xs
xsm
sm
md
lg

Hana : แด่เธอ...ผู้เป็นดังดอกไม้

เผยแพร่:   โดย: โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล


เรื่องโดย โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล

เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘ซามูไร’ เป็นชนชั้นที่ได้การยกย่องเคารพจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างสูงมาโดยตลอด แม้ในปัจจุบันที่ชนชั้นซามูไรถูกลบหายจากสังคมไปแล้ว ทว่าคำว่า ‘ซามูไร’ ก็ยังคงศักดิ์สิทธิ์ และมีความหมายครอบคลุมถึงคุณธรรม ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ ความมุมานะ ความจงรักภักดี อย่างไม่แปรเปลี่ยน

จนถึงวันนี้ ตำนานซามูไรที่โด่งดังที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นตำนาน ’47 โรนิน’ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1701

เรื่องราวของ ’47 โรนิน’ ก็คือ ครั้งหนึ่งมีงานฉลองใหญ่ที่วังโชกุนแห่งเอโดะ บรรดาขุนนางต่างๆ จึงพากันเดินทางไปร่วมงาน และหนึ่งในจำรวนนั้นก็มี ท่านอาซาโน ไดเมียวหนุ่มผู้ยึดมั่นในคุณธรรมเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต รวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม งานฉลองกลับต้องหยุดชะงักลงกลางคัน เมื่อเกิดกรณีพิพาทใหญ่โตระหว่างท่านอาซาโนกับ คิระ ขุนนางใหญ่ขี้ฉ้อซึ่งเป็นคนสนิทของโชกุน เหตุวิวาทครั้งนั้น ว่ากันว่ามีจุดเริ่มต้นจากการที่คิระปฏิบัติต่อท่านอาซาโนอย่างไม่ให้เกียรติ (เพราะไม่พอใจที่อาซาโนไม่ยอมศิโรราบตนเหมือนไดเมียวคนอื่นๆ) ซ้ำร้ายยังพูดจาล่วงเกินไปถึงภรรยาของไดเมียวหนุ่ม ซึ่งทำให้ท่านอาซาโนระงับโทสะไม่อยู่ ชักดาบฟาดลงที่ศีรษะของคิระทันที

การทำร้ายคนสนิทของโชกุนถือว่ามีโทษภัยร้ายแรงก็จริง แต่ที่ร้ายแรงเสียยิ่งกว่า ก็คือการบังอาจชักดาบภายในเขตพระราชวัง และทำลายงานฉลองสังสรรค์ที่ท่านโชกุนหมายมั่นปั้นมือจะจัดอย่างเอิกเกริก ด้วยเหตุนี้ เมื่อท่านโชกุนทราบความ จึงออกคำสั่งประหารท่านอาซาโนโดยไม่เสียเวลาฟังเสียงทัดทานจากขุนนางบางคนที่ยังคงรักความยุติธรรมเลยสักนิด (เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างหนึ่งของโชกุนผู้นี้ซึ่งปรากฏในหนังเรื่อง Hana ด้วยก็คือ ท่านเป็นคนเชื่อถือเรื่องโชคลางอย่างยิ่ง และเนื่องจากว่าตนเกิดปีจอ จึงออกคำสั่งให้ประชาชนทุกคนในยุคนั้นปฏิบัติต่อสุนัขอย่างให้เกียรติสูงสุด ห้ามไม่ให้ผู้ใดฆ่าหรือทำร้ายหมา และหากพบว่ามีหมาตาย ก็ให้จัดพิธีฝังอย่างดีเหมือนที่ทำกับศพของบุคคลชั้นสูง)

ความตายของท่านอาซาโน ส่งผลให้ซามูไรในปกครองของเขาทั้งหมดต้องกลายเป็นซามูไรไร้นาย หรือที่เรียกกันว่า โรนิน ซึ่งถือเป็นความตกต่ำอย่างที่สุดสำหรับชีวิตซามูไร นอกจากนั้นทรัพย์สินทั้งหมดของท่านอาซาโนยังถูกยึด และลูกเมียของท่านก็ต้องแตกสลายแยกย้ายกันไปคนละทางละทิศ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความเจ็บแค้นแก่เหล่าโรนินทั้งหมด ก็หาใช่การสูญเสียความสะดวกสบายในชีวิต ทว่าพวกเขาเจ็บแค้นก็เมื่อรู้ว่าเจ้านายต้องตายเพราะคนชั่วอย่างคิระ ยิ่งเมื่อรู้ว่าฝีดาบของเจ้านายผู้ล่วงลับ แท้จริงแล้วระคายผิวคิระแต่เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็ยิ่งแค้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ โรนินทั้งหมดจึงตัดสินใจที่จะล้างแค้นแทนท่านอาซาโน เพื่อแสดงความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาวางแผนกันอย่างสุขุมรอบคอบ ใช้เวลาสืบหาข่าว หลอกล่อศัตรู และเตรียมความพร้อมเป็นเวลานานถึง 1 ปีเต็ม

เมื่อวันล้างแค้นมาถึง โรนินทั้ง 47 ก็บุกเข้าโรมรันกับฝ่ายคิระซึ่งมีกำลังพลพรั่งพร้อมกว่า อย่างห้าวหาญและไม่หวั่นกลัวต่อความตาย

พวกเขาล้างแค้นแทนนายสำเร็จ ศีรษะของคิระถูกนำไปเซ่นสังเวยดวงวิญญาณท่านอาซาโน หลังจากนั้นเหล่าโรนินทั้งหมดก็ลงมือปลิดชีพตนเองพร้อมกัน และฝากฝังให้ผู้ที่เห็นค่าความจงรักของพวกเขา ฝังร่างของพวกเขาในสุสานแห่งเดียวกันกับที่เจ้านายอันเป็นที่รักถูกฝังไว้

ทุกวันนี้ วัดเซนกาคุจิ เมืองมินาโตกุ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสุสานของท่านอาซาโนและโรนินทั้ง 47 ยังคงมีคนเดินทางไปเยี่ยมเยือนและสักการะดวงวิญญาณของพวกเขาไม่ได้ขาด และวีรกรรมของพวกเขาก็ได้รับการบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่นเรื่อยมาจนปัจจุบัน

ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ภาคภูมิใจในเรื่องราวของโรนินทั้ง 47 เพราะมันสะท้อนถึงคุณธรรมสูงส่งของชีวิต ทั้งความมุ่งมั่น ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ ความยึดมั่นต่อสัจวาจา และการอยู่-การตายอย่างสมเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เมื่อการให้ค่าแก่ตำนาน ’47 โรนิน’ สูงส่งถึงเพียงนี้ อีกทั้งทัศนคติต่อซามูไรก็ยังเป็นไปในลักษณะยกย่องให้เกียรติ จึงถือเป็นความกล้าและบ้าบิ่นอย่างยิ่งที่คนทำหนังสายเลือดญี่ปุ่นแท้ๆ อย่าง ฮิโรคาสุ โครีเอดะ (Nobody Knows) จะนำเรื่องราวของโรนินทั้ง 47 มาใช้ในลักษณะยั่วล้อเพื่อตั้งคำถามว่า การตัดสินใจล้างแค้นของพวกเขาเป็นการกระทำที่สะท้อนให้เห็นแต่เพียงความดีงามแต่เพียงด้านเดียวอย่างที่ยึดถือกันมาตลอด จริงหรือไม่?

ซ้ำร้าย ยังมีคำพูดท้าทายเล็ดรอดผ่านปากคำตัวละครอยู่หลายครั้งในทำนองว่า “คุณค่าของซามูไรนั้นอยู่ที่ไหน?” และ “การเป็นซามูไรนั้นมีดีอะไรแน่?”

หนัง –ซึ่งถ้าอยู่เมืองไทยคงถูกแบนไปแล้ว- ของโครีเอดะเรื่องนี้มีชื่อว่า Hana เค้าโครงเรื่องหลักเล่าเรื่องของ โซสะ ซามูไรหนุ่มฝีมือไม่เอาไหน แต่กลับต้องมาแบกรับภาระล้างแค้นให้แก่พ่อที่ถูกซามูไรผู้หนึ่งฆ่าตาย

เพื่อปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วง โซสะต้องอัปเปหิตนเองจากคฤหาสน์หลังงามมาใช้ชีวิตในชุมชนคนจรจัดแห่งหนึ่งในนครเอโดะ หลังจากสืบทราบว่า ศัตรูของพ่อ –ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นศัตรูของเขา- หนีมาอยู่ที่นั่น

บังเอิญเหลือเกินที่ชุมชนแห่งเดียวกันนั้นก็เป็นที่กบดานของสมาชิกหัวกะทิของกลุ่ม ’47 โรนิน’ โซสะอาจไม่มีโอกาสสนทนาวิสาสะกับพวกเขามากนัก แต่เรื่องราวการมีชีวิตอยู่เพื่อล้างแค้นของพวกเขา (ซึ่งในเรื่อง ใครแค้นใคร ใครอยากฆ่าใคร ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด) ก็ช่างสอดพ้องต้องกันจนโซสะเองรู้สึกสนใจ

ขณะเดียวกัน เรื่องราวอีกส่วนที่ดำเนินควบคู่กันไปก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างโซสะกับแม่ม่ายลูกติดสาวสวยที่ชื่อ โอซาเอะ มันเป็นความสัมพันธ์ประเภทที่แม้ไม่มีฝ่ายใดออกปากบอกรักกันออกมาตรงๆ แต่ทั้งผู้ชมและชาวบ้านในชุมชนแห่งนั้นต่างก็รับรู้โดยทั่วกันว่า ทั้งคู่มีใจให้กันอยู่ไม่น้อย

ในภาพรวม Hana เป็นหนังที่ดูสนุก มีมุขตลกสร้างความเพลิดให้ผู้ชมสอดแทรกอยู่เป็นระยะๆ (เพื่อนดิฉันคนหนึ่งเป็นแฟนเหนียวแน่นของโครีเอดะ เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วเขายังออกปากว่า มันกระฉับกระเฉงและดูสนุก ผิดกับหนังเรื่องอื่นๆ ของผู้กำกับคนนี้ ซึ่งโดยมากมักจะมาทางเรียบและนิ่งเป็นอย่างมาก)

ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ โครีเอดะมีความกล้าหาญอย่างยิ่งในการนำเรื่องราวที่ใครต่อใครเล่าขานอย่างยกย่อง มาปรับใช้เพื่อนำเสนอทัศนะของตน

ในหนัง สมาชิกกลุ่ม ’47 โรนิน’ ไม่เพียงแต่จะถูกลบภาพวีรบุรุษผู้กล้าอย่างที่ใครต่อใครรับรู้กันมาโดยตลอดออกอย่างหมดจด แล้วสวมภาพคนที่หมกมุ่นอยู่กับการล้างแค้นอย่างน่าขัน จนไม่เป็นอันทำมาหากินเลี้ยงชีวิต เข้าแทนที่ - ทว่าเรื่องราวบางส่วนของพวกเขายังถูกจับบิดเสียใหม่ และบทสรุปลงท้ายของซามูไรกลุ่มนี้ ก็เป็นไปในแบบที่ไม่มีประวัติศาสตร์หน้าไหนเคยบันทึก

นอกจากนั้น โครีเอดะยังตั้งคำถามอย่างหาญกล้าต่อคุณค่าความเป็นซามูไรอยู่หลายหน เช่น ตอนหนึ่ง ตัวละครตัวหนึ่งออกปากถามอย่างเถรตรง “ชาวนาก็ทำนา พ่อค้าก็ค้าขาย แล้วซามูไรล่ะ ทำอะไร?”

หรืออีกตอน ตัวละครอีกคนก็บ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจกับโซสะว่า “เป็นซามูไรนี่มันมีอะไรดีกัน ทำไมใครๆ จึงอยากเป็นซามูไรนัก?”

หรือในอีกครั้ง หนังนำพิธีศักดิ์สิทธิ์อย่างการทำฮาราคีรีของซามูไรมาล้อเลียน ด้วยการให้ตัวละครตัวหนึ่ง (ซึ่งเป็นคนจรจัด ไร้หัวนอนปลายเท้า) คว้านท้องตนเองด้วยดาบไม้ไผ่จนเลือดกองเต็มบ้าน นอนงอก่องอขิงอย่างเจ็บปวด เมื่อโซสะมาพบเข้าก็รู้สึกตกอกตกใจเป็นอันมาก ทว่าชายอีกคนที่มาเจอะเหตุการณ์นี้พร้อมกัน เห็นเช่นนั้นแล้วกลับแสดงท่าเหนื่อยหน่าย แล้วบอกโซสะว่าไม่ต้องไปสนใจ “ไอ้นี่น่ะ เมาทีไรคว้านท้องทุกที นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว”

อย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งหมดของโครีเอดะก็หาใช่จะมีเป้าหมายเพื่อเหยียบย่ำชำเราบรรพบุรุษตน ทว่าเจตนาที่แท้จริงของเขาก็เป็นแต่เพียงการตั้งคำถามกับผู้ชมว่า ‘จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องลบความแค้นด้วยการล้างแค้น?’ และหากทุกฝ่ายต่างก็ใช้ความรุนแรงเป็นอาวุธ แล้วสันติภาพกับความสงบสุขจะมีที่ว่างให้ดำรงอยู่ได้อย่างไร?

การนำเรื่องราวการแก้แค้นที่ลือลั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาใช้ ก็เพื่อขับเน้นสาระดังกล่าวให้เด่นชัดขึ้นเท่านั้น

คำว่า Hana ในชื่อหนังนั้น แปลว่า ‘ดอกไม้’

มีอยู่ 2-3 ตอนที่หนังให้ตัวละครมองดอกไม้งามที่กำลังร่วงหล่นปลิดปลิวลงจากต้น พร้อมกับรำพึงรำพัน “ดอกไม้ร่วงไปแล้ว แต่ปีหน้ามันจะออกดอกอีกครั้ง และดอกของมันจะสดสวยยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”

คำตอบที่ฮิโรคาสุ โครีเอดะมีต่อคำถามที่เขาตั้งไว้อาจจะอยู่ตรงนั้น

การตอบแทนความแค้นด้วยการล้างแค้น จะนำมาซึ่งการล้างแค้นกลับซ้ำซากอย่างไม่มีวันจบสิ้น

แต่การปล่อยวางและปลดปลง จะทำให้รู้สึกราวเกิดใหม่ และกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์กว่าเดิม





กำลังโหลดความคิดเห็น