล้วหากเราความจำเสื่อมเราก็ยังจำส่วนนี้ได้อยู่"
"แล้วการมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันมันเป็นอิมพรีซิทเมมโมรีนะ เพราะฉะนั้นคนทำหนังเรื่องนี้เขาไมได้ base on knowledge ไม่ได้เอาความรู้มาสร้าง แต่จับประเด็นที่ตัวเองคิดเองว่าถ้าเกิดเป็นมุมนี้มันน่าสนใจมั้ย มันน่าสนใจแน่นอน แต่มันก่อเกิดความผิดพลาดแน่นอนเพราะตามหลักจิตวิทยาเป็นไปไมได้แน่นอน เพราะเรื่องทางเพศเนี่ยต่อให้คุณความจำเลอะเลือนอย่างไร ต่อให้คุณจะสร้างอารมณ์ใหม่คุณก็ต้องรู้สึกกับผู้ชายเพราะคุณเป็นอย่างนั้น คุณเปลี่ยนอย่างอื่นไม่ได้เลย"
เจ้าตัวลั่นเกรงผู้ปกครองที่มีลูกหลานเป็นชาวเกย์เข้าใจผิดว่าจะรักษาให้เกย์หายขาดได้ด้วยการทำให้ลูกความจำเสื่อม
"ต้องยอมรับว่าในขณะเดียวกันก็มีคนดูแล้วและแม้กระทั่งพี่ดูเองยังบอกว่ามันก็มีสื่อที่ทำให้คนเข้าใจได้ว่าอนันดาคือเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ความทรงจำมันเลอะเลือน มันมาเรียนรู้ใหม่และเกิดความประทับใจกับสิ่งนี้เพราะผู้หญิงดีเหลือเกิน เลยคิดว่าชีวิตตั้งต้นใหม่กันตรงนี้เลย"
"ถ้าคนคิดอย่างนี้ได้ก็เกิดความผิดพลาดทางแนวคิดแล้วต่อไปนี้มันจะเกิดผลอะไรที่พี่เรียกร้อง เกิดผลว่าถ้าเกิดใครมีลูกเป็นเกย์ก็สามารถคิดได้ว่าวันดีคืนดีเราเอาไปให้รถชนมันหรือผลักมันตอนเดินข้ามถนนมั้ย แล้วให้ความจำมันเสื่อมไปเลยนี่แหละ คือทางรักษาโรคเกย์ อันนี้เรากลัวมากเพราะจะมีคนโบราณ ไดโนเสาร์ที่มาคิดว่าเอาเกย์ไปรักษาโดยการเอาไฟช็อตอยู่"
"รวมไปถึงอาจมีผู้หญิงบางกลุ่มคิดว่าจะเปลี่ยนเกย์ได้ แบบอุบัติเหตุยังเปลี่ยนเขาได้แล้วชั้นสวยเซ็กซี่ขนาดนี้เลิศขนาดนี้ ดีกับเขาขนาดนี้ ชั้นเป็นเพชรแท้รักเกย์ขนาดนี้เขาต้องเปลี่ยนเพื่อชั้นได้ พี่เป็นห่วงผู้หญิง เป็นห่วงผู้ชาย เป็นห่วงทุกคนเลยตอนนี้ เป็นห่วงสังคมไทยมากเพราะไม่ได้ใช้ knowledge baseมาเป็นตัวนำร่อง จึงนำมาซึ่งของขลังมากมายในปัจจุบัน เพราะคนเราไม่ยึดองค์ความรู้ที่พิสูจน์ทราบแล้ว"
เมื่อถามต่อว่ากลุ่มเกย์อยากให้ผู้กำกับ "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์" แก้ไขตรงไหน ได้คำตอบว่า...
"เราคงไม่ล่วงละเมิดสิทธิคุณพงษ์พัฒน์หรอกเพราะว่าเข้าใจว่าคุณพงษ์พัฒน์ตั้งใจทำหนังและเป็นศิลปินที่นทีชื่นชอบ ดูหนังทีไรแล้วบอกว่าคุณพงษ์พัฒน์เล่นหนังเก่งมาก แล้วกำกับเราก็ยิ่งชื่นชอบไง แล้วบังเอิญเรื่องนี้มาเกี่ยวพันเรื่องเกย์ซึ่งนทีเป็นเกย์ และคุณนทีบังเอิญมีหัวโขนเป็นผอ.กลุ่มเกย์การเมืองไทยและเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสิทธิและสังคม"
"เพราะฉะนั้นนทีเลยคิดว่าอยากจะส่งสาส์นไปถึงคุณอ๊อฟ เพราะเราไม่มีเบอร์คุณอ๊อฟเพราะเราไม่รู้จะคุยกับเขาอย่างไร ส่งไปว่าให้ข้อมูลแบบนี้และให้สื่อมวลชนนำเสนอว่าคุณนทีก็ว่าหนังเรื่องนี้ดีที่ทำเงินและดีใจที่หนังเรื่องนี้เป็นตัวแม่แบบให้เรามีโอกาสได้ให้การศึกษาคน"
"ในยุคสมานฉันท์ก็อยากให้คุณพงษ์พัฒน์ไม่โกรธ อยากให้เห็นว่ายิ่งเราออกมาพูดยิ่งทำให้หนังคุณพงษ์พัฒน์ขายดีไปใหญ่ เกย์จะไปดูกันเยอะมากเลยภายหลังจากที่เราพูดแบบนี้ ถ้าสื่อเอาลงด้วยนะ แล้วก็อยากให้ทำความเข้าใจว่าความจริงเป็นแบบนี้โดยให้คุณพงษ์พัฒน์หรือให้คนเขียนบทไปสืบค้นข้อมูลได้เลย"
ยอมรับ "Me Myself" ดีกว่าหนังเกย์อีก 2 เรื่องที่ผ่านมา
"หากให้มองมุมบันเทิงตัดเรื่องจริงที่พี่ว่าตรงนี้ไป "Me Myself" เป็นหนังที่ดีมาก ความซาบซึ้งน่ะได้ โปรดักชั่นดีถ้าเทียบกับหนัง 2 เรื่องที่ผ่านมาห่วยเห่ยมาก ไม่อยากพูดถึงชื่อด้วยซ้ำ เรา 3 องค์กรยังบอกว่าจะไม่พูดถึงเรื่องต่อมหอย และก็เรื่องโกยห่านั่นเราจะไม่พูดเลย ไม่น่าพูด เพราะว่ามันจะทำให้เกิดการโปรโมตหนังเขา"
"สิ่งที่เราจะพูดสุดท้ายนี้ก็คือเราอยากเรียกร้องกบว.และผู้ที่เป็นหน่วยเฝ้าระแวดระวังทางวัฒนธรรมออกมาช่วยกันทำงานให้เต็มที่หน่อยเกี่ยวกับหนังเกย์และเรื่องวัฒนธรรมชาวเกย์ไม่เคยแสดงอะไรที่เป็นลักษณะของมีสิ่งซึ่งที่จะทำให้เป็นที่พึ่งที่พิงน่ะของชาวเกย์น่ะปล่อยออกมาได้อย่างไรไอ้หนังบ้า"
"หนังขอให้รักจงเจริญในแบบสมบูรณ์แบบไม่ให้มีข้อกังขาก็คือพี่อยากให้คงความเป็นผู้ชายอันนั้นไว้น่ะมันถึงจะซึ้ง ตอนการเลี้ยงดูเนี่ยมันต้องใส่ดีเทลเข้าไปว่ามันมีการพยายามผลักฝืนและโดยธรรมชาติของพระเอกไม่ได้เป็น อย่าให้ไปสมยอมว่าตัวเองเป็น ถ้าตอนแรกๆ ตัวเองดีไซน์ตัวเองออกมาว่าไม่เป็นและไม่เคยยุ่งกับใครแม้เขาอยู่ในพี่ป้าน้าอาอะไรก็แล้วแต่"
"ให้เห็นว่าธรรมชาติของคนน่ะต่อให้คุณจะดันเขาอย่างไรก็ตามแต่เขาไม่มีทางจะเป็น มันทำได้นี่ว่าเหมือนเกือบไปๆๆ ลังเลๆๆ ว่าไม่ใช่ๆๆ แล้วให้เขาความจำเสื่อมไปอย่างนั้นจะโอเคเพอร์เฟ็ค อาจจะมีสักครั้งหนึ่งที่อนันดาจะต้องไปพบจิตแพทย์ คุยนิดๆ หน่อยๆ เป็น knowledge base ถ้าทำแบบนี้นะจะเป็นหนังที่ดีพี่ต้องเอาดอกไม้ไปให้แน่ๆ"
"ถามว่าพี่คิดจะพล็อตทำหนังเองมั้ยน่ะเหรอ...พี่ก็รอให้คนมาจ้างเนี่ย มาเชิญพี่ไปทำหนังอันนี้พี่พร้อมเลย พี่ไปทำหนังเกย์ได้เลิศมาก..."
"Me my self : ขอให้รักจงเจริญ" นำแสดงโดยพระเอกขายดี "อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม" และนางเอกหน้าใหม่ "อุ้ม ฉายนันท์ มโนมัยสันติภาพ" เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ "อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง" ให้กับค่ายโมโน ฟิล์ม ซึ่งค่อนข้างจะได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างจะดีอยู่ในขณะนี้
หนังพูดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุกระทั่งมีอาการของความทรงจำเสื่อม และในขณะที่ชีวิตไร้อดีต ณ. ปัจจุบันของเขากำลังมีความรักในตัวหญิงสาวคนหนึ่ง ความทรงที่ทำให้เขารับรู้ว่าแต่เดิมนั้นตัวเองมีพฤติกรรมทางเพศที่มิใช่ชายแท้ก็เริ่มกลับคืนมา และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งที่จะเดินต่อไปในอนาคต