xs
xsm
sm
md
lg

จัดเรตหนังส่อวุ่น อาจผสมระบบเซ็นเซอร์ไปด้วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"เจ้ย" เปิดใจรู้สึกช็อกการทำงานกองเซ็นเซอร์ไทย ส่วนระบบการ "จัดเรต" มีสิทธิ์ได้ใช้แต่ส่อแวววุ่นเพราะยำระบบเซ็นเซอร์ลงไปผสม ด้าน "ปรัชญา" ย้ำจุดยืน ทำไมคนไม่กี่คนจะต้องมาจำกัดสิทธิและคิดแทนคนส่วนใหญ่ ขณะที่ "ป๊อด โมเดิร์นด็อก" เห็นด้วยกับแนวทางจัดเรตฯ

น่าสนใจทีเดียวว่าจะลงเอยอย่างไร? สำหรับการออกมาเคลื่อนไหวของคนในวงการหนังที่ต้องการให้มีการระบุว่าภาพยนตร์นั้นมีสถานะที่เหมือนกับสื่อมวลชนแขนงอื่นๆ อาทิ หนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังมีการร่างกันอยู่นี้

ขณะที่ "เจ้ย อภิชาติพงษ์" ผู้กำกับชื่อดังได้เผยถึงความรู้สึกต่อกรณีของหนังเรื่อง "แสงศตวรรษ" ของตนเองที่กำลังมีปัญหากับคณะกรรมการกองเซ็นเซอร์อยู่เพราะนอกจากทางกองเซ็นเซอร์จะขอให้มีการหั่น 4 ฉากของหนังออกจนเจ้าตัวตัดสินใจที่จะไม่ฉายหนังเรื่องนี้ในประเทศไทยแล้ว อีกฝ่ายยังได้ยึดฟิล์มภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไว้โดยยกเอากฏหมาย มาตรา 7 ของพรบ.ภาพยนตร์ ปี 2473 ขึ้นมากล่าวอ้างกระทั่งนำมาซึ่งกระแสเรียกร้องให้มีการใช้ระบบการจัดเรตแทนการเซ็นเซอร์ว่า...

"คุณจะให้ขึ้นว่าหนังเรื่องนี้ไม่เหมาะกับการเอาเป็นตัวอย่างไว้ตลอดทั้งเรื่องก็ได้ หรือจะมีวิธีการอย่างไรก็ได้ แบบว่าเรื่องนี้อายุต่ำกว่า 30 ห้ามดูก็ได้ แต่ขออย่าตัดอย่างเดียว และไอ้การตัดของกองเซ็นเซอร์ก็จะเป็นแบบที่หมุนแล้วใช้กรรไกร ตัดถ้าใครได้เป็นคนทำหนังและเห็นการทำงานของการตัดแบบนี้มันก็ทำให้หัวใจเราตกไปอยู่ที่พื้นได้เหมือนกัน มันเหมือนนั่งดูคนมาทำร้ายกับสิ่งที่เรารัก"

"หากว่าคุณไม่ชอบหนังผมคุณก็ไม่ต้องดูสิ ถ้าแบบนี้คุณเอาอะไรไปตัดสินให้คนดูหนังว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี แสดงว่าคุณจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนดูหนัง คุณดูถูกคนดูหนังหรือเปล่า ผมผิดหวังกับการทำงานในเรื่องของระบบเซ็นเซอร์ในบ้านเรามาก วันนี้ท่านเอาพรบ.ภาพยนตร์ 2473 สมัยตั้งแต่ปกครองแบบราชาธิปไตยมาอ้าง แต่ตอนนี้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตยและเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นปี 2550 น่าประหลาดใจ การกำจัดเสรีภาพของภาพยนตร์ในประเทศไทย สามารถยืนยงต่อเนื่องยาวนานสืบมาจนปัจจุบัน"

ส่วนทางด้าน "ชลิดา เอื้อบำรุงจิต" จากมูลนิธิหนังไทยที่ได้เข้าร่วมรับฟังการสัมนาของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับพรบ.ภาพยนตร์ที่ใช้กันอยู่ว่า มีแนวโน้มที่บ้านเราอาจจะมีการหันมาใช้ระบบการจัดเรตหนังที่จะเข้าฉายตามโรงภายนตร์ แต่ที่เลวร้ายก็คือเงื่อนไขที่ว่า ระบบนี้อาจจะต้องใช้ควบคู่ไปกับการเซ็นเซอร์ที่จะยังคงมีการสั่งแบนหรือสั่งตัดหนังได้เหมือนเดิม

"ประมาณว่ามีการจัดเรตแต่ยังสามารถตัดได้อยู่ ยังมีการแบนได้อีก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันน่ากลัวยิ่งกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทางผู้ใหญ่หรือกระทรวงท่านมีทัศนะคติต่อภาพยนตร์อย่างไรหรือท่านมองภาพยนตร์ว่าเป็นอะไรกันแน่ เลยรู้สึกว่าถาพยนตร์เหมือน ของเสียหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ต้องหวาดระแวง ต่อระบบ"

"เราคิดว่าความเห็นที่แตกต่างมันมีอยู่แล้วในสังคม อย่างหนังบางเรื่องหากคุณตัดแล้วคนที่ไม่เห็นด้วยก็ยังคงมีอยู่ หรือผ่านการ
พิจารณาแล้วการไม่เห็นด้วยของคนที่ไม่ชอบก็สามารถแสดงออกได้ตามสิทธิเสรีภาพของประชาธิปไตย เราไม่ได้คิดว่าจะต้องทำตามอย่างอเมริกาไปซะทั้งหมดแต่ว่าเรากำลังคุยถึงความรู้สึกความเป็นจริงในบ้านเราว่าทำไมหนังเรื่องหนึ่งทำออกมาแล้วใช้เพียงแค่ระบบหนึ่งเป็นการตัดสินของคนที่ดูหนังทั้งประเทศว่าไม่ผ่าน ทุกคนทั้งหมดก็ไม่มีสิทธิได้ดู เหมือนเป็นการคิดแทนและจำกัดเสรีภาพของความคิดและวิจารณญาณของประชาชน ทำไมไม่มีการจัดเรตแทนเพื่อให้คนได้เลือกตามความคิดของตนเองและใช้วิจารณญาณได้เต็มที่"

ด้าน "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" ได้ยืนยันถึงจุดยืนของคนทำหนังเสริมไปว่า พวกตนไม่อยากที่จะให้คนไม่กี่คนมาตัดสินว่าหนังเรื่องไหนแบบไหนคนไทยสำควรที่จะได้ดูหรือไม่ได้ดูโดยที่คนเหล่านี้มิได้มองถึงเจตนาทั้งหมดที่อยู่ในหนังแต่อย่างใด..."เราเสนอในเรื่องของการจัดเรตติ้งขึ้นมาเพื่อให้หนังบางประเภทหรือให้โอกาสหนังทุกๆ เรื่องได้ฉาย การจัดเรตติ้งคือคุณฉายได้ แต่ได้แบบนี้นะ อยู่ในหมวดนี้นะ หนังจะไม่มีการถูกตัด สับ หั่น แต่ถ้าไม่มีระบบเรตติ้งมีแค่ฉายกับไม่ได้ฉายซึ่งถ้าใครยอมก็โอเค แต่บางครั้งคนทำหนังทำออกมาด้วยความรัก ลงทุนทั้งเวลาและเงิน ความพยายาม"

"ในระยะการถ่ายทำมันมีการผ่านอุปสรรคต่างๆ นานานับประการกว่าจะเป็นหนังเรื่องหนึ่งไม่ใช่ถ่ายกันวันสองวันเสร็จ แล้วต้องมาให้คนแค่ไม่กี่คนมาตัดสินโดยไม่ได้ดูเจตนาของหนังความหมายของหนัง เหมือนเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนดูหนัง เหมือนคุณดูถูกคนดูหนังว่าวันนี้คนไทยทั้งประเทศไม่มีวิจารณญาณพอที่จะตัดสินใจเลือกชมเลือกดูเองได้"

"บางทีผมไม่เข้าใจ ถ้าคุณไม่ชอบหนังเรื่องนี้คุณก็ไม่ต้องดู หากการจัดเรตเข้ามาจะช่วยได้มาก มีการแบ่งโซนชัดเจน คือเราไม่โทษที่คนนะครับเราโทษที่ระบบ..."

ฟากของ "ป๊อด โมเดิร์นด็อก" (ธนะชัย อุชชิน) นักร้องดังซึ่งมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง "แสงศตวรรษ" ไปแล้วแสดงความคิดเห็นว่า โดยส่วนตัวแล้วตนเห็นด้วยกับการใช้ระบบการจัดเรตหนังพร้อมแนะผู้ใหญ่ให้เปิดใจกว้างยอมรับในศิลปะแขนงนี้..."ผมอยากให้คนดูได้คิดเอาเองครับว่าคิดยังไงกับมัน คนดูหนัง100 คนบางทีมุมมองมันไม่เหมือนกันไปซะทุกคน แต่ไม่อยากให้ต้องมาปิดกั้นหรือมาตัดโอกาสไม่ให้ใครได้ลองสัมผัสมันดูเลย"

"จากเท่าที่ทราบตอนแรกหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ฉายทุกโรงภาพยนตร์ด้วย คือดูมันเข้าขั้นอุกอาจและสมควรพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว งานศิลปะมันน่าจะมีที่ทางของมันได้แสดงออก มันน่าจะมีที่ของมันอย่างหอศิลป์หรืออะไรก็ได้ที่ให้มันได้ไปอยู่ คนกลุ่มหนึ่งหรือคนที่ชื่นชอบเฉพาะกลุ่มเข้าก็มีโอกาสได้สัมผัสมัน ถ้าแบบนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดโอกาสของคนทั้งหมดเพราะว่าคุณไปคิดแทนเขา"

สำหรับแนวทางในอนาคตนั้น ในส่วนของคนในวงการภาพยนตร์ อาทิ มูลนิธิหนังไทย สมาคมผู้กำกับ ไทยอินดี้ และ ไทยช็อตฟิล์ม จะร่วมกันรณรงค์เรียกร้องเพื่อชี้ให้เห็นว่าพรบ.2473 นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญและการให้เสรีภาพกับคนดูโดยไม่มีการเลือกปฎิบัติ ภายใต้ชื่อ "เครือข่ายรณรงค์เพื่อเสรีภาพของภาพยนตร์" (FREE THAI CINEMA MOVEMENT) ซึ่งภายหลังจากการเปิดเว็บไซต์ http://www.petitiononline.com/nocut/petition.html ขึ้นมา ปรากฏว่าภายในอาทิตย์เดียวได้มีผู้ไปลงชื่อเห็นด้วยและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนกว่า 4,000 คนเลยทีเดียว
..........
หมายเหตุ : มาตรา 7* จากพรบ.ภาพยนตร์ปี 2473 ระบุไว้ว่า...
เมื่อนายตรวจเห็นว่าภาพยนตร์ใดมีลักษณะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 4 ** ให้มีอำนาจ
(1) ห้ามมิให้ทำภาพยนตร์นั้นต่อไป
(2) ยึดภาพยนตร์ที่ทำเสร็จแล้วหรือที่ยังไม่เสร็จ และส่งภาพยนตร์นั้น ๆ แก่เจ้าพนักงานผู้พิจารณาขอให้พิจารณา

มาตรา 4 ** ห้ามมิให้ทำหรือฉายหรือแสดง ณ สถานที่มหรสพ ซึ่งภาพยนตร์หรือประกาศประกอบด้วยลักษณะฝ่าฝืนหรืออาจฝ่าฝืนต่อความสงบ เรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ถึงแม้เพียงว่าการทำ การฉาย หรือการแสดง ภาพยนตร์ หรือประกาศนั้นๆ น่าจะมีผลเช่นว่านั้น ท่านก็ห้ามดุจกัน ภาพยนตร์หรือประกาศที่ทำในพระราชอาณาจักร ถ้ามีลักษณะหรืออาจ มีผลเช่นที่ว่านี้ไซร้ ท่านห้ามมิให้นำหรือส่งออกนอกพระราชอาณาจักร
เจ้ย อภิชาตพงษ์
ป๊อด
กำลังโหลดความคิดเห็น