เรียนกันตั้งแต่ตอนนี้เลยนะครับว่า วันนี้เอาเรื่องส่วนตัวมาเขียนล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของทีวีหรือวงการบันเทิงเลย
เกรินแต่เนิ่นๆ ก็มิใช่อะไรหรอกครับ เกรงว่าบางคนจะเสียอารมณ์ อ่านไปแล้วรู้สึกว่า...เรื่องของมรึง จะมาบอกตรูทำไมฟะ!!...ไม่เห็นจะเกี่ยวกับชื่อคอลัมน์นี้ตรงไหนเลย
...
ศุกร์ที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเข้าร่วมแข่งขัน "เดิน - วิ่ง รู้รักสามัคคี สามัคคีประเทศไทย สะพานพระรามเก้า - วงแหวนอุตสาหกรรม" (บริเวณสวนวงแหวนสุขสวัสดิ์ โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม) มาครับ ประเภทที่เลือกก็คือ Super Mini Marathon ระยะทาง 12.5 กม. (แต่ระยะทางที่วิ่งจริงๆ คือ 15.5 กม.) มาครับ
ท่ามกลางความรู้สึกภูมิใจที่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้ ทว่าผมเองก็รู้สึกผิดต่อ "ร่างกาย" ของตนเองอยู่เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าก่อนที่จะไปวิ่งแข่งครั้งนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 1 เดือน ผมไม่เคยสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายเลยแม้แต่สักหยดเดียว
ที่สำคัญ นอกจากจะไม่มีการเสริมสร้างร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงแข่งครั้งนี้แล้ว ยังมีกิจกรรมที่ทำลายทำร้ายร่างกาย อาทิ การนอนดึก และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(เบียร์)เข้ามาให้ประกอบอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งคืนก่อนแข่งที่ทำให้มีเวลานอนประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ชนิดไปถึงสนามแข่งมีพี่คนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมเอาจริงเอาจังกับการแข่งขันครั้งนี้มากๆ กระทั่งมีการยืดเส้นยืดสาย มีการอบอุ่นร่างกายจน...ตาแดง!
แต่จะว่าไม่มีการเตรียมการเอาซะเลยก็คงไม่เสียทีเดียว เพราะคืนก่อนแข่งที่ว่านอกจากจะใช้เวลาไปกับการดื่ม(ตามปกติ)แล้ว ผมกับเพื่อนยังใช้ช่วงเวลาดังกล่าวนั่งวางแผน (โม้) ถึงการวิ่งในตอนเช้ามืดด้วยว่าสมควรจะให้มันเป็นไปในรูปแบบใด?
แผนหนึ่งคือเร่งสปีดตั้งแต่ต้นแซงขึ้นไปเป็นที่หนึ่ง หรืออย่างน้อยๆ ก็คือให้เป็นกลุ่มที่นำก่อน แล้วค่อยรักษาระยะที่ว่านี้ไปเรื่อยๆ
แผนสองคือวิ่งเกาะกลุ่มแล้วค่อยไปเร่งสปีดเอาตอนท้าย
ยกแก้วไปด้วยนั่งพิจารณาแผนไปด้วยได้ผลสรุปออกมาว่า แผนสองนั้นคงทำได้ยาก เพราะถึงคิดว่าแรงน่าจะหมดไม่มีเหลือเอาไว้ให้ไปเร่งตอนท้ายๆ แน่นอน ผมเลยตกลงใจเลือกเอาแผนที่หนึ่งแทน เพราะเชื่อมั่นในการเป็นนักวิ่งระยะสั้นตอนอยู่ชั้นประถมของตนเอง บวกกับความที่รู้สึก(ไปเอง)ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะเป็นคนที่มีความอดทนค่อนข้างในระดับสูง(หากไม่มีเรื่องของแสงแดด ฝุ่น และความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง)
แต่ทั้งหมดมันก็เป็นได้แค่แผนที่ถูกวางไว้ครับ...
หลังสัญญาณแตรปล่อยตัวผ่านไประยะทาง 200 เมตรแรก แม้จะไม่แซงขึ้นหน้าเป็นที่หนึ่งได้ แต่การติดอยู่ในกลุ่มผู้นำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สีหน้าของผมยังยิ้มกริ่ม
ผ่านไป 2 กิโลเมตรแรก อันดับเริ่มหล่นลงมาเรื่อยๆ ช่วงบนคือระบบการหายใจเริ่มมีปัญหาทว่าช่วงล่างๆ กำลังขายังดีอยู่มากๆ มีความรู้สึกเบาหวิวโดยไม่ต้องสวมรองเท้าแพงๆ สามารถสปีดเร็วเวลาต้องการแซงคนอื่นๆ ได้แบบสบายๆ ความคิดที่ว่าอยากจะเข้าเส้นชัยเป็นกลุ่มแรกๆ ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
5 กิโลเมตรผ่านไปหลังได้รับน้ำครั้งที่ 2 แม้จะถูกผู้เข้าแข่งขนคนอื่นแซงในปริมาณที่เยอะกว่าคนที่ถูกผมแซงทว่าก็ยังหวังว่าจะมีแรงเหลือไปสปีดในช่วงท้ายๆ แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าทำไมจุดรับน้ำช่วงต่อไปมันถึงไกลเสียเหลือเกิน
จุดรับน้ำที่ 7.5 กิโลเมตร ในขณะที่คนอื่นรับน้ำ ดื่มแล้วก็โยนแก้วทิ้ง แต่ผมเอาติดมือวิ่งไปด้วย 2 แก้ว (ดื่มไปแล้ว 1 แก้ว) ช่วงล่างเริ่มมีปัญหาเพราะขาเริ่มล้าขณะที่ช่วงบนเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่วิ่งพยายามนับจังหวะการก้าวเท้าของตัวเองให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอที่สุด ถึงตอนนี้ไอ้ที่คิดว่าจะติดอันดับต้นๆ กับเขาไม่มีเหลือแล้ว ในหัวคิดแค่ขอให้เข้าเส้นชัยด้วยสองเท้าของตนเอง ไม่ต้องอาศัย 4 ล้อของรถพยาบาลก็พอ
เข้าสู่จุดกิโลเมตรที่ 10 ขาเริ่มล้าหนักขึ้นๆ ปริมาณคนที่ถูกแซงแทบจะไม่มี แต่ปริมาณคนที่แซงมีอย่างล้นหลามและมีทุกเพศ ทุกวัย ทั้งรุ่นเดียวกัน ทั้งอายุที่ต้องเรียกว่าป้า เรียกว่าลุง แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือเด็กตัวเล็กๆ วัย 12 - 13 ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ผมอุตส่าห์ใช้แผนชั่วด้วยการพยายามแกล้งให้เสียสมาธิด้วยการพูดแซวแล้ว ทว่ากลับไม่เป็นผล
มองผู้คนบนรถเมล์ บนรถเก๋ง บนรถแท็กซี่ มองผู้คนนั่งอยู่ในร้านค้าทานข้าว-ทานน้ำกันอยู่ แล้วหันมามองกระจกเงาที่เห็นภาพสะท้อนความทุเรศของตัวเองซึ่งโทรมไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ากระเซิง สีหน้าเหยเกเพื่อความเมื่อยเหนื่อยล้า ตอนนี้ในหัวคิดอยู่อย่างเดียวเลยว่า..ตรูมาวิ่งทำไมวะเนี่ย!!
ครั้นพอผ่านจุดรับน้ำสุดท้าย ที่ระยะทาง 12.5 กม. ถึงตอนนี้ไปแล้วครับทั้งข้างล่างข้างบน ขาเริ่มเป็นตะคริวระบบการหายใจเริ่มติดขัด จากที่วิ่งมาโดยตลอดก็เป็นลดลงเป็นการเหยาะ จากการเหยาะก็ใช้การเดินสลับ
ตะคริวกินก็เดิน ตะคริวกินอิ่มก็เหยาะ
มาฮึดอีกทีก็ช่วงระยะ 100 เมตรก่อนจะถึงเส้นชัย
สรุปผมใช้ระยะเวลาในการวิ่ง + เหยาะ + เดิน ซูเปอร์มินิมาราธอนครั้งแรกในชีวิตไปทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 40 นาที อันดับที่เข้าน่าจะราวๆ อันดับที่ 200 กว่าๆ จากคนที่วิ่งแข่งร่วม 300 กว่าคน(ตัวเลขจากการคาดการณ์)ซึ่งอาจจะเลวร้ายกว่านั้น
ตอนแข่งว่าทรมานแล้ว หลังแข่งยิ่งทรมานกว่าเพราะไอ้เจ้าตะคริวมันจ้องคอยจะรับประทานขาทั้งสองข้างอยู่ตลอดเวลา
ถามว่าได้อะไรจากการทำกิจกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นการทรมานตัวเองในครั้งนี้ ต้องบอกว่ามากมายเลยครับ ทั้งเรื่องของความสะใจที่เห็นเหงื่อออกมาอย่างกับน้ำ ได้รับรู้ขีดความสามารถและสภาพร่างกายตนเอง ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ(อยากจะลองวิ่งแข่งระยะทางไกลๆ ดูสักครั้งในชีวิต) ได้เห็นภาพของคนที่ชื่นชอบในการออกกำลังกายมารวมกัน ได้เห็นความแข็งแรงของร่างกายของคนแก่คราวลุง ป้า กับเด็กคราวลูก-หลาน ได้เห็นความสมานฉันท์ของคนในครอบครัวที่จูงมือกันวิ่งระหว่างพ่อแม่ลูก
นอกจากนี้ยังเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับในสิ่งที่ใครหลายๆ คนบอกกันว่าการวิ่งแข่งในลักษณะนี้เป็นการต่อสู้กับตัวเองมากกว่าจะต้อสู้กับผู้เข้าแข่งขัน เพราะฉะนั้นแม้จะรู้ตัวดีว่าตนเองจะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่สุดท้ายแต่หลายคนก็ไม่เคยรู้สึกอายและล้มเลิกกลางคัน หากแต่ยังคงก้มหน้าก้มตาวิ่งเพื่อไปให้ถึงจุดที่ว่า
ขณะที่ที่กองเชียร์เองก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องสมน้ำหน้าหรือผิดหวังแต่อย่างใด
ที่สำคัญการวิ่งครั้งนี้ยังทำให้รู้ว่า แม้ใจเราพร้อมและต้องการจะสู้ขนาดไหน แต่ถ้าร่างกายไม่มีความพร้อมมันก็เป็นเรื่องยากมากๆ ครับที่เราจะทำงานนั้นๆ ให้สำเร็จ
ประเด็นนี้ผมว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเราที่มีหน้าที่รับผิดชอบกับการบริหารบ้านเมืองหลายคนเป็นอยู่ โดยแสดงผ่านออกมาให้เห็นในหลายๆ โครงการ ในหลายๆ มติครม.
ที่น่ากลัวก็คือบางคนอาจจะไม่รู้ตัวและหวังดีจริงๆ แต่บางคนนั้นก็รู้ทั้งรู้แก่ใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม ยังไม่มีภูมิปัญญา ยังไม่มีภูมิต้านทานเพียงพอ หรือให้ไปแล้วก็มีโทษมากกว่าดี แต่ก็ยังดึงดันที่จะผลักดันไอ้โครงการต่างๆ นานา บ้าๆ บอๆ ออกมาเพราะเห็นว่าไอ้ที่เป็นประโยชน์นั้น ตน ครอบครัว เพื่อนพ้อง และคนรวยๆ เพียงไม่กี่กลุ่มรับมา ส่วนไอ้ที่เป็นโทษนั้นประเทศชาติก็รับไปสิ
ประเทศชาติที่มีองค์ประกอบของคนส่วนใหญ่ที่ผมหมายถึงประชาชนผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ผู้ใช้แรงงานที่หาเช้ากินค่ำ คนตามชนบทนะครับ ไม่ใช่บรรดาเศรษฐีเพียงไม่กี่กลุ่มที่ควบคุมตัวเลขจีดีพี, ตัวเลขส่งออก หรือพวกที่หากินกับตัวเลขบนกระดานหุ้นอยู่
มีคนบอกว่าบ้านเราเมืองเราอะไรก็พร้อมครับ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ที่มีอยู่ ที่ตั้ง ภูมิประเทศ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ
ไอ้ที่ไม่พร้อมก็คือคนไทยนี่แหละ
เกรินแต่เนิ่นๆ ก็มิใช่อะไรหรอกครับ เกรงว่าบางคนจะเสียอารมณ์ อ่านไปแล้วรู้สึกว่า...เรื่องของมรึง จะมาบอกตรูทำไมฟะ!!...ไม่เห็นจะเกี่ยวกับชื่อคอลัมน์นี้ตรงไหนเลย
...
ศุกร์ที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเข้าร่วมแข่งขัน "เดิน - วิ่ง รู้รักสามัคคี สามัคคีประเทศไทย สะพานพระรามเก้า - วงแหวนอุตสาหกรรม" (บริเวณสวนวงแหวนสุขสวัสดิ์ โครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม) มาครับ ประเภทที่เลือกก็คือ Super Mini Marathon ระยะทาง 12.5 กม. (แต่ระยะทางที่วิ่งจริงๆ คือ 15.5 กม.) มาครับ
ท่ามกลางความรู้สึกภูมิใจที่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้ ทว่าผมเองก็รู้สึกผิดต่อ "ร่างกาย" ของตนเองอยู่เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าก่อนที่จะไปวิ่งแข่งครั้งนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 1 เดือน ผมไม่เคยสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายเลยแม้แต่สักหยดเดียว
ที่สำคัญ นอกจากจะไม่มีการเสริมสร้างร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมในการลงแข่งครั้งนี้แล้ว ยังมีกิจกรรมที่ทำลายทำร้ายร่างกาย อาทิ การนอนดึก และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(เบียร์)เข้ามาให้ประกอบอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งคืนก่อนแข่งที่ทำให้มีเวลานอนประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ชนิดไปถึงสนามแข่งมีพี่คนหนึ่งเข้าใจผิดคิดว่าผมเอาจริงเอาจังกับการแข่งขันครั้งนี้มากๆ กระทั่งมีการยืดเส้นยืดสาย มีการอบอุ่นร่างกายจน...ตาแดง!
แต่จะว่าไม่มีการเตรียมการเอาซะเลยก็คงไม่เสียทีเดียว เพราะคืนก่อนแข่งที่ว่านอกจากจะใช้เวลาไปกับการดื่ม(ตามปกติ)แล้ว ผมกับเพื่อนยังใช้ช่วงเวลาดังกล่าวนั่งวางแผน (โม้) ถึงการวิ่งในตอนเช้ามืดด้วยว่าสมควรจะให้มันเป็นไปในรูปแบบใด?
แผนหนึ่งคือเร่งสปีดตั้งแต่ต้นแซงขึ้นไปเป็นที่หนึ่ง หรืออย่างน้อยๆ ก็คือให้เป็นกลุ่มที่นำก่อน แล้วค่อยรักษาระยะที่ว่านี้ไปเรื่อยๆ
แผนสองคือวิ่งเกาะกลุ่มแล้วค่อยไปเร่งสปีดเอาตอนท้าย
ยกแก้วไปด้วยนั่งพิจารณาแผนไปด้วยได้ผลสรุปออกมาว่า แผนสองนั้นคงทำได้ยาก เพราะถึงคิดว่าแรงน่าจะหมดไม่มีเหลือเอาไว้ให้ไปเร่งตอนท้ายๆ แน่นอน ผมเลยตกลงใจเลือกเอาแผนที่หนึ่งแทน เพราะเชื่อมั่นในการเป็นนักวิ่งระยะสั้นตอนอยู่ชั้นประถมของตนเอง บวกกับความที่รู้สึก(ไปเอง)ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะเป็นคนที่มีความอดทนค่อนข้างในระดับสูง(หากไม่มีเรื่องของแสงแดด ฝุ่น และความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง)
แต่ทั้งหมดมันก็เป็นได้แค่แผนที่ถูกวางไว้ครับ...
หลังสัญญาณแตรปล่อยตัวผ่านไประยะทาง 200 เมตรแรก แม้จะไม่แซงขึ้นหน้าเป็นที่หนึ่งได้ แต่การติดอยู่ในกลุ่มผู้นำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สีหน้าของผมยังยิ้มกริ่ม
ผ่านไป 2 กิโลเมตรแรก อันดับเริ่มหล่นลงมาเรื่อยๆ ช่วงบนคือระบบการหายใจเริ่มมีปัญหาทว่าช่วงล่างๆ กำลังขายังดีอยู่มากๆ มีความรู้สึกเบาหวิวโดยไม่ต้องสวมรองเท้าแพงๆ สามารถสปีดเร็วเวลาต้องการแซงคนอื่นๆ ได้แบบสบายๆ ความคิดที่ว่าอยากจะเข้าเส้นชัยเป็นกลุ่มแรกๆ ยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
5 กิโลเมตรผ่านไปหลังได้รับน้ำครั้งที่ 2 แม้จะถูกผู้เข้าแข่งขนคนอื่นแซงในปริมาณที่เยอะกว่าคนที่ถูกผมแซงทว่าก็ยังหวังว่าจะมีแรงเหลือไปสปีดในช่วงท้ายๆ แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าทำไมจุดรับน้ำช่วงต่อไปมันถึงไกลเสียเหลือเกิน
จุดรับน้ำที่ 7.5 กิโลเมตร ในขณะที่คนอื่นรับน้ำ ดื่มแล้วก็โยนแก้วทิ้ง แต่ผมเอาติดมือวิ่งไปด้วย 2 แก้ว (ดื่มไปแล้ว 1 แก้ว) ช่วงล่างเริ่มมีปัญหาเพราะขาเริ่มล้าขณะที่ช่วงบนเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่วิ่งพยายามนับจังหวะการก้าวเท้าของตัวเองให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอที่สุด ถึงตอนนี้ไอ้ที่คิดว่าจะติดอันดับต้นๆ กับเขาไม่มีเหลือแล้ว ในหัวคิดแค่ขอให้เข้าเส้นชัยด้วยสองเท้าของตนเอง ไม่ต้องอาศัย 4 ล้อของรถพยาบาลก็พอ
เข้าสู่จุดกิโลเมตรที่ 10 ขาเริ่มล้าหนักขึ้นๆ ปริมาณคนที่ถูกแซงแทบจะไม่มี แต่ปริมาณคนที่แซงมีอย่างล้นหลามและมีทุกเพศ ทุกวัย ทั้งรุ่นเดียวกัน ทั้งอายุที่ต้องเรียกว่าป้า เรียกว่าลุง แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือเด็กตัวเล็กๆ วัย 12 - 13 ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ที่ผมอุตส่าห์ใช้แผนชั่วด้วยการพยายามแกล้งให้เสียสมาธิด้วยการพูดแซวแล้ว ทว่ากลับไม่เป็นผล
มองผู้คนบนรถเมล์ บนรถเก๋ง บนรถแท็กซี่ มองผู้คนนั่งอยู่ในร้านค้าทานข้าว-ทานน้ำกันอยู่ แล้วหันมามองกระจกเงาที่เห็นภาพสะท้อนความทุเรศของตัวเองซึ่งโทรมไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ากระเซิง สีหน้าเหยเกเพื่อความเมื่อยเหนื่อยล้า ตอนนี้ในหัวคิดอยู่อย่างเดียวเลยว่า..ตรูมาวิ่งทำไมวะเนี่ย!!
ครั้นพอผ่านจุดรับน้ำสุดท้าย ที่ระยะทาง 12.5 กม. ถึงตอนนี้ไปแล้วครับทั้งข้างล่างข้างบน ขาเริ่มเป็นตะคริวระบบการหายใจเริ่มติดขัด จากที่วิ่งมาโดยตลอดก็เป็นลดลงเป็นการเหยาะ จากการเหยาะก็ใช้การเดินสลับ
ตะคริวกินก็เดิน ตะคริวกินอิ่มก็เหยาะ
มาฮึดอีกทีก็ช่วงระยะ 100 เมตรก่อนจะถึงเส้นชัย
สรุปผมใช้ระยะเวลาในการวิ่ง + เหยาะ + เดิน ซูเปอร์มินิมาราธอนครั้งแรกในชีวิตไปทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 40 นาที อันดับที่เข้าน่าจะราวๆ อันดับที่ 200 กว่าๆ จากคนที่วิ่งแข่งร่วม 300 กว่าคน(ตัวเลขจากการคาดการณ์)ซึ่งอาจจะเลวร้ายกว่านั้น
ตอนแข่งว่าทรมานแล้ว หลังแข่งยิ่งทรมานกว่าเพราะไอ้เจ้าตะคริวมันจ้องคอยจะรับประทานขาทั้งสองข้างอยู่ตลอดเวลา
ถามว่าได้อะไรจากการทำกิจกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นการทรมานตัวเองในครั้งนี้ ต้องบอกว่ามากมายเลยครับ ทั้งเรื่องของความสะใจที่เห็นเหงื่อออกมาอย่างกับน้ำ ได้รับรู้ขีดความสามารถและสภาพร่างกายตนเอง ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ(อยากจะลองวิ่งแข่งระยะทางไกลๆ ดูสักครั้งในชีวิต) ได้เห็นภาพของคนที่ชื่นชอบในการออกกำลังกายมารวมกัน ได้เห็นความแข็งแรงของร่างกายของคนแก่คราวลุง ป้า กับเด็กคราวลูก-หลาน ได้เห็นความสมานฉันท์ของคนในครอบครัวที่จูงมือกันวิ่งระหว่างพ่อแม่ลูก
นอกจากนี้ยังเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับในสิ่งที่ใครหลายๆ คนบอกกันว่าการวิ่งแข่งในลักษณะนี้เป็นการต่อสู้กับตัวเองมากกว่าจะต้อสู้กับผู้เข้าแข่งขัน เพราะฉะนั้นแม้จะรู้ตัวดีว่าตนเองจะเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่สุดท้ายแต่หลายคนก็ไม่เคยรู้สึกอายและล้มเลิกกลางคัน หากแต่ยังคงก้มหน้าก้มตาวิ่งเพื่อไปให้ถึงจุดที่ว่า
ขณะที่ที่กองเชียร์เองก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องสมน้ำหน้าหรือผิดหวังแต่อย่างใด
ที่สำคัญการวิ่งครั้งนี้ยังทำให้รู้ว่า แม้ใจเราพร้อมและต้องการจะสู้ขนาดไหน แต่ถ้าร่างกายไม่มีความพร้อมมันก็เป็นเรื่องยากมากๆ ครับที่เราจะทำงานนั้นๆ ให้สำเร็จ
ประเด็นนี้ผมว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเราที่มีหน้าที่รับผิดชอบกับการบริหารบ้านเมืองหลายคนเป็นอยู่ โดยแสดงผ่านออกมาให้เห็นในหลายๆ โครงการ ในหลายๆ มติครม.
ที่น่ากลัวก็คือบางคนอาจจะไม่รู้ตัวและหวังดีจริงๆ แต่บางคนนั้นก็รู้ทั้งรู้แก่ใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม ยังไม่มีภูมิปัญญา ยังไม่มีภูมิต้านทานเพียงพอ หรือให้ไปแล้วก็มีโทษมากกว่าดี แต่ก็ยังดึงดันที่จะผลักดันไอ้โครงการต่างๆ นานา บ้าๆ บอๆ ออกมาเพราะเห็นว่าไอ้ที่เป็นประโยชน์นั้น ตน ครอบครัว เพื่อนพ้อง และคนรวยๆ เพียงไม่กี่กลุ่มรับมา ส่วนไอ้ที่เป็นโทษนั้นประเทศชาติก็รับไปสิ
ประเทศชาติที่มีองค์ประกอบของคนส่วนใหญ่ที่ผมหมายถึงประชาชนผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ผู้ใช้แรงงานที่หาเช้ากินค่ำ คนตามชนบทนะครับ ไม่ใช่บรรดาเศรษฐีเพียงไม่กี่กลุ่มที่ควบคุมตัวเลขจีดีพี, ตัวเลขส่งออก หรือพวกที่หากินกับตัวเลขบนกระดานหุ้นอยู่
มีคนบอกว่าบ้านเราเมืองเราอะไรก็พร้อมครับ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ที่มีอยู่ ที่ตั้ง ภูมิประเทศ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ
ไอ้ที่ไม่พร้อมก็คือคนไทยนี่แหละ