xs
xsm
sm
md
lg

"ต้าร์" ย้อนอดีต 10 ปีพาราด็อกซ์กับจุดยืนคำว่าอินดี้!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ. อยุธยา หรือ ต้าร์ พาราด๊อกซ์
ต้องถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับการที่วงดนตรีวัยรุ่นวงหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแบบ "เล่นๆ" ในยุคอินดี้เฟื่องฟูจะสามารถเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้กินระยะเวลายาวนานถึง 10 ปีเข้าไปแล้ว

ที่สำคัญ การก้าวเดินที่ว่านี้ มันมิใช่เป็นเป็นการก้าวเดินที่กระท่อนกระแท่นหรือเฉไถลออกนอกเส้นทางแต่อย่างใด หากแต่เป็นการเดินที่เต็มไปด้วยความมั่นคง เป็นการก้าวที่นับวันจะให้ระยะที่ยาวมากขึ้นทว่าก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่เป็นเฉพาะตัวของตนเองด้วยเนื้อหาของเพลงที่ประหลาดล้ำและจำต้องตีความ เมโลดี้แปลกใหม่ที่พลิกแพลงตลอดเวลา และการแสดงสดบนเวทีคอนเสิร์ตที่เพี้ยนพร่าบ้าบอ

วงดนตรีที่ว่านี้มีชื่อว่า "พาราด็อกซ์"

น่าสนใจทีเดียวว่าอะไรที่ทำให้พวกเขายังยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางการล้มหายตายจากของวงดนตรีที่เกิดขึ้นมาในยุครอยต่อเดียวกัน? อะไรที่ทำให้พาราด็อกซ์ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น "อินดี้" อยู่ ทั้งที่พวกเขามียี่ห้อแกรมมี่ฯ แปะหรา? และพวกเขาจะเดินต่อไปอย่างไรในอนาคตข้างหน้า? ลองมาฟังความคิดเห็นจากหนึ่งในแกนนำสำคัญผู้ขับเคลื่อนให้พาราด็อกซ์เดินหน้าบนเส้นทางถนนเพลงอิสระได้อย่างผงาดง้ำ อย่าง "อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ. อยุธยา" หรือที่เรียกกันอย่างติดปากว่า "ต้าร์ พาราด็อกซ์"นั่นเอง

ต้าร์บอกว่าเมื่อมองย้อนกลับไปแล้วเขายอมรับว่าทุกสิ่งในวันนี้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของพวกเขามาก..."เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายครับ จากที่เราฟอร์มวงเพื่อเล่นดนตรีกันในงานเฟรชชี่ มันก้าวขึ้นมา ตอนหลังนี่กลายเป็นว่ามันเกินมาจากเป้าหมายในตอนนั้นมาไกลมาก กลายเป็นวงที่มีคนรู้จักทั้งประเทศอย่างนี้ครับ"

"จากที่ตอนแรกมีสามคน มีผม คุณสองแล้วก็พี่โน๊ต ตั้งวงขึ้นมาในชื่อวง หอยจ๊อ ทีแรกกะทำ อย่างมากก็คือทำขายเพื่อนๆ ครับ ทำเป็นซีดี เพราะตอนที่เรียนมันมีวิชาหนึ่งที่ต้องเรียนทำปกซีดี เราก็เลยคิดว่าอย่างมากก็แค่อัดมา แล้วก็อาจจะแจกบ้าง ขายบ้าง เล่นๆ สนุกๆ ตอนนั้นอินดี้กำลังเฟื่องฟูครับ สามารถฝากขายร้านต่างๆ ได้ ก็กะว่าทำแค่นั้น ตอนหลังมีรุ่นพี่แนะนำให้ไปส่งเดโม ก็เลยไปลองส่งดู ปรากฏว่าเขาสนใจ ก็เลยได้ทำมาจนถึงบัดนี้"

สำหรับจุดเริ่มต้นของหัวหอกพาราด็อกซ์ ต้าร์เผยว่าเกิดจากการสั่งสมของพ่อในวัยเยาว์ ซึ่งครูคนแรกของต้าร์ก็คือคุณพ่อที่เป็นนักดนตรีนั่นเอง
"จุดเริ่มต้นของผมคงมาจากคุณพ่อครับ พ่อเขาเล่นดนตรี เล่นกีตาร์ แล้วเขาจะชอบเล่าประสบการณ์เรื่องดนตรีให้ฟัง ว่ามันสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะซึมซับไป แล้วพ่อเขาก็จะฟังเพลงฝรั่ง เราก็จะฟังเพลงฝรั่งตามเขาไป อย่างเช่น เดอะ บิทเทิล โรลลิ่งสโตน อย่างนี้ครับ แล้วเราก็เกิดไอเดียว่า เออ เราน่าจะเล่นกีตาร์ เพราะว่าพ่อเหมือนพยายามปลูกฝังให้แตะกีตาร์ ให้เล่นให้ได้ พอเล่นกีตาร์ก็เกิดไอเดียอื่นๆ ต่อไป เช่น ฟอร์มวง ทำอย่างนู้น อย่างนี้ต่อไป"

"คุณพ่อเขาก็มีวง เมื่อก่อนก็เล่นของทหารอเมริกัน เป็นแคมป์ทหารหน่ะครับ สมัยก่อนที่บ้านผมอยู่สัตหีบ แล้วสัตหีบนี่เป็นฐานทัพของทหารอเมริกันที่มารบที่เวียดนามครับ แล้วเขาจะมีวงดนตรีไปเล่นที่ในผับของอเมริกัน เขาก็จะไปเล่นกัน แล้วกลับมาเล่าประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นนักดนตรีมันสนุกดีครับ"

"ช่วงนั้นผมอยู่ประมาณป. 6 ครับ ตอนนั้นคืออ่านหนังสือสอบอยู่ จริงๆ พ่อผมนี่พยายามคะยั้นคะยอให้มาเรียนกีตาร์ตั้งแต่เด็ก เรียนกับเขาเอง แต่เราก็ไม่ชอบ เพราะรู้สึกเจ็บนิ้ว ตอนหลังก็ด้วยความว่าง แล้วไปเจอเพื่อนที่เขาเล่นเป็น ก็รู้สึกตกใจว่า โห เพื่อนเราไปเรียนพิเศษเพื่อเล่นกีตาร์เลย ในขนาดที่เราพ่อรอจะสอนอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกผิด ตั้งแต่นั้นมาก็เลยลองเอากีตาร์มาเล่น ก็เลยเริ่มศึกษา ร่ำเรียนกับคุณพ่อครับ"

จุดเด่นหนึ่งของพาราด็อกซ์คือเพลงที่แต่งเอง ซึ่งเนื้อหาและภาษาเพลงของพาราด็อกซ์ เกิดจากฝีมือของสมาชิกในวง โดยมีแกนหลักก็คือตัวต้าร์เอง
"การแต่งเพลงนี่เกิดมาจากตอนที่ฟอร์มวงกับคุณสอง(มือเบส)ครับ ก็เกิดความรู้สึกว่า อยากที่จะลองแต่งเพลงขึ้นมาเองบ้าง เพราะว่าเดิมทีเดียวนี่ ให้คุณสองเขาแต่ง แล้วแต่งไปแต่งมา คุณสองบอกว่า ลองแต่งเพลงตัวเองบ้าง ก็เลยลองมานั่งแต่งดู ตั้งแต่นั้นมาก็เลยเริ่มทำเพลงตัวเองเรื่อยมา"

"ส่วนใหญ่ตอนนั้นจะแต่งเอามันส์ครับ อย่างที่คุณสองแต่ง ของคุณสองเขาแต่งเพลง อย่างเพลงเสือใบอะไรไป แบบบ้าๆ ของผมก็จะแต่งเป็นพวกเพลงต่างๆ คือตอนนั้นเราอยากจะทำอะไรที่มันแหวกแนว อย่างเช่น มีเพลง นักมายากล ที่เริ่มแต่ง ส่วนใหญ่จะมาจากเรื่องที่เห็นทั่วๆไปครับ มีแกนไอเดียแปลกๆ ซึ่งเกิดมาจากความอยากคิดแหวกแนว เช่น อยากจะพูดเรื่องนี้ที่มันแปลก ที่คนเขาอาจจะคิดตื่นตาตื่นใจ เราก็จะเอามาทำเป็นเพลง"

เนื้อหาของเพลงพูดถึงความรัก?
"ใช่ครับ ส่วนใหญ่พูดถึงความรัก แต่ว่าอาจจะเป็นมุมแปลกๆ ซึ่งส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาเรื่องตัวเองมาเขียนเท่าไหร่ มันไม่น่าสนใจ ชอบเอาเรื่องที่จินตนาการออกมา เป็นมุมมองที่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นบทกวี ล่องลอยไป"

ใครหลายคนเชื่อว่า ชื่อเสียง เงินทอง หรือความสำเร็จต่างๆ ย่อมต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างเสมอ ต้าร์ ยอมรับว่าชีวิตส่วนตัวเปลี่ยนไป เพราะไม่สามารถยึดอาชีพครูได้เหมือนเช่นวันวานอีกแล้ว
"ชีวิตเปลี่ยนไปครับ เพราะธรรมดาผมจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือ สอนมา 7 ปีแล้วครับ ที่สาธิตจุฬา แล้วตอนหลังเนี่ย พอมีงานคอนเสิร์ตเข้ามาเยอะๆ เราก็เกรงใจโรงเรียนที่จะต้องมานั่งลาบ่อยๆ เมื่อก่อนนี้เราทำคู่กันไปได้ เพราะว่ายังมีกระแสปกติ มันไม่ได้ถึงขนาดโด่งดังเหมือนทุกวันนี้ครับ พอทุกวันนี้มีงานเข้ามาเยอะๆ เลยต้องลาออกจากครู เพื่อมาเล่นคอนเสิร์ตอย่างเดียว ชีวิตก็เลยเปลี่ยน ตอนนี้ก็เลยต้องยึดอาชีพเป็นนักดนตรีอย่างเดียวเป็นหลักแล้วครับ"

การเปลี่ยนแปลงของตัวบุคคลส่งผลสะท้อนอะไรบางอย่างมาถึงภาพรวมของวง รวมทั้งภาพของพาราด็อกซ์ในอดีตที่เป็นวงอิสระ กับการมีคอกค่ายที่ใหญ่โตอย่างจีนี่ เรคคอร์ด ในเครือแกรมมี่ เป็นผู้ดูแลนั้น ผิดแผกหรือแตกต่างกันเช่นไร เรื่องนี้ต้าร์เผยว่า พาราด็อกซ์ปัจจุบันเสมือนย้อนกลับไปสู่สามัญอีกครั้ง เนื่องด้วยพิษทางเทคโนโลยี Mp3 ที่เกิดขึ้น
"จริงๆ แล้ว หลังจากโดนกระแส mp 3 ในประเทศไทยเยอะ วงพาราด็อกซ์ก็เลยกลับไปสู่ระบบอินดี้เหมือนเดิม คือตอนนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า วงพาราด็อกซ์เป็นวงตลาด ในการโปรโมท เป็นตลาดของแกรมมี่อย่างนี้ครับ แต่ตอนนี้ขอบอกว่า กลับไปเป็นระบบอินดี้เหมือนเดิมแล้ว เพราะว่าแกรมมี่ก็ต้องเซฟต้นทุนหลายๆ อย่าง วงก็จะมีหลายๆ แบบ ซึ่งวงพาราด็อกซ์ก็จะถูกจัดไปอยู่ในระบบอินดี้ คือโปรโมทไม่เยอะมาก"

"แฟนเพลงอาจจะบ่นว่า ทำไมถึงไม่ค่อยเห็นเวลาเราออกอัลบั้ม ไม่ค่อยเห็นมิวสิควิดีโออะไรอย่างนี้ ก็ต้องชี้แจงว่ามันจะมีระบบที่ต่างไปจากเมื่อก่อนแล้ว คือไม่สามารถอัดโปรโมทได้ทุกวง โดยพาะของวงพาราด็อกซ์เองก็กลับไปอยู่ในอีกระบบหนึ่ง ซึ่งจะใช้งบโปรโมทจำกัดกว่า แล้วเน้นกลุ่มแฟนเพลงที่เหนียวแน่นเป็นหลัก ถ้าตอนนี้ใครถามก็จะบอกว่าจะใช้ระบบอินดี้ บางทีก็โปรโมทกันเอง หรือว่าทำกันเอง ครับ"

"พาราด็อกซ์น่าจะเป็นมีความอินดี้ในด้านของการทำงานครับ ส่วนด้านโปรโมท ถ้าอยู่ค่ายใหญ่ๆ ก็มีแรงโปรโมทมากกว่าค่ายเล็กนี่ ระบบมันก็ไม่ใช่อินดี้แล้ว เพียงแต่ว่าในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องของตัวเพลง มันยังมีความเป็นอินดี้ คือเราทำกันเองหมดเลย ชุดล่าสุดนี่ทำกันเองหมด จนถึงปกอัลบั้ม การแต่งกาย ในอนาคตเราก็คาดหวังว่าจะมิวสิควิดีโอเอง ก็คิดว่าระบบพวกนี้อยากจะให้เป็นตัวอย่างกับวงต่างๆ ว่า ถ้าเราทำอะไรได้นี่ ทำไปเลยครับ เพราะมันเป็นงานของเราเอง แต่ว่าสว่นของระบบว่าจะเป็นอินดี้แค่ไหนนี่ เราไม่ค่อยสันทัดในเรื่องคำ แต่เท่าที่นึกดูก็น่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน"

ต้าร์ยืนยันว่าการก้าวเข้ามาพำนักในจีนี่ ไม่ได้ทำให้พื้นฐานความอิสระของพาราด็อกซ์เปลี่ยนแปรไป เนื่องจากทางค่ายรับพวกเขาเข้ามาเพราะความเป็นตัวตนของพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว
"อิสระครับ เราโชคดีตรงที่ว่าเราเข้ามาในตอนแรกด้วยผลงานที่เราทำกันเองเลย คือหนึ่งเพลงครับ ช่วงนั้นมีโครงการออกวง 10 วง วงละหนึ่งเพลง บางวงเขาก็มีคนทำให้ แต่ของเราเข้าไปนี่ เป็นเพลงสำเร็จรูป คือเราทำมาเองแล้ว ปรากฏว่าพอเขาทำโพลมา ฟีตแบคดีมาก (เพลง ท่ามกลาง) ด้วยฟีตแบคที่ดีมาก ค่ายก็เลยมีความรู้สึกว่าเราน่าจะทำเองดีที่สุด เพราะว่าแฟนเพลงชอบในการทำงานเองของวง ตั้งแต่นั้นมาก็เลยได้สิทธิพิเศษเต็มที่เลย ทำกันเอง เป็นวงที่แปลกประหลาดในแกรมมี่เหมือนกัน เพราะสามารถทำได้เองทุกอย่าง ล่าสุดนี่ก็คิดว่าน่าจะมากที่สุดในศิลปินทั้งหลายนะครับ ถ้าเป็นระบบอินดี้ในค่ายใหญ่นี่ คือเราทำกันถึงรายละเอียดเล็กๆ เลย ซึ่งก็ต้องขอบคุณทางค่าย ginie ด้วยที่เมตตามาก"

ปัจจุบันนี้ยังยืนยันไหมว่า พาราด็อกซ์ยังเป็นวงอินดี้?
"ชุดล่าสุดนี่จะยิ่งดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ ครับ คอนเซปเราคือ เราพยายามที่จะบอกว่าเสมอๆ ว่า เราพยายามที่จะใช้คอนเซปการทำงานเหมือนกับการป้อนยาขมให้เด็กกินครับ คือเพลงเปรียบเหมือนยาขม ให้เขากินแล้วรู้สึกว่าหวาน แต่ไม่ใช่มาป้อนขนมหวานให้เขากิน พอเราทำอะไรขมๆ ให้เขาไป เขาอาจจะไม่กินแล้ว เหมือนวงปัจจุบันนี้บางวงจะทำเพลงง่ายๆ มาก่อน เพลงที่ขายแล้วโด่งดังนี่ พอถึงจุดหนึ่งมาทำเพลงอย่างที่ตัวเองต้องการนี่ทำไม่ได้แล้ว คนไม่ตอบสนอง ก็จะมองว่าไปเล่นของยาก แต่นี่เราทำของยากให้มันฟังง่าย ให้คนรู้สึกว่าชินหู"

"โชคดีว่าเราเริ่มยากแล้วคนตอบรับดี ทุกวันนี้ก็เลยมีของขมๆ ให้เขาฟังเรื่อยๆ จุดอ่อนคือเราจะไม่ได้กลุ่มกว้างมาก แต่จุดแข็งคือ เพลงมันจะไม่หมดอายุ มันจะฟังไปได้เรื่อยๆ แล้วในอนาคตเราวางแผนเกี่ยวกับระบบอินดี้ว่า เราจะไม่ตามใจคนฟัง เราจะทำตามใจตัวเองแต่ผลงานให้มันดี เผื่อให้คนฟังหันกลับมาสนใจเราเองดีกว่า ที่จะมานั่ง โห ช่วงนี้ K-Pop ดัง ก็ไปทำมัน เราไม่อยากทำแบบนั้น"



หากให้ลองนึกย้อนนำความสำเร็จของพาราด็อกซ์มาเทียบเคียงกับนักดนตรีอิสระที่ถือกำเนิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน ต้าร์มองว่าการจะแจ้งเกิดได้เช่นเดียวกับที่พาราด็อกซ์เป็นนั้นยากยิ่ง ทั้งนี้เกิดจากเรื่องของแฟนเพลงเป็นสำคัญ
"ตอนนี้ผมมีห้องซ้อมของตัวเองอยู่ ก็จะมีโครงการที่ใครเข้ามาซ้อมดนตรีนี่ เขาจะเอาเดโมมาส่ง ผมก็จะเอาไปฝากส่งตามค่ายต่างๆ ทำให้รู้เลยว่า ตอนนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าใจมาก ที่วงต่างๆ ไม่มีที่ให้ออกอัลบั้ม ค่ายต่างๆ ไม่กล้าเสี่ยงเหมือนสมัยอินดี้เฟื่องฟู มันจะต่างกันตรงนี้ครับ ระหว่างสมัยก่อนกับสมัยนี้"

"สมัยนี้วงเก่งๆ เยอะมาก แต่ว่าไม่มีที่ให้ออกเลย ก็เลยทำให้วงต่างๆ ล่มสลายกันไป ออกมาต่อให้ทำเองก็ขายไม่ดีครับ ตัวเองก็เลยมีโครงการทำเล่นๆ ของห้องซ้อม เพื่อที่จะตอบสนองให้กับวงหน้าใหม่ได้มีที่ลง ก็รู้สึกว่าโอกาสยากมากวงปัจจุบันที่จะมาโด่งดังได้ ต่างจากสมัยก่อนมากครับ วงที่จะโด่งดังจริงๆ คือวงที่จะต้องทำงานต่อเนื่อง ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่วงแล้วว่า หน้าใหม่เขาจะต่อได้แค่ไหน ก็น่าเสียดายแทนนะครับ ถ้าสังคมไทยยังเป็นแบบนี้อยู่"

"(มีวงดนตรีเกิดใหม่เยอะ?)เยอะกว่าเมื่อก่อนมากนะครับ แล้วเป็นวงที่มีความน่าสนใจมาก จากตอนที่ผมทำอัลบั้มรวมเพลงของน้องๆ ที่มาซ้อมเนี่ย ทำให้เกิดไอเดียว่าคนไทยเก่งๆ เยอะ แต่ว่าขาดค่ายที่จะมาสนใจ ถ้าค่ายกล้าสนใจงานในช่วงนี้นะครับ เมืองไทยจะมีวงแปลกๆ วงมันส์ๆ อีกเยอะ ให้คนฟังได้มาฟังกัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าระบบ mp3 มันจะล่มสลายไปได้แค่ไหน เพราะว่าค่ายจะได้กล้ามาลงทุนกัน"

ต้าร์ยอมรับว่าการรวมตัว ตั้งวงดนตรีขึ้นมาในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องแฟชั่นและเทคโนโลยีที่เอื้อให้ทำงานง่าย แต่เขายืนยันว่า มันไม่ใช่ส่วนเสียที่จะฉุดรั้งวงการเพลงไทยแต่อย่างใด
"แฟชั่นเป็นเรื่องที่ดีนะครับ ผมหมายถึงว่า จริงๆ ระบบเรื่องของการง่ายในการทำงานนี่ มันเหมือนเป็นตัววัดเลยว่า ในปัจจุบันนี้มันทำออกมาง่าย วงที่จะเกิดได้มันต้องถีบตัวออกมาเด่นกว่าวงที่มีอยู่เป็นร้อยเป็นพันออกมา ผมว่านั่นแหล่ะเป็นข้อดีของผู้ฟัง คือวงที่ดังอยู่นี่ เป็นวงที่คัดมาแล้วจากร้อยวง จากเมื่อก่อนที่วงหนึ่งที่ดัง อาจจะมาจากสิบวงที่ถีบตัวออกมาจนเด่น"

"แต่ว่าปัจจุบันวงที่จะถีบตัวออกมาได้ ต้องฝ่าฟันมาเยอะมาก งานต้องเด่นจริงๆ คนที่จะได้กำไรคือคนฟังครับ ในขณะที่เป็นเรื่องที่ดีที่ว่าคนทำทำกันง่าย ผมมองไม่เห็นข้อเสียนะครับ เพียงแต่ว่าวงไหนดีเราก็อุดหนุน ผมเชื่อว่าในร้อยวงที่ทำมา มันไม่ดีทั้งร้อยวง แต่เชื่อว่ามันต้องมีวงดีๆ บ้าง ซึ่งไม่น่าหนักใจเลย สำหรับเรื่องระบบการทำงาน แต่หนักใจตรงเรื่องของคนช่วยกันสนับสนุนมากกว่า"

หากให้มองย้อนกลับไป ต้าร์เชื่อว่าความสำเร็จของพาราด็อกซ์ทุกวันนี้เกิดจากการทำงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วคืน
"น่าจะเกิดจากการทำงานต่อเนื่องครับ แล้วก็ตัวเพลง แล้วก็สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแฟนเพลงครับ เราโชคดีที่เรามีเวปไซต์เป็นวงแรกๆ หน่อย ทำให้เรามีฐานแฟนเพลงที่เข้ามาในเวปไซต์ของเรา เวลาสื่อสารอะไรกันก็ทำได้มาก ด้วยความที่เป็นกันเองของวง แฟนเพลงก็เลยเหนียวแน่น พอแฟนเพลงเหนียวแน่นมันก็มีฐานนิยม ออกอัลบั้มมาก็มีคนซื้อแน่นอนครับ"

"และที่สำคัญก็คือค่าย ginie record ก็ช่วยผลักดันเราตลอดมา ผมเชื่อว่าการทำงานในระยะยาว สำหรับวงดนตรีใดๆ ขอให้ทำงานต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้วสักวันหนึ่งคนก็จะมาเห็นงาน พอเห็นงานปุ๊บก็จะย้อนกลับไปฟังงานเก่าๆ ทำให้มีแฟนเพลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมมองว่าดนตรีไทยนะครับ ไม่ค่อยมีแฟนเพลงที่จะหายไป ส่วนใหญ่จะมีแต่เพิ่มขึ้น ถ้าเขาติดใจเพลงแล้ว"

ถ้าพาราด็อกซ์เพิ่งมาทำอัลบั้มในยุคนี้ คิดว่าจะประสบความสำเร็จได้เท่านี้ไหม?
"จากการทำให้วงรุ่นน้องนะครับ พยายามผลักดันให้เนี่ย ทำให้รู้เลยว่า ยากครับ ค่อนข้างยากเหมือนกัน อย่างที่บอก เหมือนการเอ็นทรานซ์เลย สี่พันวง เอาหนึ่งวงอย่างนี้ ซึ่งมันแย่ตรงที่ว่าวงสมัยก่อนมันมีแรงโปรโมท วงสมัยนี้ไม่มีแรงโปรโมท เพราะฉะนั้นจึงเสียเปรียบมาก มันจึงต้องเป็นวงที่เยี่ยมจริงๆ ที่คนจะบอกกันต่อๆ ไป แต่ว่าถ้าเป็นพาราด็อกซ์ก็ไม่แน่ครับ เพราะเราอาจจะมีงานที่แตกต่างออกมาให้คนได้เห็นมันก็อาจจะเกิดได้ แต่ว่าค่อนข้างที่จะยากมากกว่าเมื่อก่อนมาก วงที่เกิดในปัจจุบันนี้ ต้องเป็นวงที่เก่งมากๆ ครับ บอกได้เลย"

ถึงแม้ว่าพาราด็อกซ์จะสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับของแฟนเพลงเท่าไร แต่อีกด้านมุมหนึ่ง ผลงานที่พวกเขาภูมิใจกลับไม่เป็นที่พอใจของเหล่าบรรดานักวิจารณ์สักเท่าไร บางเสียงกล่าวว่าพวกเขาไร้สาระ บ้างว่าพวกเขาคือเด็กเมื่อวานซืนที่ริทำเพลงกันอย่างส่งเดช
"จริงๆ ก็มีมาตลอดตั้งแต่เริ่มเลย คือว่า คนจะมองว่าวงพาราด็อกซ์นี่ไร้สาระครับ ซึ่งผมบอกตรงๆ ว่ารับไม่ได้ เพราะว่าเรามีความรู้สึกว่าเราสื่อสารในแบบสร้างสรรค์ มันมีมุมที่เรารู้สึกว่า โห นี่มันเท่ห์ แต่ว่านักวิจารณ์อะไรนี่เขาจะมองว่าวงนี้เป็นวงทีเล่นทีจริง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดูไม่มืออาชีพ ดูเหมือนพวกเด็กเมื่อวานซืน อะไรอย่างนี้ครับ นี่คือมองภาพภายนอกแวบหนึ่ง เขาอาจจะไม่ได้ฟังเพลงในอัลบั้ม หรือแฟนเพลงบางทีเขาก็อาจจะฟังเพลงแล้วไม่ค่อยเข้าใจอะไรบางอย่าง นั่นคือที่มาของหนังสือเล่มนี้ด้วย ก็คือทำมาเพื่อให้ขยายให้ชัดเจน เหมือนการสื่อสารเพื่อให้คนฟังได้เข้าใจ และได้อรรถรสในการฟังเพลงมากขึ้นครับ"

"เคยมีนักวิจารณ์ เขาลงคอลัมน์วิจารณ์แล้วเขาก็เขียนเป็นเพลงๆ เลย แล้วก็ตีความ เรามีความรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจงานเราเลย โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ใหญ่ นักวิจารณ์ดังๆ บางทีก็เขียนตีความกันไป คนละเรื่องเลย แล้วสรุปฟันธงว่าผลงานเราไม่ดี เราก็รู้สึกน้อยใจว่า ทำไมถึงได้ตีความกันแบบนั้น"

" แล้วเรื่องที่ร้ายที่สุดก็คือ มันเป็นเรื่องอย่างนี้บ่อยๆ แม้แต่การประกาศผลรางวัลอะไรอย่างนี้ วงเราก็มักจะได้เสนอชื่อไป แล้วก็มักจะตกรอบไป ซึ่งเราก็รู้สึกอีกมุมหนึ่งว่า มันมีความน่าสนใจอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่า เขาไม่เห็น หรืออาจจะเป็นข้อด้อยในการทำงานของเราก็ได้ อันนี้ผมมองหลายๆ มุมนะครับ ซึ่งก็เหมือนเป็นปัญหาที่คาราคาซังกันมานาน แต่ตอนหลังนี่เราก็ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะเรามีกลุ่มแฟนเพลงที่เชื่อมั่นในเพลงของเราตลอด แสดงว่าอย่างน้อยเราก็สื่อสารให้คนกลุ่มหนึ่งเข้าใจได้"

จากปัญหาในรื่องการสื่อสารดังกล่าว ทำให้ต้าร์ตัดสินใจเขียนหนังสือบรรยายขั้นตอนการทำงาน และกรอบวิธีคิดในแต่ละเพลงขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม ในชื่อ "บันทึกลึกลับ Paradox X"โดยต้าร์เขียนทุกตัวอักษรเองกับมือ..."เป็นเรื่องที่ประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มทำเพลงเป็นต้นมา แล้วเราก็เลยใช้ปัญหานี้ลองทำเป็นหนังสือเล่มหนึ่งดูครับ"

"จุดประสงค์ก็คือการสื่อสารกับคนฟัง มีความรู้สึกว่าอยากจะให้คนฟัง ฟังเพลงของเราด้วยความดื่มด่ำมากขึ้นกว่าเดิม ให้มันมีมิติลึกเข้าไปอีก อยากจะให้คนฟัง ฟังเพลงแล้วรู้สึกว่าเพลงมันมีคุณค่า ให้เข้าใจตรงกันในจุดหนึ่ง คอนเซปของมันก็คือการขยายปกอัลบั้ม เวลาเราซื้อซีดีมาแผ่นหนึ่ง เราก็ต้องเปิดปกมาก่อนใช่ไหมครับ แล้วเราก็จะอยากรู้ว่า พี่คนนู้นเป็นอย่างไร พี่คนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร คนอัดมันอัดกันอย่างไร หนังสือเล่มนี้จะขยายจากปกมาให้เห็นเลยว่า พี่คนนี้หน้าตาเป็นอย่างนี้ ช่วงเวลาในการอัดเป็นอย่างนี้ ปัญหาต่างๆ จุดน่าสนใจในแต่ละเพลง ฟังเพลงอย่างไรให้มันเพราะ คนฟังก็จะไม่ได้ฟังแบบผ่านๆ คนฟังจะได้รู้มุมมองต่างๆ ที่บางทีตัวเขาเองก็นึกไม่ถึง แล้วคิดว่าน่าจะฟังเพลงได้ไพเราะขึ้นนะครับ"

"มันจะมีประโยชน์ได้สองอย่าง คือ หนึ่งเพิ่มอรรถรสในการทำเพลง ได้เข้าใจในเนื้อเพลงมากขึ้น อันที่สองสำหรับคนที่สนใจในเรื่องการทำอัลบั้ม ลองหามาอ่านได้ แล้วจะได้รู้ว่าเบื้องหลังในการทำอัลบั้มนี่ มันอาจจะมีมากกว่าที่คุณคิด อาจจะมีรายละเอียด แล้วหนังสือเล่มนี้มันจะสอนไปในตัวด้วย ว่าวิธีการทำเพลงแบบนี้เป็นอย่างไร"

ต้าร์อธิบาว่าการเขียนหนังสือต่างไปจากการเขียนเพลง ตรงที่การเขียนเพลงนั้น จำต้องมีเมโลดี้สูงต่ำเป็นตัวบีบบังคับทิศทางไม่ให้หลุดกรอบ ฉะนั้นส่วนตัวเขาคิดว่าการเขียนหนังสืออิสระมากกว่าการแต่งเพลง
"การเขียนหนังสือนี่ เราจะพูดไปได้เรื่อยๆ แต่ว่าการเขียนเพลงนี่มันจะมีข้อจำกัดในการสื่อสาร การเขียนเพลงจะเครียดกว่า เพราะว่ามันจะต้องมีกฎกติกาอะไรบางอย่างที่มันต้องฟิกซ์กับเมโลดี้เพลง ทำนองเพลงอะไรอย่างนี้ แต่การเขียนหนังสือนี่เราเขียนไปตามใจเลย เขียนเพลงน่าจะยากกว่าครับ"

"ในนี้จะเป็นเหมือนกับบทความมากกว่า บทความเชิงให้ความรู้ คือเราจะพูดในเรื่องของวิธีการ พุดถึงระบบในการทำงาน แล้วก็แฝงไว้ว่ามันมีปัญหา มันมีความน่าสนใจอย่างไร คือคนอ่านจะได้รู้เป็นเรื่องราว แต่ผมจะไม่ค่อยเขียนเป็นไดอารี่ เพราะมันเหมือนกับว่ามีน้ำเยอะไปหน่อยครับ"

เป็นหนังสือที่อยากให้ใครได้อ่าน?
"จริงๆ แล้ว เล่มนี้เป็นเหมือนของขวัญให้กับแฟนเพลงครับ แฟนเพลงที่เป็นแฟนพันธ์แท้ แต่ว่าสิ่งที่อยากจะได้มากกว่านี้ก็คือ อยากให้คนที่ไม่รู้จักวงเรา หรือว่ามองวงเราผ่านไป อาจจะตัดสินใจลองฟังอะไรอย่างนี้ ก็ลองซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านก่อนก็ได้ แล้วอาจจะได้รับมุมมองอะไรแปลกๆ แล้วทำให้เกิดความรู้สึกชอบดนตรีขึ้นมา"

"จุดประสงค์อีกประการของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ถ้าเมื่อไรที่คนฟัง ฟังแล้ว อ่านแล้ว มีความรู้สึกว่าอยากกลับไปฟัง อยากกลับไปหาผลงานเก่าๆ ของพวกเราครับ คิดว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ"

ลีลาบนเวทีของพาราด๊อกซ์

กำลังโหลดความคิดเห็น